dc.contributor.advisor | บรรเจิด สิงคะเนติ | |
dc.contributor.author | กฤษณี มหาวิรุฬห์ | |
dc.date.accessioned | 2023-03-13T07:59:44Z | |
dc.date.available | 2023-03-13T07:59:44Z | |
dc.date.issued | 2019 | |
dc.identifier.other | b210998 | th |
dc.identifier.uri | https://repository.nida.ac.th/handle/662723737/6337 | |
dc.description | วิทยานิพนธ์ (น.ม.)--สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2562 | th |
dc.description.abstract | การศึกษาครั้งนี้เป็นการศึกษาเพื่อให้ทราบอํานาจหน้าที่ของคณะกรรมการป้องกันและ ปราบปรามการทุจริตแห่งชาติตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในการชี้มูลความผิดทางวินัยของเจ้าหน้าที่ของรัฐ ทราบการป้องกันและ ปราบปรามการทุจริตและการดําเนินการทางวินัยกับเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ทุจริตในต่างประเทศ และ เพื่อให้ทราบปัญหาการตรวจสอบการใช้อํานาจในการชี้มูลความผิดทางวินัยของคณะกรรมการป้องกัน และปราบปรามการทุจริตแห่งชาติโดยศาลปกครองพร้อมข้อเสนอแนะในการแก้ไขปัญหา โดยมี สมมติฐานในการศึกษาคือ ปัญหาเกี่ยวกับขอบเขตการใช้อํานาจในการชี้มูลความผิดทางวินัย เจ้าหน้าที่ของรัฐ ปัญหาเกี่ยวกับขอบเขตการใช้อํานาจของศาลปกครองในการตรวจสอบการชี้มูล ความผิดทางวินัยของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติปัญหาการชี้มูล ความผิดทางวินัยของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาตินอกจากความผิดฐาน ทุจริตต่อหน้าที่เป็นการใช้อํานาจเกินกว่าที่กฎหมายกําหนดหรือไม่และปัญหาการนํากระบวนการไต่ สวนของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติไปเป็นการสอบสวนของหน่วยงาน และนําไปใช้ในการชี้มูลความผิดทางวินัยของหน่วยงานได้หรือไม่ ปัญหาดังกล่าวล้วนส่งผลกระทบ สําคัญต่อประสิทธิภาพในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต และประสิทธิภาพในการลงโทษทาง วินัยแก่เจ้าหน้าที่ของรัฐที่ทุจริต หากมีการแก้ไขปัญหาดังกล่าวจะทําให้การดําเนินงานทางวินัยกับ เจ้าหน้าที่ของรัฐที่ทุจริตมีความชัดเจน และการบังคับใช้กฎหมายมีประสิทธิภาพและมีความเป็นธรรม มากขึ้น ผลการศึกษายืนยันสมมติฐานข้างต้นและมีข้อเสนอแนะเพื่อแก้ไขปัญหาคือข้อพิจารณาในเรื่อง นิติรัฐและนิติธรรมและการควบคุมตรวจสอบการใช้อํานาจรัฐ ทุกฝ่ายต้องมีความเข้าใจที่ถูกต้องถ้อยคําที่ บัญญัติในกฎหมายต้องมีความชัดเจน หากต้องมีการตีความต้องให้ได้ข้อยุติร่วมกันโดยเร็วเพื่อไม่ก่อให้เกิดปัญหาสะสม ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องต้องเข้าใจนิยามของคําว่า “ทุจริต” ที่จะนําไปสู่การชี้มูล ความผิดและการลงโทษทางวินัยในทิศทางที่สอดคล้องตรงกัน โดยไม่จํากัดว่าการกระทําความผิดนั้นต้อง มาจากความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่เพียงฐานความผิดเดียวแต่ควรครอบคลุมอย่างน้อยอีก 3 ฐานความผิด คือ ฐานร่ํารวยผิดปกติฐานกระทําความผิดต่อตําแหน่งหน้าที่ราชการ ฐานกระทําความผิดต่อตําแหน่ง หน้าที่ในการยุติธรรม รวมทั้งความผิดที่เกี่ยวข้องกัน เพื่อให้ขอบเขตการใช้อํานาจของแต่ละฝ่ายเป็นไปใน ทิศทางเดียวกันและเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมายและการพิจารณาโทษทางวินัยของเจ้าหน้าที่ที่ทุจริตทุก ฝ่ายที่เกี่ยวข้องควรมีแนวทางและข้อความคิดที่สอดคล้องกัน หลักการลงโทษเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ทุจริต สมควรได้รับควรมีความรุนแรงกว่าความผิดทางวินัยฐานอื่น บุคลากรของสํานักงานคณะกรรมการป้องกัน และปราบปรามการทุจริตแห่งชาติที่เกี่ยวข้องกับการพิจารณาเรื่องกล่าวหาทั้งหมดต้องมีความรู้ความ เข้าใจในหลักกฎหมายมหาชนมากเท่ากับหลักกฎหมายอาญา การตรวจสอบการใช้อํานาจของ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติโดยศาลปกครองควรคํานึงถึงวัตถุประสงค์หลักใน การจัดตั้งหน่วยงานนี้ที่มีความแตกต่างจากหน่วยงานอื่น ในกรณีจําเป็นที่ศาลต้องตรวจสอบความชอบ ด้วยกฎหมายของการใช้ดุลพินิจของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติต้องเป็นไป อย่างระมัดระวังและไม่ก้าวล่วงไปตรวจสอบการใช้ดุลพินิจที่เป็นไปโดยชอบแล้ว เพื่อมิให้ก้าวล่วงไปในแดนของฝ่ายบริหารเช่นเดียวกับในประเทศฝรั่งเศสและเยอรมันที่ใช้อํานาจนี้อย่างจํากัด สําหรับเรื่อง กระบวนการไต่สวนของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติที่ดําเนินการไปแล้วไม่ ควรปล่อยให้สูญเปล่าไปทั้งหมดและควรคํานึงถึงการนําสํานวนการไต่สวนของคณะกรรมการป้องกันและ ปราบปรามการทุจริตแห่งชาติไปใช้ประกอบการพิจารณาของคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยของ หน่วยงานต้นสังกัดและประกอบการพิจารณาของศาลด้วย ในระยะยาวต้องมีการแก้ไขพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและ ปราบปรามการทุจริตแห่งชาติพ.ศ. 2561 ให้ชัดเจนขึ้น โดยเรื่องหน้าที่และอํานาจของคณะกรรมการ ป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติตามมาตรา 28 (2) แก้ไขเป็น “ไต่สวนและวินิจฉัยว่าเจ้าหน้าที่ ของรัฐร่ํารวยผิดปกติกระทําความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่หรือกระทําความผิดต่อตําแหน่งหน้าที่ราชการ หรือความผิดต่อตําแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม และทุกฐานความผิดหากพบว่ามีมูลความผิดทางวินัยให้ ดําเนินการชี้มูลความผิดทางวินัยต่อไป” เรื่องการดําเนินการกับเจ้าหน้าที่ของรัฐมาตรา 91 แก้ไขเป็น “เมื่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติไต่สวนแล้วมีมติวินิจฉัยว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐ กระทําความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ หรือกระทําความผิดต่อตําแหน่งหน้าที่ราชการ หรือความผิดต่อ ตําแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม หรือความผิดที่เกี่ยวข้องกัน ทุกฐานความผิดให้ดําเนินการดังต่อไปนี้ . . .” นอกจากนี้ในบทกําหนดโทษต้องกําหนดให้มีการลงโทษเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ทุจริตในระดับที่รุนแรงขึ้นด้วย | th |
dc.description.provenance | Submitted by Kwanruthai Kaewjampa (kwanruthai.k@nida.ac.th) on 2023-03-13T07:59:44Z
No. of bitstreams: 1
b210998.pdf: 2667026 bytes, checksum: e3fffb68b30c9942f30a817c8c4085d7 (MD5) | en |
dc.description.provenance | Made available in DSpace on 2023-03-13T07:59:44Z (GMT). No. of bitstreams: 1
b210998.pdf: 2667026 bytes, checksum: e3fffb68b30c9942f30a817c8c4085d7 (MD5)
Previous issue date: 2019 | en |
dc.format.extent | 282 แผ่น | th |
dc.format.mimetype | application/pdf | th |
dc.language.iso | tha | th |
dc.publisher | สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ | th |
dc.rights | ผลงานนี้เผยแพร่ภายใต้ สัญญาอนุญาตครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 4.0 (CC BY-NC-ND 4.0) | th |
dc.subject.other | คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ | th |
dc.subject.other | การทุจริตและประพฤติมิชอบ -- ป้องกันและปราบปราม | th |
dc.title | ปัญหาการตรวจสอบการใช้อำนาจชี้มูลความผิดทางวินัยของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติโดยศาลปกครอง | th |
dc.title.alternative | The problem on the scrutiny of exercise power of the National Anti-Corruption Commission (NACC) to indentify prima face disciplinary offence by the judgment of administrative court | th |
dc.type | Text | th |
mods.genre | วิทยานิพนธ์ | th |
mods.physicalLocation | สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์. สำนักบรรณสารการพัฒนา | th |
thesis.degree.name | นิติศาสตรมหาบัณฑิต | th |
thesis.degree.level | Master's | th |
thesis.degree.grantor | สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ | th |
thesis.degree.department | คณะนิติศาสตร์ | th |
dc.identifier.doi | 10.14457/NIDA.the.2019.85 | |