การดำเนินนโยบายสิทธิมนุษยชนด้านสิทธิเสรีภาพในชีวิตและร่างกายกับปัญหาชาวโรฮีนจา : กรณีศึกษาจังหวัดสงขลาและระนอง
Files
Publisher
Issued Date
2016
Available Date
Copyright Date
Resource Type
Series
Edition
Language
tha
File Type
application/pdf
No. of Pages/File Size
305 แผ่น
ISBN
ISSN
eISSN
Other identifier(s)
b195878
Identifier(s)
Access Rights
Access Status
Rights
ผลงานนี้เผยแพร่ภายใต้ สัญญาอนุญาตครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 4.0 (CC BY-NC-ND 4.0)
Rights Holder(s)
Physical Location
สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์. สำนักบรรณสารการพัฒนา
Bibliographic Citation
Citation
นวิยา ยศวิไล (2016). การดำเนินนโยบายสิทธิมนุษยชนด้านสิทธิเสรีภาพในชีวิตและร่างกายกับปัญหาชาวโรฮีนจา : กรณีศึกษาจังหวัดสงขลาและระนอง. Retrieved from: https://repository.nida.ac.th/handle/662723737/5273.
Title
การดำเนินนโยบายสิทธิมนุษยชนด้านสิทธิเสรีภาพในชีวิตและร่างกายกับปัญหาชาวโรฮีนจา : กรณีศึกษาจังหวัดสงขลาและระนอง
Alternative Title(s)
Implementation to life liberty and human rights policy and the problem of Rohingya : case study of Songkhla and Ranong in Thailand
Author(s)
Editor(s)
Advisor(s)
Advisor's email
Contributor(s)
Contributor(s)
Abstract
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ คือ 1) เพื่อศึกษาและเข้าใจถึงการดำเนินการตามนโยบายของ รัฐบาลไทยที่มีต่อการแก้ปัญหาเกี่ยวกับชาวโรฮีนจาภายใต้กรอบข้อตกลงระหว่างรัฐบาลอาเซียน ว่าด้วยสิทธิมนุษยชน 2) เพื่อศึกษาและเข้าใจถึงปัญหาของการนำนโยบายไปปฏิบัติในการแก้ไข ปัญหาชาวโรฮีนจาเรื่องสิทธิมนุษยชนด้านสิทธิและเสรีภาพในชีวิตและร่างกาย ตามปฏิญญา สากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ 3) เพื่อจัดทำข้อเสนอแนะเชิงนโยบายและเชิง ปฏิบัติการที่เป็นประโยชน์ต่อการแก้ไข และพัฒนาการบริหารจัดการและการดำเนินการต่างๆ ให้มี ประสิทธิผลและความชัดเจนยิ่งขึ้น โดยใช้รูปแบบการวิจัยเชิงคุณภาพ วิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จาก เอกสาร การสัมภาษณ์เชิงลึก และการประชุมกลุ่มย่อยในพื้นที่จังหวัดสงขลาและระนอง ผลการวิจัย พบว่า ลักษณะการปฏิบัติงานจำแนกได้เป็น 2 กรณี ได้แก่ กรณีแรก ผู้ เดินทางทั้งหมดยังไม่ถึงฝั่ง เจ้าหน้าที่รัฐจะทำหน้าที่สกัดกั้นไม่ให้ชาวโรฮีนจารุกล้ำน่านน้ำไทย แต่ละขั้นตอนเป็นไปในลักษณะให้การช่วยเหลือเบื้องต้นตามหลักสิทธิมนุษยชนและพันธกรณี ระหว่างประเทศ กรณีที่สอง หากผู้เดินทางเหล่านั้นขึ้นฝั่งแล้ว เจ้าหน้าที่รัฐจะดำเนินการภายใต้ กฎหมายไทย โดยการจับกุม พร้อมกับให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมเบื้องต้น การวิเคราะห์ปัญหาของการนำนโยบายไปปฏิบัติในครั้งนี้อาศัยตัวแบบสหการของ Donald Van Meter และ Carl Van Horn ซึ่งเกิดขึ้นจากปัจจัยต่างๆ อันได้ แก่ 1) มาตรฐาน นโยบาย เจ้าหน้าที่รัฐต่างมีความเข้าใจในวัตถุประสงค์และเป้าหมายของนโยบายเป็นอย่างดี ขณะที่แนวทางการดำเนินการขาดความชัดเจนและขัดแย้งกับสภาพความเป็นจริงในระยะสั้น เพราะความไม่เข้าใจในพันธกรณีระหว่างประเทศ แต่ความจริงจังของเจ้าหน้าที่รัฐในการแก้ปัญหา จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับนานาชาติในระยะยาวได้ โดยทั้งหมดนี้ต่างส่งผลกระทบต่อการสื่อข้อความและการบังคับใช้กฎหมายตามมา 2) ทรัพยากรนโยบาย ซึ่งงบประมาณและสถานที่ของ องค์การภาครัฐไม่เพียงพอที่จะรองรับชาวโรฮีนจาที่ถูกจับกุมทั้งหมด ขณะที่องค์การภาครัฐขาด บุคลากรที่มีทักษะภาษาในการปฏิบัติงาน อย่างไรก็ตาม ทุกฝ่ายพยายามปรับปรุงการใช้ ทรัพยากรให้ตรงกับวัตถุประสงค์ของนโยบายให้เป็นไปตามหลักสิทธิมนุษยชน แต่ทั้งหมดนี้ส่งผล กระทบต่อการบังคับใช้กฎหมายและทัศนคติของผู้ปฏิบัติงาน 3) การสื่อข้อความ ปัญหาชาวโรฮีน จาเป็นที่สนใจของสื่อมวลชน การเผยแพร่ข่าวสารส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของเจ้าหน้าที่รัฐ ส่วนการประสานงานฝ่ายต่างๆ และองค์การร่วมรับผิดชอบเป็นไปอย่างถูกต้องตามภารกิจ ความสามารถในการประสานงานระหว่างฝ่ ายต่างๆ นี้ย่อมมีอิทธิพลต่อความยินดีหรือเต็มใจใน การปฏิบัติงาน 4) การบังคับใช้ กฎหมาย สะท้อนถึงปัญหาที่เกิดจากเงื่อนไขทางการเมือง คุณลักษณะของหน่วยปฏิบัติ มาตรฐานและทรัพยากรของนโยบาย เนื่องจากเจ้าหน้าที่รัฐบางส่วน ขาดความเคร่งครัดในการบังคับใช้กฎหมาย กอปรกับกฎหมายที่เกี่ยวข้องไม่มีการปรับปรุงให้เท่า ทันกับการเปลี่ยนแปลงของยุคปัจจุบัน ทั้งหมดนี้ส่งผลกระทบต่อทัศนคติของผู้ปฏิบัติงานและ คุณลักษณะของหน่วยปฏิบัติ 5) คุณลักษณะของหน่วยปฏิบัติ องค์การภาครัฐที่เกี่ยวข้องมีขนาด ใหญ่และซับซ้อนสูง การปฏิบัติงานเป็นไปตามขั้นตอน แบ่งงานตามความเชี่ยวชาญ ทั้งนี้ ทุกองค์การภาครัฐที่เกี่ยวข้องได้ใช้ระบบคณะกรรมการในการปฏิบัติงานร่วมกันและดำเนินการใน ลักษณะขององค์การเครือข่าย ซึ่งแต่ละองค์การกลับปกปิ ดข้อมูลหรือข้อผิดพลาดของตนเอง ส่งผลต่อการบังคับใช้กฎหมาย 6) เงื่อนไขทางการเมือง การเมืองทั้งเมียนมา มาเลเซีย และไทย กำลังประสบกับการเปลี่ยนผ่านและการเคลื่อนไหวจากภาคประชาชน โดยที่รัฐบาลแต่ละประเทศ ต่างพยายามแก้ปัญหาชาวโรฮีนจานี้ภายใต้การจับตามองจากทั่วโลก ซึ่งเงื่อนไขทางการเมืองมี ความเชื่อมโยงกับเงื่อนไขทางสังคมและเศรษฐกิจ ทัศนคติของผู้ปฏิบัติงานและผลการนำนโยบายนี้ไปปฏิบัติ7) เงื่อนไขทางสังคมและเศรษฐกิจ สภาพความยากจนทางเศรษฐกิจและกระแสการต่อต้านของเมียมากลายเป็นแรงผลักดันให้ชาวโรฮีนจาหลบหนีออกนอกประเทศ ผ่านมายังไทยที่มี ลักษณะสังคมพหุวัฒนธรรม เพื่อไปยังมาเลเซียที่มีความเชื่อทางศาสนาเหมือนกันและสภาพ เศรษฐกิจดีกว่าประเทศตนเอง กล่าวได้ว่า เงื่อนไขทางสังคมและเศรษฐกิจมีความสัมพันธ์กับ เงื่อนไขทางการเมือง และมีผลต่อการนำนโยบายไปปฏิบัติ 8) ทัศนคติของผู้ปฏิบัติงาน เป็นผล สะท้อนจากการสื่อข้อความ การบังคับใช้กฎหมาย คุณลักษณะของหน่วยปฏิบัติ และเงื่อนไข ทางการเมือง ขณะที่เจ้าหน้าที่รัฐส่วนใหญ่ยอมรับวัตถุประสงค์และเป้าหมายของนโยบาย แต่เจ้าหน้าที่รัฐในพื้นที่บางส่วนไม่เต็มใจปฏิบัติงาน และด้วยข้อจำกัดด้านทรัพยากร จึงทำให้ เจ้าหน้าที่รัฐส่วนกลางและในพื้นที่ต่างมีแนวคิดในการแก้ปัญหาแตกต่างกันในการปฏิบัติตาม กฎหมายที่กำหนดไว้
Table of contents
Description
วิทยานิพนธ์ (รป.ม.)--สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2559