• English
    • ไทย
  • English 
    • English
    • ไทย
  • Login
View Item 
  •   Wisdom Repository Home
  • คณะและวิทยาลัย
  • คณะนิติศาสตร์
  • GSL: Theses
  • View Item
  •   Wisdom Repository Home
  • คณะและวิทยาลัย
  • คณะนิติศาสตร์
  • GSL: Theses
  • View Item
JavaScript is disabled for your browser. Some features of this site may not work without it.

Browse

All of Wisdom RepositoryCommunities & CollectionsBy Issue DateAuthorsTitlesSubjectsBy Submit DateResource TypesThis CollectionBy Issue DateAuthorsTitlesSubjectsBy Submit DateResource Types

My Account

Login

บทบาทของประชาสังคมในการร่วมผลักดันมาตรการใช้สิทธิตามสิทธิบัตรยาโดยรัฐ

by ยศกร วรรณวิจิตร

Title:

บทบาทของประชาสังคมในการร่วมผลักดันมาตรการใช้สิทธิตามสิทธิบัตรยาโดยรัฐ

Other title(s):

Role of civil society in the advocacy of government use of compulsory licensing of Pharmaceutical Patent

Author(s):

ยศกร วรรณวิจิตร

Advisor:

ณัฐฐา วินิจนัยภาค

Degree name:

นิติศาสตรมหาบัณฑิต

Degree level:

Master's

Degree department:

คณะนิติศาสตร์

Degree grantor:

สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์

Issued date:

2012

Publisher:

สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์

Abstract:

การศึกษาในครังนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาบทบาทของประชาสงคมในการร่วมผลักดันมาตรการใช้สิทธิโดยรัฐต่อยาที่มีสิทธิบัตรใน 3 ขั้นได้แก่ขั้นกำหนดปัญหาและวาระนโยบาย (Problem Identification and Agenda Setting) ขั้นก่อรูปนโยบาย (Policy Formulation) และขั้นนกําหนดนโยบาย (Policy Adoption) ช่วงเวลาในการศึกษาเริ่มตั้งแต่การเริ่มต้นเรียกร้องให้มีการ ประกาศใช้นโยบายการใช้สิทธิโดยรัฐต่อยาที่มีสิทธิบัตรนําโดยภาคประชาสังคมในปีพ.ศ. 2542 จนถึง เดือนมกราคม พ.ศ. 2550 ที่มีการประกาศใช้นโยบายการศึกษาวิจัยในครั้งนี้เป็นการศึกษาเชิงพรรณนาวิเคราะห์ (Analytical Description) ผ่านแหล่งข้อมูล 3 ประเภท คือเอกสารชั้นปฐมภูมิเอกสารชั้นทุติยภูมิและข้อมูลจากการสัมภาษณ์แบบเจาะลึก จากการศึกษาพบว่า การรวมตัวกันของภาคประชาสังคม เป็นการรวมกลุ่มแบบไม่เป็น ทางการ มีความสัมพันธ์แบบหลวม ไม่มีสายบังคับบัญชาที่ชัดเจน ทุกคนคือเพื่อนกันมีอุดมการณ ์ ร่วมกันเข้ามาทํางานเพื่อจุดหมายเดียวกันคือการเข้าถึงยาของผู้ติดเชื้อเอชไอวี โดยภาคประชาสังคมมีบทบาทสําคัญในขั้นกำหนดปัญหาและวาระนโยบาย เป็นผู้ชี้ให้รัฐเห็นถึงปัญหายาราคา แพง และการเข้าไม่ถึงยาของผู้ป่วย ในขั้นกำหนดปัญหาและวาระนโยบายนี้กิจกรรมการ เคลื่อนไหวหลักของเครือข่ายภาคประชาสงคมคือการยื่นหนังสือและเข้าพบผู้มีอํานาจในการ ตัดสินใจเชิงนโยบาย การพึ่งศาลยุติธรรม การจัดชุมนุมประท้วงบริษัทยา และการสื่อสารกับ สาธารณะให้ตระหนักถึงปัญหา ในขั้นของการก่อรูปและพัฒนานโยบายจะพบว่ารัฐ โดยกระทรวงสาธารณสุขจะเป็น แกนกลางในการศึกษาถึงความเป็นไปได้ในการบงคับใช้สิทธิแต่ก็ยงเปิดโอกาสให้ภาคประชา สงคมเข้าไปมีส่วนร่วม เพื่อพัฒนาข้อเสนอนโยบาย และหาทางแก้ปัญหาร่วมกัน แนวทางแรกที่ กระทรวงสาธารณสุขใช้แก้ปัญหา คือการเจรจาเพื่อขอลดราคากับบริษัทยา ในขันกำหนดนโยบาย เป็นอํานาจของฝ่ายบริหารในการพิจารณาตัดสินใจ สิ่งที่ภาค ประชาสงคมทำได้คือการโน้มน้าวฝ่ายบริหารด้วยข้อมูลทางวิชาการให้เห็นด้วยกับข้อเรียกร้อง ของตน กล่าวโดยสรุป การบังคับใช้สิทธิต่อยาที่มีสิทธิบัตร มีบุคคลที่เกี่ยวข้องจาก 3 ภาคส่วน คือ ภาคประชาสังคม นักวิชาการจากมหาวิทยาลัย และผู้มีอํานาจจากภาครัฐ โดยภาคประชาสังคม ขับเคลื่อนรณรงค์โดยอาศัยฐานความรู้ที่เกิดจากการศึกษาวิจัยของนักวิชาการด้านเภสัชศาสตร์ และความรู้ด้านกฎหมายจากนักวิชาการด้านกฎหมาย นอกจากนั้นบุคลากรในกระทรวง สาธารณสุข ทั้งฝ่ายข้าราชการ และฝ่ายการเมือง คือกลไกสําคัญในการผลักดัน ให้มีการบังคับใช้ สิทธิการขับเคลื่อนพร้อมกันของทั้ง 3 ภาคส่วน จึงน่าจะเป็นกลไกสําคัญที่ทําให้ปัญหายาราคา แพง ได้รับการแก้ไขในรูปแบบของการบังคัชบใช้สิทธิ์โดยรัฐในที่สุด ข้อเสนอแนะที่ได้จากการศึกษาครังนี้ได้แก่ 1) รัฐควรส่งเสริมให้มีการรวมกลุ่มเป็น เครือข่ายระหว่างประชาชน เพื่อเป็นอีกกลไกหนึ่งที่จะเข้ามาร่วมมือกับรัฐและภาคส่วนอื่นในการ กําหนดนโยบายสาธารณะ 2) รัฐควรสนับสนุนงบประมาณเพื่อสร้างขุมนโยบายที่เป็นอิสระ (think tank) ที่ปลอดจากอํานาจทุน มีอิสระในการดําเนินงาน ปราศจากการแทรกแซงจากภาครัฐ 3) รัฐ ควรสนับสนุนให้มีการพัฒนาและวิจัยผลิตภัณฑ์ยาภายในประเทศ เพื่อลดการนําเข้า และการ บังคับใช้สิทธินอกจากนั้นควรมีการจัดตั้งหน่วยงานกลางในการควบคมราคายา เพื่อให้เกิดความ เป็นธรรมในสังคม 4) เมื่อประชาชนเสนอร่างพระราชบัญญัติต่อประธานรัฐสภาแล้ว ควรระบุวิธี ปฏิบัติและกรอบเวลาในการดําเนินการ เพื่อให้ร่างพระราชบัญญัติจากภาคประชาชนเข้าสู่การพิจารณาของฝ่ายนิติบัญญัติ 5) รัฐควรจดให้มีเวทีสาธารณะที่เปิดโอกาสให้ประชาชน เอ็นจีโอ นักวิชาการและตัวแทนภาครัฐพบปะกันเพื่ออภิปรายปัญหาสังคม สรุปแนวทางแก้ปัญหาเพื่อ เสนอต่อรัฐบาลในลําดับต่อไป

