ปัญหาทางกฎหมายเกี่ยวกับคำนิยามและกฎหมายที่มีผลต่อการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs)
Files
Publisher
Issued Date
2015
Available Date
Copyright Date
Resource Type
Series
Edition
Language
tha
File Type
application/pdf
No. of Pages/File Size
217 แผ่น
ISBN
ISSN
eISSN
DOI
Other identifier(s)
b190065
Identifier(s)
Access Rights
Access Status
Rights
ผลงานนี้เผยแพร่ภายใต้ สัญญาอนุญาตครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 4.0 (CC BY-NC-ND 4.0)
Rights Holder(s)
Physical Location
สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์. สำนักบรรณสารการพัฒนา
Bibliographic Citation
Citation
สุรศักดิ์ มีบัว (2015). ปัญหาทางกฎหมายเกี่ยวกับคำนิยามและกฎหมายที่มีผลต่อการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs). Retrieved from: http://repository.nida.ac.th/handle/662723737/3961.
Title
ปัญหาทางกฎหมายเกี่ยวกับคำนิยามและกฎหมายที่มีผลต่อการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs)
Alternative Title(s)
Legal problem relating to definitions and legislations affecting promotion of small and medium-sized enterprises (SMEs)
Author(s)
Editor(s)
Advisor(s)
Advisor's email
Contributor(s)
Contributor(s)
Abstract
วิทยานิพนธ์เรื่อง “ปัญหาทางกฎหมายเกี่ยวกับคำนิยามและกฎหมายที่มีผลต่อการส่งเสริม
วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs)” ผู้เขียนได้ทาการศึกษาการกำหนดคำนิยาม การแบ่ง
ขนาดของวิสาหกิจ หลักเกณฑ์หรือองค์ประกอบ และบทบัญญัติกฎหมายที่มีผลต่อการส่งเสริม SMEs
ของไทยเปรียบเทียบกับกฎหมายของเกาหลีใต้ ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น และสิงคโปร์
จากการศึกษา พบว่าในปัจจุบันคำนิยาม SMEs ของประเทศไทยตามพระราชบัญญัติส่งเสริม
วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม พ.ศ.2543 ยังมีปัญหาทางกฎหมายหลายประการ ได้แก่ การแบ่ง
ขนาดของวิสาหกิจซึ่งไม่มีการแยกคำนิยามวิสาหกิจขนาดจิ๋ว (Micro Enterprises) ออกมาโดยเฉพาะ
จากคำนิยามวิสาหกิจขนาดย่อม (Small Enterprises) ทำให้คำนิยามทั้งสองส่วนซ้ำซ้อนกัน ส่งผลให้
เกิดความไม่เสมอภาค เนื่องจากทำให้ผู้ประกอบการ SMEs และผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดจิ๋ว
(Micro Enterprises) สามารถขอรับการส่งเสริมได้ในสัดส่วนเดียวกัน ทั้งๆ ที่การประกอบวิสาหกิจ
ขนาดจิ๋ว (Micro Enterprises) นั้นมีข้อจำกัดในการดาเนินกิจการมากมาย การกาหนดหลักเกณฑ์
ของ SMEs ที่ยึดจำนวนการจ้างงานและมูลค่าสินทรัพย์ถาวรในทุกประเภทกิจการทำให้ไม่มีความ
เหมาะสมและไม่สามารถสะท้อนความเป็น SMEs ได้อย่างเพียงพอ และคำนิยาม SMEs ที่กาหนด
จำนวนการจ้างงานไว้ถึง 200 คน และกาหนดจำนวนมูลค่าสินทรัพย์ถาวรไว้ถึง 200 ล้านบาท เป็น
การกำหนดขอบเขตกว้างหรือสูงมากเกินไป ซึ่งผู้เขียนเห็นว่าไม่ใช่การประกอบ SMEs แต่เป็นการ
ประกอบธุรกิจของกลุ่มทุนหรือกลุ่มธุรกิจที่มีขนาดใหญ่ซึ่งสามารถที่จะบริหารจัดการ และดูแลธุรกิจ
