การสื่อสารอย่างมีส่วนร่วมเพื่อสร้างความตระหนักรู้สิทธิขั้นพื้นฐาน ของแรงงานเด็กข้ามชาติในชุมชนจังหวัดสมุทรสาคร
Publisher
Issued Date
2014
Issued Date (B.E.)
2557
Available Date
Copyright Date
Resource Type
Series
Edition
Language
tha
File Type
application/pdf
No. of Pages/File Size
168 แผ่น
ISBN
ISSN
eISSN
DOI
Other identifier(s)
ba187885
Identifier(s)
Access Rights
Access Status
Rights
ผลงานนี้เผยแพร่ภายใต้ สัญญาอนุญาตครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 4.0 (CC BY-NC-ND 4.0)
Rights Holder(s)
Physical Location
สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์. สำนักบรรณสารการพัฒนา
Bibliographic Citation
Citation
กุลฤดี นุ่มทอง (2014). การสื่อสารอย่างมีส่วนร่วมเพื่อสร้างความตระหนักรู้สิทธิขั้นพื้นฐาน ของแรงงานเด็กข้ามชาติในชุมชนจังหวัดสมุทรสาคร. Retrieved from: http://repository.nida.ac.th/handle/662723737/3615.
Title
การสื่อสารอย่างมีส่วนร่วมเพื่อสร้างความตระหนักรู้สิทธิขั้นพื้นฐาน ของแรงงานเด็กข้ามชาติในชุมชนจังหวัดสมุทรสาคร
Alternative Title(s)
Participating communication to strengthen fundamental rights awareness of migrant populations residing in the Samutsakhon Province
Author(s)
Advisor(s)
Editor(s)
item.page.dc.contrubutor.advisor
Advisor's email
Contributor(s)
Contributor(s)
Abstract
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษารูปแบบการสื่อสารอย่างมีส่วนร่วม, เพื่อวิเคราะห์
ปัจจัยสนับสนุนและปัจจัยอุปสรรค, เพื่อเสริมศักยภาพการสื่อสารชุมชนด้วยกลยุทธ์การสื่อสาร
อย่างมีส่วนร่วม และเพื่อศึกษาผลที่เกิดจากการเสริมศักยภาพการสื่อสารชุมชนด้วยกลยุทธ์การ
สื่อสารอย่างมีส่วนร่วมเพื่อสร้างความตระหนักรู้สิทธิขั้นพื้น ฐานของแรงงานเด็กข้ามชาติในชุมชน
จังหวัดสมุทรสาคร เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research) โดยสร้างช่องทางการสื่อสาร
อย่างมีส่วนร่วมให้กับชุมชนแรงงานข้ามชาติ อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มี
จำนวนแรงงานข้ามชาติมากที่สุด เป็นพืน้ ที่เสี่ยงและมีปัญหาการใช้แรงงานเด็กข้ามชาติ
ผลการวิจัยมีดังนี้ 1) รูปแบบการสื่อสารอย่างมีส่วนร่วมเพื่อสร้างความตระหนักรู้สิทธิขั้นพื้นฐานของแรงงาน เด็กข้ามชาติในชุมชนจังหวัดสมุทรสาคร ก่อนที่ผู้วิจัยจะเสริมศักยภาพการสื่อสารอย่างมีส่วนร่วม พบว่า มีรูปแบบการสื่อสารที่มีทิศทางการสื่อสารแบบทางเดียว (One-way Communication) มี การไหลของข้อมูลข่าวสารแบบบนลงล่าง (Top-down Communication) ที่เป็นการสื่อสารแบบ แนวตัง้ (Vertical Communication) โดยที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่จากมูลนิธิเครือข่ายส่งเสริมคุณภาพ ชีวิตแรงงาน จะมีบทบาทเป็นผู้ส่งสาร (Sender) ทำให้ส่วนใหญ่มีการไหลของข้อมูลข่าวสารจาก ภายนอกสู่ภายในชุมชน และคนในชุมชนส่วนใหญ่มีบทบาทเป็นผู้รับสาร (Receiver) ซึ่งเป็นระดับ ต่ำสุดของการมีส่วนร่วม แบบรับ (Passive) มีเพียงส่วนน้อยที่ทำหน้าที่เป็นผู้ส่งสาร ซึ่งชาวบ้านที่ เป็นผู้ส่งสารนั้น มักจะได้รับการมอบหมายจากผู้นำชุมชนมาอีกที เกี่ยวกับเรื่องการจัดกิจกรรม ภายในชุมชน โดยนิยมสื่อสารด้วยวาจา
2) จากการศึกษาพบว่าแรงงานข้ามชาติในชุมชนจังหวัดสมุทรสาครมีปัจจัยสนับสนุนและ ปัจจัยอุปสรรค ดังนี้ 1) ปัจจัยด้านลักษณะทางเศรษฐกิจ พบว่าคนในชุมชนมีอุปสรรคด้านงานที่ ทำ เวลา และรายได้ของครอบครัว 2) ปัจจัยด้านการสื่อสาร พบว่าจุดเด่นของคนในชุมชนคือ การ ยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น และเปิดใจรับตัวกลางภายนอกเข้าไปร่วมพัฒนา แต่อุปสรรคคือ ปัญหาการสื่อสารที่ไม่เข้าใจ ขาดช่องทางการสื่อสาร และคนในชุมชนขาดการมีส่วนร่วมในการ สื่อสาร 3) ปัจจัยด้านวัฒนธรรมและสังคม พบว่าในสภาพชุมชนแออัด แต่คนในชุมชนกลับมี ความสัมพันธ์ที่แน้นแฟ้น ประกอบกับผู้นำชุมชนเข้มแข็ง แต่ในทางกลับกันยังคงมีช่องว่างของ ทัศนคติระหว่างคนไทยและแรงงานข้ามชาติอยู่ 4) ปัจจัยด้านนโยบาย นายจ้าง และรัฐบาล พบ ปัจจัยสนับสนุนคือ ความต้องการรับรู้สิทธิขั้นพื้นฐาน แต่ยังคงมีอุปสรรคคือความเกรงกลัว นายจ้างและเจ้าหน้าที่ของรัฐ
3) ในการเสริมศักยภาพการสื่อสารอย่างมีส่วนร่วมให้กับชุมชน ได้มุ่งการเปลี่ยนบทบาท ทางการสื่อสาร จากผู้รับสารแบบรับ (Passive) เป็นผู้รับสารแบบรุก (Active) เปลี่ยนจาก “ผู้รับ สาร” เป็น “ผู้ส่งสาร” การปรับเปลี่ยนทิศทางการสื่อสาร “แบบทางเดียว” เป็น “แบบสองทาง” การ ปรับเปลี่ยนการไหลข้อมูลข่าวสารจาก “บนลงล่าง” เป็น “ล่างขึน้ บน” ปรับเปลี่ยนการไหลข้อมูล ข่าวสารจาก “แนวตั้ง ” เป็น “แนวนอน” โดยผู้วิจัยได้เลือกกลยุทธ์การสื่อสาร ได้แก่ การจัดประชุม การจัดอบรมสิทธิของแรงงานเด็กข้ามชาติ การสร้างสื่อชุมชน และการมอบสื่อ
4) ผลจากการเสริมศักยภาพการสื่อสารชุมชนด้วยกลยุทธ์การสื่อสารอย่างมีส่วนร่วมแล้ว ทำให้รูปแบบการสื่อสารของคนในชุมชนเปลี่ยนแปลงไปสู่การมีส่วนร่วม ทั้งในด้านบทบาทการ สื่อสาร ทิศทางการสื่อสาร การไหลของข้อมูลข่าวสาร ซึ่งจากการสื่อสารอย่างมีส่วนร่วมภายใน ชุมชน ส่งผลให้นายจ้างและองค์กรต่าง ๆ มีปฏิกิริยาตอบกลับ เช่น การส่งเสริมให้เด็กข้ามชาติมี โอกาสเรียนหนังสือ และได้สร้างศูนย์การเรียนรู้เพื่อเปิดโอกาสให้เด็กข้ามชาติเข้ามาศึกษาร่วมกับ นักเรียนไทย รวมถึงเป็นการลดช่องว่างความแตกต่างระหว่างเชื้อ ชาติไปในทางที่ดีขึ้น อีกด้วย
