สัญญะของเพลงกับการสะท้อนอัตลักษณ์และอัตมโนทัศน์ของผู้ประพันธ์
Files
Publisher
Issued Date
2016
Available Date
Copyright Date
Resource Type
Series
Edition
Language
tha
File Type
application/pdf
No. of Pages/File Size
271 แผ่น
ISBN
ISSN
eISSN
Other identifier(s)
b199274
Identifier(s)
Access Rights
Access Status
Rights
ผลงานนี้เผยแพร่ภายใต้ สัญญาอนุญาตครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 4.0 (CC BY-NC-ND 4.0)
Rights Holder(s)
Physical Location
สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์. สำนักบรรณสารการพัฒนา
Bibliographic Citation
Citation
ปริณ เพชรสังข์ (2016). สัญญะของเพลงกับการสะท้อนอัตลักษณ์และอัตมโนทัศน์ของผู้ประพันธ์. Retrieved from: https://repository.nida.ac.th/handle/662723737/6230.
Title
สัญญะของเพลงกับการสะท้อนอัตลักษณ์และอัตมโนทัศน์ของผู้ประพันธ์
Alternative Title(s)
The reflection of music semiology toward songwriters’ identities and self-concepts
Author(s)
Editor(s)
Advisor(s)
Advisor's email
Contributor(s)
Contributor(s)
Abstract
การศึกษานี้มีวัตถุประสงคเพื่อ1)ศึกษารูปแบบการสื่อสารของเนื้อหาเพลงที่ประพันธ์โดย ผู้ประพันธ์เพลงแบบสมัยนิยมและแบบทางเลือกอันสะท้อนถึงอัตลักษณ์ของผู้ประพันธ์ทั้งสอง ท่าน 2)ศึกษาความแตกต่างระหว่างอัตลักษณ์ที่ถูกค้นพบในรูปแบบการสื่อสารของเพลงกับอัตมโนทัศน์ที่ผู้ประพันธ์มองตนเอง 3) ศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการสร้างสรรค์ผลงานเพลงของ ผู้ประพันธ์โดยผู้วิจัยวิเคราะห์ข้อมูลจากแหล่งข้อมูล 3 ข้ันตอน คือ 1) การวิจัยเชิงเอกสาร (Documentary Research) 2)การวิเคราะห์เนื้อหาสารเชิงคุณภาพ (Qualitative Content Analysis) โดยการวิเคราะห์เนื้อหาเพลงและ 3)การสัมภาษณ์เชิงลึก (Indepth-Interview)จากผู้ประพันธ์เพลง ผู้ที่เคยร่วมงานกับผู้ประพันธ์เพลงและบุคคลผู้มีอิทธิพลหรือเชี่ยวชาญในวงการเพลงไทย ผลการศึกษาเกี่ยวรูปแบบการสื่อสารผ่านเพลงที่ประพันธ์โดยผู้ประพันธ์เพลงสมัยนิยม (Q1) พบว่าเพลงที่ได้รับการยอมรับและเป็นที่นิยมส่วนใหญ่จะมีแก่นเรื่องเกี่ยวกับความรัก ดำเนิน เรื่องโดยบุรุษที่หนึ่งซึ่งเป็นตัวละครสำคัญในเรื่องเป็นผู้เล่าโดยเพลงที่มีแก่นเรื่องเกี่ยวกบัความรัก ในเชิงบวกจะมีการวางโครงเรื่องครบองค์ประกอบ ส่วนเพลงที่มีแก่นเรื่องเกี่ยวกับความรักในเชิง เศร้าจะขาดขั้น ภาวะคลี่คลาย และเพลงที่มีแก่นเรื่องเกี่ยวกับความรักในเชิงสนุกสนานจะขาดขั้นภาวะคลี่คลายและขั้นยุติเรื่องราว ซึ่งกลุ่มคำที่ถูกนำมาใช่บ่อยที่สุด ได้แก่รัก หัวใจคิดถึง ห่วงและ หวง ในขณะที่รูปแบบการสื่อสารผ่านเพลงที่ประพันธ์โดยผู้ประพันธ์เพลงทางเลือก(Q2) มีการ ดำเนินเรื่องโดยผู้ประพันธ์ในฐานะเป็นผู้รู้แจ้งเห็นจริงทุกอย่างเป็นผู้เล่าในเพลงที่มีแก่นเรื่อง เกี่ยวกับความรัก แนวคิด และการทำงาน และมีการดำเนินเรื่องโดยบุรุษที่หนึ่งซึ่ งเป็นตัวละคร สำคัญในเรื่องเป็นผู้เล่าในเพลงที่มีแก่นเรื่องเกี่ยวกับความรักในฐานะที่ผู้เล่าเป็นผู้กระทำและหรือ