Description:

วิทยานิพนธ์ (รป.ม.)--สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2555

Subject(s):

ประชาสังคม
สิทธิบัตรยา

Resource type:

วิทยานิพนธ์

Extent:

145 แผ่น

Type:

Text

File type:

application/pdf

Language:

tha

Rights:

ผลงานนี้เผยแพร่ภายใต้ สัญญาอนุญาตครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 4.0 (CC BY-NC-ND 4.0)

URI:

http://repository.nida.ac.th/handle/662723737/3269
Show full item record

Files in this item (CONTENT)

Thumbnail
View
  • ba185731.pdf ( 2,097.63 KB )

ทรัพยากรสารสนเทศทั้งหมดในคลังปัญญา ใช้เพื่อประโยชน์ทางการเรียนการสอนและการค้นคว้าเท่านั้น และต้องมีการอ้างอิงแหล่งที่มาทุกครั้งที่นำไปใช้ ห้ามดัดแปลงเนื้อหา และทำสำเนาต่อ รวมถึงไม่ให้อนุญาตนำไปใช้ประโยชน์เพื่อการค้า ไม่ว่ากรณีใด ๆ ทั้งสิ้น



This item appears in the following Collection(s)

  • GSL: Theses [208]

Except where otherwise noted, content on this site is licensed under a Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International license.

Copyright © National Institute of Development Administration | สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์
Library and Information Center | สำนักบรรณสารการพัฒนา
Email: NIDAWR@nida.ac.th    Chat: Facebook Messenger    Facebook: NIDAWisdomRepository
 

 

Except where otherwise noted, content on this site is licensed under a Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International license.

Copyright © National Institute of Development Administration | สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์
Library and Information Center | สำนักบรรณสารการพัฒนา
Email: NIDAWR@nida.ac.th    Chat: Facebook Messenger    Facebook: NIDAWisdomRepository
 

 

‹›×