ของตนได้เองอยู่แล้ว เนื่องจากมีศักยภาพสูงโดยภาครัฐไม่จำต้องให้ความช่วยเหลือแต่อย่างใด
นอกจากนี้ บทบัญญัติกฎหมายที่มีผลต่อการส่งเสริม SMEs พบว่าไม่สามารถให้การช่วยเหลือวิสาหกิจ
ดังกล่าวได้ตามวัตถุประสงค์ เนื่องจากยังไม่มีความละเอียดและครอบคลุมในทุกด้านอีกทั้งยังไม่มี
เอกภาพมากนัก เพราะจะมีลักษณะที่กระจัดกระจายและสอดแทรกในกฎหมายอื่น ทำให้อาจเกิด
ความสับสนและยากต่อการนำไปปฏิบัติ
ทั้งนี้ ผลการศึกษาพบว่าประการแรก ควรบัญญัติคำนิยามคำว่าวิสาหกิจขนาดจิ๋ว (Micro
Enterprises) ออกมาโดยเฉพาะเพื่อความสะดวกในการจัดทำนโยบายและจัดตั้งสานักงานที่มีหน้าที่
โดยตรงในการช่วยเหลือวิสาหกิจขนาดจิ๋ว (Micro Enterprises) ให้มีความครอบคลุมทุกด้าน ซึ่งคำ
นิยามวิสาหกิจขนาดจิ๋ว (Micro Enterprises) เห็นว่าควรมีลักษณะดังนี้ “การประกอบวิสาหกิจใดๆ
ซึ่งมีจำนวนการจ้างงานในประเภทกิจการผลิตไม่เกิน 10 คน หรือมีจำนวนการจ้างงานในประเภทกิจการค้าส่ง การค้าปลีก และกิจการให้บริการจำนวนไม่เกิน 5 คน ทั้งนี้ไม่ว่าการประกอบวิสาหกิจ
ดังกล่าวจะมีการจดทะเบียนการค้าไว้หรือไม่” ประการที่สอง สาหรับหลักเกณฑ์ของ SMEs นั้นเห็น
ว่ากิจการประเภทผลิตสินค้ายังคงใช้จำนวนการจ้างงานหรือจำนวนมูลค่าสินทรัพย์ถาวรเป็นตัวชี้วัด
เหมือนเดิม แต่กิจการประเภทค้าส่ง ค้าปลีก และกิจการให้บริการควรยึดจำนวนการจ้างงาน และ
รายได้ที่เกิดขึ้นมาแทนหลักเกณฑ์มูลค่าสินทรัพย์ถาวร เพราะกิจการดังกล่าวมีลักษณะเป็นการค้า
การให้บริการซึ่งแสวงหาผลกาไรเป็นสำคัญ และไม่ใช่ประเภทอุตสาหกรรมหนักซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อ
ผลิตวัตถุดิบหรือวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในภาคอุตสาหกรรมเป็นหลัก ประการที่สาม ควรลดจำนวนการจ้าง
งานและมูลค่าสินทรัพย์ถาวรลงมาเพื่อให้มีความเหมาะสมตามสัดส่วนของวิสาหกิจ และประการ
สุดท้าย ควรแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติกฎหมายที่มีผลต่อการส่งเสริม SMEs ของประเทศไทยให้มีความ
ละเอียดและครอบคลุมในทุกด้านตั้งแต่การเริ่มต้นประกอบวิสากิจจนกระทั่งส่งเสริมให้ SMEs ก้าวสู่
ระดับสากลหรือระดับนานาชาติต่อไป
ดังนั้น หากมีการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายตามที่ผู้เขียนได้เสนอไปก็จะส่งผลทำให้มาตรการใน
การช่วยเหลือในทางปฏิบัติสามารถตอบสนองวิสาหกิจที่ประสบปัญหาและต้องการความช่วยเหลือได้
อย่างแท้จริง อีกทั้งเป็นไปตามเจตนารมณ์แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาด
ย่อม พ.ศ.2543 ที่ต้องการส่งเสริมโดยการกาหนดนโยบายตลอดจนมาตรการด้านสิทธิประโยชน์ต่างๆ
แก่ผู้ประกอบการรายย่อยหรือที่มีขนาดเล็กๆ และมีความสำคัญอย่างยิ่งยวดต่อระบบเศรษฐกิจของ
ประเทศให้สามารถแข่งขันกับกลุ่มทุนหรือกลุ่มธุรกิจที่ขนาดใหญ่ได้ ทำให้ผู้ประกอบการวิสาหกิจ
ขนาดจิ๋ว (Micro Enterprises) พัฒนาวิสาหกิจของตนให้มีความเข้มแข็ง เจริญเติบโตเป็นหน่วยธุรกิจ
ที่มีขนาดใหญ่ และสามารถสร้างเม็ดเงินตลอดจนมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับประเทศไทยต่อไป
Table of contents
Description
วิทยานิพนธ์ (น.ม.)--สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2558