ถูกกระทำเองซึ่งเพลงที่มีแก่นเรื่องเกี่ยวกบัความรักมีการวางโครงเรื่องไม่ครบองค์ประกอบ โดยจะขาดขั้น ภาวะคลี่คลายในเพลงที่ปัญหาความขัดแย้งต่างๆ ไม่มีการเปิดเผยหรือคลี่คลายได้และขาดขั้นพัฒนาเหตุการณ์ในเพลงที่ไม่มีการเพิ่มปมปัญหาความขัดแย้งของตัวละครให้เข้มข้นขึ้นเพื่อ พัฒนาเหตุการณ์สู่ขั้นต่อไป ในส่วนของการใช้คำสำหรับเพลงรักคา ที่พบบ่อยคือคำว่า “รัก” ส่วน เพลงที่มีแก่นเรื่องเกี่ยวกับ แนวคิดและเพลงที่มีแก่นเรื่องเกี่ยวกบัการทำงาน มีการสอดแทรกคำภาษาอังกฤษลงไปในเนื้อร้องและวิจารณ์สิ่งต่างๆ อย่างตรงไปตรงมา ทั้งนี้รูปแบบการสื่อสารผ่าน เพลงสามารถสะท้อนอัตลักษณ์ของผู้ประพันธ์ได้กล่าวคือ จากเนื้อหาของเพลงที่ประพันธ์โดย ผู้ประพันธ์เพลงสมัยนิยม (Q1) สะท้อนให้เห็นว่า Q1 เป็นบุคคลที่มีความพยายามเพื่อให้สำเร็จตาม เป้าหมาย แต่มีอารมณ์เปราะบางในสถานการณ์เคร่งเครียด ชอบการแสดงออก กระหายความ ตื่นเต้น ชอบลองสิ่งใหม่มีความประนีประนอมคล้อยตาม พร้อมจะเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาและจัด อยู่ในประเภทของบุคคลที่มีแนวคิดแบบสมัยใหม่ (Modernism) ในขณะที่เนื้อหาเพลงที่ประพันธ์ โดยผู้ประพันธ์เพลงทางเลือก (Q2) สะท้อนให้เห็นว่า Q2 เป็นบุคคลที่มีความซาบซึ้งในศิลปะและ ความสวยงามของดนตรีเปิดเผยความรู้สึกเห็นคุณค่าของอารมณ์ด้านต่างๆ ชอบความหลากหลาย ทดลองสิ่งใหม่ๆ มีการแสดงออกตรงไปตรงมา มีความเป็นตัวของตัวเองสูง รักอิสระ และมีความ เป็นผู้นำยอมรับการเปลี่ยนแปลง รับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น และจัดอยูในประเภทของบุคคลที่มี แนวคิดแบบหลังสมัยใหม่(Postmodernism) นอกจากนี้จากผลการศึกษายงัพบว่าปัจจยัภายในที่ส่งผลต่อการสร้างสรรค์ผลงานเพลงที่ แตกต่างกันของผู้ประพันธ์เพลงสมัยนิยม (Q1) และผู้ประพันธ์เพลงทางเลือก (Q2) ได้แก่1) ภูมิหลังครอบครัว 2) ประสบการณ์ การศึกษา และ ความรู้เฉพาะทาง และ 3) ทัศนคติ และแรงจูงใจ ในขณะที่ปัจจัยภายนอกได้แก่1)การสนับสนุนเชิงนโยบายของภาครัฐและธุรกิจ 2)ความคาดหวัง ของผู้บริโภคและ 3)ความเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีและสังคม
Table of contents
Description
วิทยานิพนธ์ (ศศ.ม. (นิเทศศาสตร์และนวัตกรรม))--สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2559