พรพรรณ ประจักษ์เนตรกวินตรา มาพันศรี2023-04-102023-04-102019b210003https://repository.nida.ac.th/handle/662723737/6353วิทยานิพนธ์ (ศศ.ม. (นิเทศศาสตร์และนวัตกรรม))--สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2562งานวิจัยเรื่องปัจจัยการรับรู้ความน่าเชื่อถือของแหล่งสารการรับรู้ส่วนประสมการตลาด ออนไลน์ที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อทุเรียนสดผ่านเฟซบุ๊ก มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อเปรียบเทียบความ แตกต่างของลักษณะทางประชากรกับการรับรู้ความน่าเชื่อถือของแหล่งสารเกี่ยวกับทุเรียนสดบนร้านค้าเฟซบุ๊ก 2) เพื่อเปรียบเทียบความแตกต่างของลักษณะทางประชากรกับการรับรู้ส่วนประสม การตลาดออนไลน์เกี่ยวกับทุเรียนสดบนร้านค้าเฟซบุ๊ก 3) เพื่อเปรียบเทียบความแตกต่างของ ลักษณะทางประชากรกับพฤติกรรมการตัดสินใจซื้อทุเรียนสดบนร้านค้าเฟซบุ๊ก โดยเป็นการ ศึกษาวิจัยเชิงปริมาณ และใช้แบบสอบถามออนไลน์บนเฟซบุ๊กจากกลุ่มตัวอย่างประชากรที่เคยมี ประสบการณ์ซื้อทุเรียนสดผ่านเฟซบุ๊ก ในช่วงเดือนมีนาคม พ.ศ.2562 จำนวน 400 คน การวิเคราะห์ข้อมูลใชส้ถิติเชิงพรรณนาได้แก่ค่าร้อยละความถี่ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน โดยนำเสนอในรูปแบบตารางประกอบการแปลความเชิงบรรยาย และสถิติวิเคราะห์เชิงอนุมาน สถิติ t-test และ สถิติการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (One way ANOVA ) เพื่อทดสอบความ แตกต่างระหว่างค่าเฉลี่ยมากกว่า 2กลุ่ม ผลการวิจัยพบว่า 1)ลักษณะทางประชากรด้านเพศต่างกันมีการรับรู้ต่อความน่าเชื่อถือของแหล่งสารแตกต่างกัน 2)ลักษณะทางประชากรด้านเพศต่างกันมีการรับรู้ต่อส่วนประสมการตลาดออนไลน์ด้านผลิตภัณฑ์ด้านราคา ด้านการส่งเสริมการตลาดแตกต่างกัน 3) ลักษณะทางประชากร ด้านเพศต่างกัน มีพฤติกรรมการตัดสินใจซื้อทุเรียนสดบนร้านค้าเฟซบุ๊ก ด้านการประเมินทางเลือก ด้านพฤติกรรมหลังการตัดสินใจซื้อแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ0.05240 แผ่นapplication/pdfthaผลงานนี้เผยแพร่ภายใต้ สัญญาอนุญาตครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 4.0 (CC BY-NC-ND 4.0)พฤติกรรมผู้บริโภคการจัดซื้อ -- พฤติกรรมการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ปัจจัยการรับรู้ความน่าเชื่อถือของแหล่งสาร การรับรู้ส่วนประสมการตลาดออนไลน์ที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อทุเรียนสดผ่านเฟซบุ๊กFactors of perception on sources credibility of online marketing mix awareness affecting the consumer decisions in purchasing durian via Facebooktext--thesis--master thesis10.14457/NIDA.the.2019.94