ชัยศิลป์ อุตส่าห์2023-02-062023-02-062018b203241https://repository.nida.ac.th/handle/662723737/6292การกำหนดเขตพัฒนาการท่องเที่ยว นับเป็นเรื่องใหม่ในการบริหารและพัฒนาการท่องเที่ยว เพื่อให้การท่องเที่ยวพัฒนาไปสู่ความยั่งยืนในประเทศไทย โดยการก าหนดขอบเขตพื้นที่ กำหนด แผนพัฒนาและแผนปฏิบัติการ กำหนดหน่วยงานหรือองค์กรในการบริหารจัดการ การจัดเก็บรายได้ ตลอดจนการส่งเสริมและอ านวยความสะดวกต่อการเดินทางท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวและการ ดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการ ซึ่งการบริหารจัดการการท่องเที่ยวโดยการการกำหนดเขตพัฒนาการ ท่องเที่ยวนี้เป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่จะเพิ่มผลิตภัณฑ์ทางการท่องเที่ยวใหม่เข้าสู่ตลาดปัจจุบัน การบริหาร จัดการและกำกับดูแลการท่องเที่ยว ทั้งนักท่องเที่ยว ผู้ประกอบการ กระทำโดยหน่วยงานของรัฐคือ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาผ่านกฎหมายระดับพระราชบัญญัติ กฎกระทรวง และแผนพัฒนาการ ท่องเที่ยวฉบับต่าง ๆ ส่วนการก ากับดูแลแหล่งท่องเที่ยว กฎหมายให้อำนาจกระทรวงเจ้าของแหล่ง ทรัพยากรธรรมชาติแต่ละแห่งเป็นหลักในการบริหารจัดการ จึงกล่าวได้ว่าการบริหารจัดการการ ท่องเที่ยวแทบทั้งหมดกระทำผ่านกลไกบริหารจัดการโดยหน่วยงานของรัฐ ประชาชนหรือชุมชนใน แหล่งท่องเที่ยวส่วนใหญ่มีส่วนร่วมแค่เสนอความคิดเห็น และรับฟังความคิดเห็นเท่านั้น ไม่ได้มีส่วน ร่วมในโครงสร้างการบริหารลักษณะอื่นตามกฎหมายการกำหนดเขตพัฒนาการท่องเที่ยวจะช่วยให้กำหนดแผนพัฒนาการท่องเที่ยวและ แผนปฏิบัติการท่องเที่ยวเป็นไปอย่างชัดเจน หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องก็สามารถกำหนดแนว ทางการให้การสนับสนุนการท่องเที่ยวได้อย่างรวดเร็วและตรงตามความต้องการของแหล่งท่องเที่ยว ส่งผลให้การบริหารการท่องเที่ยวเป็นการบริหารแบบบูรณาการอย่างแท้จริงและสอดคล้องกับ แผนพัฒนาการท่องเที่ยวแห่งชาติจากการศึกษาพบว่า การกำหนดเขตพัฒนาการท่องเที่ยวของประเทศไทยในปัจจุบัน เป็นการ กำหนดโดยภูมิศาสตร์หรือที่ตั้งของแหล่งท่องเที่ยวเป็นหลัก แม้จะมีการกำหนดเขตพัฒนาการ ท่องเที่ยวโดยการใช้หลักแหล่งวัฒนธรรมหรือทรัพยากรเป็นหลักในการก าหนดแต่ก็เป็นการกำหนด หรือแบ่งเขตพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างกว้าง ๆ ไม่สะท้อนหรือครอบคลุมทุกมิติ ส่วนการบริหาร จัดการเป็นการบริหารโดยคณะกรรมการประจำอาศัยเขต ซึ่งประธานและกรรมการส่วนใหญ่เป็น ข้าราชการประจำมีภารกิจหลักที่ไม่ใช่การท่องเที่ยว การมอบหมายหรือเพิ่มภารกิจให้ข้าราชการ ประจำรับหน้าที่บริหารจัดการการท่องเที่ยวซึ่งเป็นรายได้หลักที่สำคัญของประเทศ คาดว่าจะเป็นภาระหนักเกินไปและยากจะสัมฤทธิผลแม้การบริหารและพัฒนาเขตการท่องเที่ยวจะเป็นส่วนหนึ่งของ การท่องเที่ยวโดยรวมของประเทศก็ตาม ขณะที่ภาคประชาชน รวมทั้งผู้ประกอบกิจการเกี่ยวกับการ ท่องเที่ยวในเขตพัฒนาการท่องเที่ยวขาดการมีส่วนร่วมอย่างเป็นรูปธรรมในการบริหารและพัฒนาเขต การท่องเที่ยว นอกจากนี้ รายได้หลักของการบริหารและพัฒนาเขตการท่องเที่ยวเป็นการสนับสนุน โดยใช้งบประมาณแผ่นดินเป็นหลัก ไม่มีแนวทางในการสร้างรายได้จากช่องทางอื่น อีกทั้งยังไม่มีการ กำหนดมาตรการจูงใจหรือข้อได้เปรียบในการเดินทางมาท่องเที่ยวหรือการมาประกอบกิจการของนัก ธุรกิจในเขตพัฒนาการท่องเที่ยว ดังนั้นการเดินทางมาท่องเที่ยวหรือการประกอบกิจการในเขต พัฒนาการท่องเที่ยวก็ไม่มีความแตกต่างจากการเดินทางท่องเที่ยวหรือประกอบกิจการนอกเขต พัฒนาการท่องเที่ยวจึงเห็นควรให้แก้ไขพระราชบัญญัตินโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติ พ.ศ.2551 โดยการเพิ่ม สิทธิและหน้าที่ตามกฎหมายโดยการให้ชุมชนและผู้ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับการท่องเที่ยวในเขต พัฒนาการท่องเที่ยวมีส่วนร่วมเป็นหนึ่งในคณะกรรมการบริหารและพัฒนาเขตการท่องเที่ยว มีสิทธิใน ฐานะกรรมการมีส่วนร่วมขั้นตอนการวางแผนพัฒนาการท่องเที่ยว การกำหนดแผนปฏิบัติการ ท่องเที่ยว การติดตามและประเมินผล ทั้งนี้เพื่อให้รูปแบบของการบริหารเขตพัฒนาการท่องเที่ยวที่ทุก ฝ่ายมีส่วนร่วม เป็นการอำนวยประโยชน์ให้ทั้งนักท่องเที่ยว ผู้ประกอบการ โดยที่หน่วยงานของรัฐที่มี หน้าที่กำกับดูแล ก็สามารถตรวจสอบ ส่งเสริม หรือสนับสนุนด้านต่าง ๆ ได้อย่างเหมาะสม จึงจะ ประกันได้ว่าจะสามารถแก้ไขปัญหาหรือส่งเสริมการท่องเที่ยว รวมทั้งสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับการ ท่องเที่ยวของประเทศให้เป็นการท่องเที่ยวที่ยั่งยืนได้อย่างแท้จริง319 แผ่นapplication/pdfthaผลงานนี้เผยแพร่ภายใต้ สัญญาอนุญาตครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 4.0 (CC BY-NC-ND 4.0)การท่องเที่ยว -- กฎหมายและระเบียบข้อบังคับ -- ไทยกฎหมายเพื่อการบริหารและพัฒนาการท่องเที่ยว: ศึกษากรณีการกำหนดเขตพัฒนาการท่องเที่ยวLegal measures in tourism management and development : a case study on establishing a tourism zonetext--thesis--doctoral thesis10.14457/NIDA.the.2018.101