ปัจจัยที่มีผลต่อรายจ่ายสาธารณะด้านสังคมและผลต่อการกระจายรายได้ของไทย
by วรพงศ์ ตระการศิรินนท์
Title: | ปัจจัยที่มีผลต่อรายจ่ายสาธารณะด้านสังคมและผลต่อการกระจายรายได้ของไทย |
Other title(s): | Factors affecting social expenditure and impact on income distribution |
Author(s): | วรพงศ์ ตระการศิรินนท์ |
Advisor: | พลภัทร บุราคม, อาจารย์ที่ปรึกษา |
Degree name: | รัฐประศาสนศาสตรดุษฎีบัณฑิต |
Degree level: | ปริญญาเอก |
Degree discipline: | รัฐประศาสนศาสตร์ |
Degree department: | คณะรัฐประศาสนศาสตร์ |
Degree grantor: | สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ |
Issued date: | 2010 |
Digital Object Identifier (DOI): | 10.14457/NIDA.the.2010.84 |
Publisher: | สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ |
Abstract: |
เมื่อพิจารณาผลพวงของการพัฒนาและการดําเนินนโยบายสังคมของรัฐบาลในช่วงสาม ทศวรรษที่ผ่านมา จะพบความไม่เสมอภาคทางสังคม (Equity) ปรากฏให้เห็นทั้งในด้านการศึกษา การสาธารณสุขและการสังคมสงเคราะห์โดยผู้ที่มีฐานะทางเศรษฐกิจที่สูงจะสามารถเข้าถึงบริการ ทางสังคมที่ดีกว่าผู้มีฐานะเศรษฐกิจที่ต่ําทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพของบริการ ซึ่งจากความเปลี่ยนแปลงที่ เกิดขึ้นนี้ได้ดจุดประกายความสนใจให้ผู้ศึกษาค้นหาถึงสาเหตุและผลกระทบของ ปรากฏการณ์ดังกล่าวผ่านการเปลี่ยนแปลงของรายจ่ายสาธารณะด้านสังคม โดยศึกษาปัจจัยที่มีผล ต่อรายจ่ายสาธารณะด้านสังคมและผลต่อการกระจายรายรายได้ของไทย ซึ่งเป็นการศึกษาที่อาศัย การเก็บรวบรวมข้อมูลทุติภูมิ (Secondary Data) ในช่วงระยะเวลา 31 ปีตั้งแต่พ.ศ. 2520-2550 โดย กําหนดกรอบการศึกษาเป็น 2 ส่วนคือ 1) กรอบการศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อรายจ่ายสาธารณะด้าน สังคมและ 2) กรอบการศึกษาผลของรายจ่ายสาธารณะด้านสังคมที่มีผลต่อการกระจายรายได้โดย กรอบการศึกษาในส่วนแรกเป็นการศึกษาถึงปัจจัยที่มีผลต่อรายจ่ายสาธารณะด้านสังคม ซึ่งใน การศึกษาครั้งนี้ผู้ศึกษาจะทําการศึกษารายจ่ายสาธารณะด้านสังคม และองค์ประกอบของรายจ่าย สาธารณะด้านสังคมใน 3 ด้านคือรายจ่ายด้านการศึกษา รายจ่ายด้านการสาธารณสุขและรายจ่าย ด้านการสังคมสงเคราะห์โดยมีตัวแปรอิสระต่างๆ ได้แก่ ปัจจัยด้านการตัดสินใจ ปัจจัยเศรษฐกิจ ปัจจัยด้านการเมืองและปัจจัยด้านโลกาภิวัตน์สําหรับกรอบการศึกษาในส่วนหลังเป็นการศึกษาถึงผลของรายจ่ายสาธารณะต่อการ กระจายรายได้โดยการศึกษาในส่วนนี้ตัวแปรตาม คือ 1) การกระจายรายได้ซึ่งวัดจากสัดส่วน ผลิตภัณฑ์มวลรวม (GDP) ภาคนอกการเกษตรต่อผลิตภัณฑ์มวลรวม (GDP) ภาคการเกษตรและ 2) ค่าสัมประสิทธิ์ GINI ในขณะที่ตัวแปรอิสระได้แก่รายจ่ายสาธารณะด้านสังคม รายจ่ายด้าน การศึกษา รายจ่ายด้านการสาธารณสุข และรายจ่ายด้านการสังคมสงเคราะห์ซึ่งผู้ศึกษาให้ความหมายว่าเป็น “ปัจจัยเชิงนโยบาย” ในขณะที่ปัจจัยด้านเศรษฐกิจ ปัจจัยด้านสังคม ปัจจัยด้าน การเมืองและปัจจัยด้านโลกาภิวัตน์ผู้ศึกษาได้นํามาศึกษาอีกครั้งในกรอบการศึกษาส่วนนี้และให้ ความหมายว่าเป็น “ปัจจัยภายนอกอื่นๆ” และนํามาศึกษาในฐานะตัวแปรอิสระ เพื่อวิเคราะห์หา ความสัมพันธ์เปรียบเทียบกับ “ปัจจัยเชิงนโยบาย” เพื่อหาคําตอบว่า รายจ่ายสาธารณะด้านสังคม รายจ่ายด้านการศึกษา รายจ่ายด้านการสาธารณสุขและรายจ่ายด้านการสังคมสงเคราะห์ในฐานะที่ เป็น “ปัจจัยเชิงนโยบาย” เมื่อเปรียบเทียบกับตัวแปรอื่นๆ ในบริบทอย่างเดียวกันแล้วจะมีผลต่อการ กระจายรายได้หรือไม่อย่างไร จากการศึกษาพบว่า 1) ปัจจัยที่มีผลต่อรายจ่ายสาธารณะด้านสังคมได้แก่ปัจจัยด้านสังคม และปัจจัยด้านการตัดสินใจ 2) ปัจจัยที่มีผลต่อรายจ่ายด้านการศึกษาได้แก่ปัจจัยด้านการตัดสินใจ ปัจจัยด้านสังคม ปัจจัยด้านเศรษฐกิจและปัจจัยด้านการเมือง 3) ปัจจัยที่มีผลต่อรายจ่ายด้านการ สาธารณสุขได้แก่ปัจจัยด้านสังคมและปัจจัยด้านการตัดสินใจ 4) ปัจจัยที่มีผลต่อรายจ่ายด้านการ สังคมสงเคราะห์ได้แก่ปัจจัยด้านสังคม ปัจจัยด้านการตัดสินใจ และปัจจัยด้านการเมือง 5) รายจ่าย สาธารณะด้านสังคมทําให้การกระจายรายได้ดีขึ้นเมื่อวัดจากค่าสัมประสิทธิ์ GINI แต่ทําให้การ กระจายรายได้แย่ลงเมื่อวัดจากสัดส่วนผลิตภัณฑ์มวลรวม (GDP) ภาคนอกการเกษตรต่อผลิตภัณฑ์ มวลรวม (GDP) ภาคการเกษตร 6) รายจ่ายด้านการศึกษาทําให้การกระจายรายได้ดีขึ้นเมื่อวัดจากค่า สัมประสิทธิ์ GINI และไม่มีผลต่อการกระจายรายได้เมื่อวัดจากสัดส่วนผลิตภัณฑ์มวลรวม (GDP) ภาคนอกการเกษตรต่อผลิตภัณฑ์มวลรวม (GDP) ภาคการเกษตร 7) รายจ่ายด้านการสาธารณสุขทํา ให้การกระจายรายได้ดีขึ้นเมื่อวัดจากค่าสัมประสิทธิ์ GINI แต่ทําให้การกระจายรายได้แย่ลงเมื่อวัด จากสัดส่วนผลิตภัณฑ์มวลรวม (GDP) ภาคนอกการเกษตรต่อผลิตภัณฑ์มวลรวม (GDP) ภาค การเกษตร 8) รายจ่ายด้านการสังคมสงเคราะห์ทําให้การกระจายรายได้ดีขึ้นเมื่อวัดจากค่าสัมประสิทธิ์ GINI และไม่มีผลต่อการกระจายรายได้เมื่อวัดจากสัดส่วนผลิตภัณฑ์มวลรวม (GDP) ภาคนอก การเกษตรต่อผลิตภัณฑ์มวลรวม (GDP) ภาคการเกษตร ดังนั้นเพื่อให้การดําเนินนโยบายสังคมและการใช้รายจ่ายสาธารณะด้านสังคมสามารถ นําไปสู่เป้าหมายของการสร้างความเสมอภาค (Equity) ในสังคมอย่างแท้จริงรัฐบาลจึงควรให้ ความสําคัญกับการจัดสรรรายจ่ายที่เน้นเป้าหมายซึ่งเป็นกลุ่มผู้ยากจนมากกว่าการจัดสรรอย่างเท่า เทียมกันในทุกกลุ่มดังที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน นอกจากนี้ยังควรมีนโยบายและมาตรการอื่นๆ ที่ สนับสนุน เช่น 1) มาตรการการให้สินเชื่อแก่กลุ่มผู้ที่ยากจนเฉพาะ 2) มาตรการที่เปิดโอกาสให้ผู้ที่ ยากจนสามารถเข้าศึกษาในระดับที่สูงเท่าเทียมกันกับกลุ่มผู้ร่ำรวยหรือได้เปรียบกว่าในสังคม เช่น การกําหนดโควตาให้กลุ่มผู้ยากจนโดยเฉพาะในการเข้าศึกษาในระดับที่สูงกว่าการศึกษาภาคบังคับ 3) มาตรการที่เป็นรูปธรรมในการส่งเสริมให้กลุ่มผู้ยากจนให้เข้ามามีส่วนร่วมทางการเมืองให้มาก ขึ้น เช่นควรปรับปรุงกติการะดับชาติโดยกําหนดสัดส่วนกลุ่มผู้ยากจนให้มีตัวแทนของตนในสภา ผู้แทนราษฎร |
Description: |
วิทยานิพนธ์ (รป.ด.)--สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2010 |
Subject(s): | รายจ่ายของรัฐ -- ไทย
การกระจายรายได้ -- ไทย |
Keyword(s): | รายจ่ายสาธารณะ |
Resource type: | ดุษฎีนิพนธ์ |
Extent: | 271 แผ่น ; 30 ซม. |
Type: | Text |
File type: | application/pdf |
Language: | tha |
Rights: | ผลงานนี้เผยแพร่ภายใต้ สัญญาอนุญาตครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 4.0 (CC BY-NC-ND 4.0) |
URI: | http://repository.nida.ac.th/handle/662723737/957 |
Files in this item (CONTENT) |
|
View ทรัพยากรสารสนเทศทั้งหมดในคลังปัญญา ใช้เพื่อประโยชน์ทางการเรียนการสอนและการค้นคว้าเท่านั้น และต้องมีการอ้างอิงแหล่งที่มาทุกครั้งที่นำไปใช้ ห้ามดัดแปลงเนื้อหา และทำสำเนาต่อ รวมถึงไม่ให้อนุญาตนำไปใช้ประโยชน์เพื่อการค้า ไม่ว่ากรณีใด ๆ ทั้งสิ้น
|
This item appears in the following Collection(s) |
|
|