พรพรรณ ประจักษ์เนตรฉันทกร แก้วเกษ2022-12-272022-12-272018https://repository.nida.ac.th/handle/662723737/6110วิทยานิพนธ์ (ศศ.ม. (นิเทศศาสตร์และนวัตกรรม))--สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2561การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ เพื่อศึกษา 1) การรับรู้ 2) ความสัมพันธ์และ 3) การ พยากรณ์ระหว่างรูปแบบการสื่อสารองค์การ สื่อประชาสัมพันธ์ การสื่อสารวัฒนธรรมองค์การ และผลการปฏิบัติงานของพนักงานบริษัทเอกชนในเขตกรุงเทพมหานครกลุ่มตัวอย่าง คือ พนักงานบริษัทเอกชน จำนวนทั้งสิ้น 533 คน เก็บข้อมูลโดยใช้การสุ่ม ตัวอย่างแบบตามสะดวกในเดือนมีนาคม 2561 เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูลเป็นแบบสอบถาม ออนไลน์ชนิดมาตรประมาณค่าที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นเอง สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และค่าสัมประสิทธิสหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน และการวิเคราะห์การถดถอยสหสัมพันธ์เชิงเส้น โดยการทดสอบสมมติฐานใช้ระดับความมี นัยสำคัญ .05ผลการวิจัยพบว่า 1) พนักงานมีระดับการรับรู้รูปแบบการสื่อสารองค์การ การรับรู้สื่อ ประชาสัมพันธ์และการรับรู้การสื่อสารวัฒนธรรมองค์การภาพรวมอยู่ในระดับบ่อยครั้ง และ พนักงานมีระดับการแสดงพฤติกรรมผลการปฏิบัติงานภาพรวมอยู่ในระดับสม่ำเสมอ 2) การรับรู้ รูปแบบการสื่อสารองค์การ การรับรู้สื่อประชาสัมพันธ์ การรับรู้การสื่อสารวัฒนธรรมองค์การ และการแสดงผลการปฏิบัติงาน มีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญ 3) ตัวแปรที่สามารถพยากรณ์ ผลการปฏิบัติงาน ประกอบด้วย 9 ตัวแปรเรียงตามลำดับความสำคัญ ได้แก่ (1) การจัดการ ทรัพยากรมนุษย์ (2) การมุ่งผลสำเร็จของงาน (3) การทำงานร่วมกันเป็นทีม (4) สื่อ กิจกรรม (5) ความสม่ำเสมอ (6) สื่อเบ็ดเตล็ด (7) การจัดองค์การสอดคล้องกับสภาพแวดล้อม (8) การลด การควบคุม (9) การให้ความสำคัญแก่ภาวะผู้นำ134 แผ่นapplication/pdfthaผลงานนี้เผยแพร่ภายใต้ สัญญาอนุญาตครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 4.0 (CC BY-NC-ND 4.0)พนักงานบริษัทเอกชน--กรุงเทพมหานครการรับรู้การรับรู้รูปแบบการสื่อสารองค์การ สื่อประชาสัมพันธ์ และการสื่อสารวัฒนธรรมองค์การ ที่พยากรณ์ผลการปฏิบัติงานของพนักงานบริษัทเอกชนในเขตกรุงเทพมหานครThe predicting between perception of organizat communication, media, organizational culture communication and job performance : a study of corporate in Bangkoktext--thesis--master thesis10.14457/NIDA.the.2018.94