ผลการวิจัยมีดังนี้ 1) รูปแบบการสื่อสารอย่างมีส่วนร่วมเพื่อสร้างความตระหนักรู้สิทธิขั้นพื้นฐานของแรงงาน เด็กข้ามชาติในชุมชนจังหวัดสมุทรสาคร ก่อนที่ผู้วิจัยจะเสริมศักยภาพการสื่อสารอย่างมีส่วนร่วม พบว่า มีรูปแบบการสื่อสารที่มีทิศทางการสื่อสารแบบทางเดียว (One-way Communication) มี การไหลของข้อมูลข่าวสารแบบบนลงล่าง (Top-down Communication) ที่เป็นการสื่อสารแบบ แนวตัง้ (Vertical Communication) โดยที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่จากมูลนิธิเครือข่ายส่งเสริมคุณภาพ ชีวิตแรงงาน จะมีบทบาทเป็นผู้ส่งสาร (Sender) ทำให้ส่วนใหญ่มีการไหลของข้อมูลข่าวสารจาก ภายนอกสู่ภายในชุมชน และคนในชุมชนส่วนใหญ่มีบทบาทเป็นผู้รับสาร (Receiver) ซึ่งเป็นระดับ ต่ำสุดของการมีส่วนร่วม แบบรับ (Passive) มีเพียงส่วนน้อยที่ทำหน้าที่เป็นผู้ส่งสาร ซึ่งชาวบ้านที่ เป็นผู้ส่งสารนั้น มักจะได้รับการมอบหมายจากผู้นำชุมชนมาอีกที เกี่ยวกับเรื่องการจัดกิจกรรม ภายในชุมชน โดยนิยมสื่อสารด้วยวาจา
2) จากการศึกษาพบว่าแรงงานข้ามชาติในชุมชนจังหวัดสมุทรสาครมีปัจจัยสนับสนุนและ ปัจจัยอุปสรรค ดังนี้ 1) ปัจจัยด้านลักษณะทางเศรษฐกิจ พบว่าคนในชุมชนมีอุปสรรคด้านงานที่ ทำ เวลา และรายได้ของครอบครัว 2) ปัจจัยด้านการสื่อสาร พบว่าจุดเด่นของคนในชุมชนคือ การ ยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น และเปิดใจรับตัวกลางภายนอกเข้าไปร่วมพัฒนา แต่อุปสรรคคือ ปัญหาการสื่อสารที่ไม่เข้าใจ ขาดช่องทางการสื่อสาร และคนในชุมชนขาดการมีส่วนร่วมในการ สื่อสาร 3) ปัจจัยด้านวัฒนธรรมและสังคม พบว่าในสภาพชุมชนแออัด แต่คนในชุมชนกลับมี ความสัมพันธ์ที่แน้นแฟ้น ประกอบกับผู้นำชุมชนเข้มแข็ง แต่ในทางกลับกันยังคงมีช่องว่างของ ทัศนคติระหว่างคนไทยและแรงงานข้ามชาติอยู่ 4) ปัจจัยด้านนโยบาย นายจ้าง และรัฐบาล พบ ปัจจัยสนับสนุนคือ ความต้องการรับรู้สิทธิขั้นพื้นฐาน แต่ยังคงมีอุปสรรคคือความเกรงกลัว นายจ้างและเจ้าหน้าที่ของรัฐ
3) ในการเสริมศักยภาพการสื่อสารอย่างมีส่วนร่วมให้กับชุมชน ได้มุ่งการเปลี่ยนบทบาท ทางการสื่อสาร จากผู้รับสารแบบรับ (Passive) เป็นผู้รับสารแบบรุก (Active) เปลี่ยนจาก “ผู้รับ สาร” เป็น “ผู้ส่งสาร” การปรับเปลี่ยนทิศทางการสื่อสาร “แบบทางเดียว” เป็น “แบบสองทาง” การ ปรับเปลี่ยนการไหลข้อมูลข่าวสารจาก “บนลงล่าง” เป็น “ล่างขึน้ บน” ปรับเปลี่ยนการไหลข้อมูล ข่าวสารจาก “แนวตั้ง ” เป็น “แนวนอน” โดยผู้วิจัยได้เลือกกลยุทธ์การสื่อสาร ได้แก่ การจัดประชุม การจัดอบรมสิทธิของแรงงานเด็กข้ามชาติ การสร้างสื่อชุมชน และการมอบสื่อ
4) ผลจากการเสริมศักยภาพการสื่อสารชุมชนด้วยกลยุทธ์การสื่อสารอย่างมีส่วนร่วมแล้ว ทำให้รูปแบบการสื่อสารของคนในชุมชนเปลี่ยนแปลงไปสู่การมีส่วนร่วม ทั้งในด้านบทบาทการ สื่อสาร ทิศทางการสื่อสาร การไหลของข้อมูลข่าวสาร ซึ่งจากการสื่อสารอย่างมีส่วนร่วมภายใน ชุมชน ส่งผลให้นายจ้างและองค์กรต่าง ๆ มีปฏิกิริยาตอบกลับ เช่น การส่งเสริมให้เด็กข้ามชาติมี โอกาสเรียนหนังสือ และได้สร้างศูนย์การเรียนรู้เพื่อเปิดโอกาสให้เด็กข้ามชาติเข้ามาศึกษาร่วมกับ นักเรียนไทย รวมถึงเป็นการลดช่องว่างความแตกต่างระหว่างเชื้อ ชาติไปในทางที่ดีขึ้น อีกด้วย
Table of contents
Description
วิทยานิพนธ์ (ศศ.ม. (นิเทศศาสตร์และนวัตกรรม))--สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2557