ปิยะนุช โปตะวณิชนาฏอนงค์ ขำเจริญ2019-02-122019-02-122015b190056http://repository.nida.ac.th/handle/662723737/4252วิทยานิพนธ์ (น.ม.)--สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2558จากสภาพอาชญากรรมที่มีลักษณะยุ่งยาก สลับซับซ้อนมากยิ่งขึ้นทำให้การรวบรวม พยานหลักฐานในการกระทำความผิดเป็นไปได้ยากประกอบกับเจ้าหน้าที่ซึ่งมีหน้าที่ในการปราบปราม ผู้กระทำความผิดในปัจจุบันไม่สามารถที่จะปราบปรามอาชญากรรมได้อย่างทันท่วงทีและมี ประสิทธิภาพเท่าที่ควร จนอาจเกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อประเทศชาติได้ ทั้งการปฏิบัติงาน ของหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมของไทยยังคงขาดความเชื่อมโยงและการบูรณาการร่วมกันทำ ให้บาปเคราะห์ยังคงเกิดแก่ประชาชนอยู่เอง ด้วยเหตุนี้ รัฐบาลจึงได้พยายามหาทางแก้ไขปัญหาที่ เกิดขึ้นจากความจำกัดดังกล่าวของหน่วยงานตำรวจอย่างจริงจังโดยการจัดให้มีหน่วยงานพิเศษขึ้น เพื่อแก้ไขปัญหาอาชญากรรมที่มีความยุ่งยากซับซ้อนนั้นจึงได้มีการจัดตั้งกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ขึ้นและมีอำนาจหน้าที่โดยตรงในการสืบสวนคดีที่มีลักษณะเป็นคดีพิเศษได้โดยเฉพาะ อย่างไรก็ตาม การที่รัฐจัดให้มีหน่วยงานต่างๆ เพิ่มขึ้นเพื่อมารับมือกับปัญหาอาชญากรรมนั้นทำให้รัฐต้องประสบกับ ปัญหาใหม่ตามมาอีกนานัปการทั้งยังก่อความสับสนในทางปฏิบัติอันสืบเนื่องมาจากความไม่ชัดเจนใน ตัวบทกฎหมาย โดยเฉพาะหากเป็นคดีพิเศษที่กรมสอบสวนคดีพิเศษมีอำนาจตามพระราชบัญญัติการ สอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ.2547 และคดีดังกล่าวเป็นความผิดนอกราชอาณาจักรตามประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 20 ด้วยนั้น ใครควรมีอำนาจสอบสวน องค์กรสอบสวนคดีพิเศษมี อำนาจสอบสวนได้เองหรือต้องได้รับมอบหมายจากอัยการสูงสุดก่อนกรณียังเกิดความสับสนในทาง ปฏิบัติจนและบางครั้งก็อาจเกิดความชะงักงันในการปฏิบัติหน้าที่ด้วยเกรงจะเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดย มิชอบอันจะส่งผลถึงอำนาจฟ้องของพนักงานอัยการซึ่งจะก่อให้เกิดความเสียหายต่อประชาชนใน สังคมและกระบวนการยุติธรรมอย่างมากจากการศึกษาอำนาจสอบสวนคดีอาญานอกราชอาณาจักรของพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ตามพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พนักงานสอบสวนคดีพิเศษมีอำนาจเพียงใดนั้น ได้มี ความเห็นแตกต่างกัน ดังนี้ ฝ่ายแรกเห็นว่า การสอบสวนคดีพิเศษนอกราชอาณาจักร ตามพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พนักงานสอบสวนคดีพิเศษ อยู่ภายใต้อำนาจของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 20 อันเป็นอำนาจของอัยการสูงสุดหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายฝ่ายที่สองเห็นว่า การสอบสวน เป็นอำนาจของพนักงานสอบสวนคดีพิเศษโดยเฉพาะ เพราะกระบวนการยุติธรรมในประเทศไทยมิได้เอื้อให้พนักงานอัยการสามารถทำการสอบสวนได้เองอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยเหมือนในต่างประเทศ เป็นผลให้การใช้อำนาจสอบสวนของพนักงานอัยการไทยกระทำได้อย่างติดขัด ทั้งถือเป็นเพียงข้อยกเว้นของกฎหมายเท่านั้น และแม้ประมวลกฎหมายวิธี พิจารณาความอาญา มาตรา 20 ที่แก้ไขใหม่จะได้บัญญัติให้พนักงานอัยการมีอำนาจในการสอบสวน เพิ่มขึ้นประหนึ่งทำให้อำนาจสอบสวนของพนักงานอัยการไทยมีความใกล้ชิดกับความเป็นสากลในคดี ความผิดนอกราชอาณาจักรมากขึ้น แต่ในทำงปฏิบัติพนักงานอัยการก็มิได้เข้าไปมีบทบาทในการ สอบสวนด้วยตนเองอย่างในต่างประเทศ หากยังคงมอบหมายให้พนักงานสอบสวนเป็นผู้ทำหน้าที่ สอบสวนหรือเป็นผู้รับผิดชอบในการสอบสวนอยู่นั้นเอง ทั้งนี้ ด้วยข้อจำกัดนานัปการของฝ่ายอัยการ เองกอปรกับประเทศไทยได้ยึดถือและมีหลักปฏิบัติหลายประการที่แตกต่างจากประเทศอื่น เช่น ตาม มาตรา 120 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจำรณาความอาญาดังนั้น ในการนากฎหมายหรือหลักปฏิบัติ ใดๆ ของต่างประเทศมาใช้จึงจำเป็นอย่ำงยิ่งที่จะต้องปรับใช้ให้สอดคล้องกับบริบทของสังคมไทยด้วยผู้เขียนจึงเสนอแนะให้มีการแก้ไขพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ.2547 มาตรา 21 วรรคหนึ่ง(2) เป็น“คดีพิเศษที่จะต้องดำเนินการสืบสวนและสอบสวนพระราชบัญญัตินี้ ได้แก่ คดี ความผิดทำงอาญาดังต่อไปนี้ (2) คดีความผิดทางอาญาอื่นนอกจาก (1) ตามที่ กคพ. มีมติด้วย คะแนนเสียงไม่น้อยกว่าสองในสามของกรรมการทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ เป็น “คดีความผิดทางอาญาอื่น นอกจาก (1) ตามที่ กคพ. มีมติด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่าสองในสามของกรรมการทั้งหมดเท่าที่มี อยู่ แต่กรณีความผิดทางอาญานั้นเป็นความผิดนอกราชอาณาจักรตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความอาญามาตรำ 20 ให้พนักงานสอบสวนคดีพิเศษมีอำนาจสอบสวนคดีนั้นได้โดยตรงโดยไม่ต้อง ได้รับมอบหมายจากอัยการสูงสุดก่อน และให้เป็นการสอบสวนที่ชอบด้วยกฎหมาย”244 แผ่นapplication/pdfthaผลงานนี้เผยแพร่ภายใต้ สัญญาอนุญาตครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 4.0 (CC BY-NC-ND 4.0)พนักงานอัยการวิธีพิจารณาความอาญาการสืบสวนคดีอาญาการสอบสวนคดีอาญาอำนาจการสอบสวนคดีความผิดที่ได้กระทำนอกราชอาณาจักร : ศึกษากรณีพนักงานอัยการกับดีเอสไอAuthority to investigate offenses committees abroad : case study prosecutor with the DSItext--thesis--master thesis10.14457/NIDA.the.2015.219