วริยา ล้ำเลิศระวิวรรณ ทวิชสังข์2023-03-102023-03-102020b210967https://repository.nida.ac.th/handle/662723737/6331วิทยานิพนธ์ (น.ม.)--สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2562ในการหาแหล่งเงินทุนสำหรับผู้ประกอบการ สถาบันการเงินมักเป็นตัวเลือกแรก ๆ ที่ ผู้ประกอบการให้ความสนใจเพื่อเป็นแหล่งเงินทุนให้กับบริษัทหรือกิจการของผู้ประกอบการ แต่ใน ขณะเดียวกันสถาบันการเงินก็อนุมัติวงเงินและปล่อยสินเชื่อได้ในวงเงินที่จำกัด เนื่องจากต้องอยู่ ภายใต้ข้อกำหนดของธนาคารแห่งประเทศไทย ประกอบกับการพิจารณาสินเชื่อให้กับลูกค้าแต่ละรายนั้น สถาบันการเงินจะพิจารณาถึงปัจจัยหลาย ๆ อย่าง เช่น จำนวนวงเงินที่ผู้ประกอบการขอกู้ ความสามารถในการชำระคืน และมูลค่าของหลักประกันที่ผู้ประกอบการนำมาเป็นหลักประกันในการ ขอสินเชื่อ ทั้งนี้ ในการนำทรัพย์สินมาเป็นประกันการชำระหนี้ หากทรัพย์นั้นมีมูลค่าไม่ต่ำกว่าหนี้ที่ เป็นประกัน ย่อมเป็นการจูงใจให้ธนาคารหรือสถาบันการเงินในการให้สินเชื่อ (Extension of Credit) เนื่องจากธนาคารหรือสถาบันการเงินย่อมมีความมั่นใจว่า แม้ลูกหนี้หรือผู้ขอสินเชื่อจะไม่ชำระหนี้ ธนาคารหรือสถาบันการเงินก็ยังสามารถที่จะบังคับชำระหนี้จากทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันได้ ดังนั้น มาตรการการประกันการชำระหนี้ด้วยทรัพย์สิน จึงเป็นมาตรการหนึ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง ในการหาเงินทุนหมุนเวียนมาใช้ในการประกอบธุรกิจ และเป็นส่วนสำคัญต่อการส่งเสริมการลงทุนใน การประกอบธุรกิจและพัฒนาระบบเศรษฐกิจของประเทศโดยรวมให้มีเสถียรภาพมากยิ่งขึ้น สำหรับประเทศไทยกฎหมายเกี่ยวกับหลักประกันมีแค่ค้ำประกัน จำนำ และจำนอง เท่านั้นที่ สถาบันการเงินนำไปใช้เกี่ยวกับการประกันการชำระหนี้โดยเป็นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและ พาณิชย์มาตรา 702, 703 และมาตรา 747 กฎหมายหลักประกันดังกล่าวเป็นประโยชน์ในวงจำกัด และไม่สอดคล้องหรือรองรับกับความเปลี่ยนแปลงของโลกในยุคปัจจุบันทำให้ทรัพย์สินที่มีมูลค่าทาง เศรษฐกิจหลายอย่างไม่สามารถนำมาเป็นหลักประกันได้ เช่น วัตถุดิบ สินค้าคงคลัง สิทธิเรียกร้อง ทรัพย์สินทางปัญญา เป็นต้น จากปัญหาข้อจำกัดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ไม่เอื้อต่อ การใช้ประโยชน์จากทรัพย์สินซึ่งเป็นหลักประกันและทรัพย์สินบางประเภทที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจ แต่ ไม่สามารถนำมาเป็นหลักประกันตามกฎหมายได้ จึงทำให้เป็นที่มาของพระราชบัญญัติหลักประกัน ทางธุรกิจ พ.ศ. 2558 ซึ่งได้มีประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2558 และมีผล ใช้บังคับในวันที่ 2 กรกฎาคม 2562 จากการศึกษาและวิเคราะห์พระราชบัญญัติหลักประกันทางธุรกิจ พ.ศ. 2558 พบว่า พระราชบัญญัติดังกล่าวมีเจตนารมณ์ที่จะให้ผู้ประกอบการเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ดีขึ้น โดยนอกจากจะเพิ่มเติมประเภททรัพย์สินที่สามารถนำมาเป็นหลักประกันได้แล้ว ผู้ประกอบการยังสามารถใช้ ประโยชน์จากหลักประกันนั้นได้ต่อไป แต่อย่างไรก็ตามจากการศึกษายังพบว่าพระราชบัญญัติ หลักประกันทางธุรกิจ พ.ศ. 2558 นั้น ยังคงมีข้อบกพร่องอยู่หลายประการไม่ว่าจะเป็นปัญหา กฎหมายเกี่ยวกับบุคคลที่เกี่ยวข้องในการทำสัญญา ผลของสัญญาและนิติสัมพันธ์ระหว่างผู้ให้ หลักประกันกับผู้รับหลักประกัน ปัญหาเกี่ยวกับสิทธิหน้าที่ระหว่างผู้ให้หลักประกันและผู้รับ หลักประกันกับบุคคลภายนอก และปัญหาเกี่ยวกับการบังคับหลักประกัน.โดยแนวทางการแก้ปัญหาที่ ผู้ศึกษานำมาเสนอนั้นเป็นเพียงแนวทางหนึ่งในการแก้ไขปัญหาเท่านั้น หากมีการแก้ไขบทบัญญัติของ พระราชบัญญัติหลักประกันทางธุรกิจฉบับนี้จริง จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องสอบถามความเห็นของภาค ธุรกิจและผู้ที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ เพื่อให้ทราบถึงปัญหาในทางปฎิบัติ ทั้งนี้ เพื่อให้การปรับปรุง พระราชบัญญัติดังกล่าวสมบูรณ์และสมประโยชน์ทั้งในส่วนของผู้รับหลักประกัน และผู้ให้หลักประกัน และในส่วนอื่น ๆ ต่อไป139 แผ่นapplication/pdfthaผลงานนี้เผยแพร่ภายใต้ สัญญาอนุญาตครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 4.0 (CC BY-NC-ND 4.0)พระราชบัญญัติหลักประกันทางธุรกิจ พ.ศ. 2558หลักประกันทางธุรกิจปัญหาหลักประกันตามพระราชบัญญัติหลักประกันทางธุรกิจ พ.ศ. 2558Collateral problems in accondance of Commercial Collateral Act B.E. 2558text--thesis--master thesis10.14457/NIDA.the.2020.86