แสวง รัตนมงคลมาศ, อาจารย์ที่ปรึกษาสาคร บุญอาจ2014-05-052014-05-051993http://repository.nida.ac.th/handle/662723737/1768วิทยานิพนธ์ (พบ.ม.(พัฒนาสังคม))--สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2536.การวิจัยนี้เป็นการวิจัยปฏิบัติการ ผู้วิจัยได้เข้าไปร่วมปฏิบัติการในพื้นที่ทดลองเป็นเวลา 1 เดือน โดย มีวัตถุประสงค์ที่จะศึกษาถึงผลของการนำระบบข่าวสารข้อมูลด้านกว้างและด้านลึกเพื่อแจ้งเตือนผู้ที่อยู่ในข่ายเบาะแสละเมิดกฎหมายเลือกตั้ง ตลอดจนศึกษาถึงปัจจัยต่าง ๆ ที่มีอิทธิพลต่อประสิทธิผลของการนำนโยบายป้องปรามทุจริตเลือกตั้งขององค์กรกลางไปปฏิบัติ รวมถึงปัญหาและอุปสรรคในการปฏิบัติงาน กลุ่มตัวอย่างคือ หัวคะแนนของผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่อยู่ในข่ายเบาะแสละเมิดกฎหมายเลือกตั้ง.ผลการวิจัยพบว่า.1. การนำสื่อด้านกว้าง อันได้แก่ โปสเตอร์ สติกเกอร์ สื่อโฆษณาทางทีวีและวิทยุกระจายเสียง ฯลฯ ไปใช้ในการแจ้งเตือนที่ไม่เน้นกลุ่มเป้าหมายและพื้นที่เป้าหมายใดโดยเฉพาะ พบว่าการใช้สื่อด้านกว้างนั้นส่งผลต่อการรับรู้ของประชาชนอยู่ในระดับหนึ่ง แต่มิได้เกิดผลในด้านการนำไปปฏิบัติ ปัญหาของกลไกการกระจายสื่อด้านกว้างคือความล่าช้าในการส่งไปยังพื้นที่ต่าง ๆ และอาสาสมัครบางส่วนไม่ได้ดำเนินการประชาสัมพันธ์ต่อ2. การนำสื่อด้านลึกโดยใช้รถประชาสัมพันธ์เคลื่อนที่จำนวน 4 คัน ซึ่งติดคัดเอาท์, เทปบันทึกเสียง, แจกใบปลิว, ติดโปสเตอร์, การปราศรัย ตลอดจนการปรากฏตัวแบบเผชิญหน้า พร้อมทั้งขยายผลการปรากฏตัว ซึ่งเป็นยุทธวิธีแจ้งเตือนที่มีลักษณะเน้นไปยังกลุ่มเป้าหมายและพื้นเป้าหมาย ผลการวิจัยพบว่าสื่อด้านลึกทำให้เกิดผลในการยับยั้งพฤติกรรมการเคลื่อนไหวของหัวคะแนนไม่ให้กระทำการทุจริตในการเลือกตั้ง.3. กระบวนการนำนโยบายป้องปรามทุจริตเลือกตั้งขององค์กรกลางไปปฏิบัติประสบผลสำเร็จได้ด้วยองค์ประกอบ 4 ประการคือ3.1 ด้านความแจ่มชัดในเป้านโยบาย คือ มีเป้าในการนำนโยบายไปปฏิบัติ 3 ด้านด้วยกันคือ เป้าป้องกันการทุจริต เป้าปราบปรามการทุจริต และเป้าส่งเสริมให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการแจ้งเหตุเมื่อพบเห็นผู้กระทำความผิด3.2 ด้านการมีแผนปฏิบัติการในการแจ้งเตือน ได้มีการประชาสัมพันธ์เคลื่อนที่สองรอบคือ รอบแรกกระทำในช่วงกลางฤดูการเลือกตั้งในพื้นที่เป้าหมายทุกตำบลใน 5 อำเภอ รอบที่สอง กระทำในช่วงปลายฤดูการเลือกตั้งในพื้นที่เป้าหมายหลัก เพื่อเป็นการตอกย้ำให้หัวคะแนนรับรู้ว่ากำลังถูกองค์กรกลางและมหาดไทยจับตามองอยู่3.3 ด้านยุทธวิธีในการแจ้งเตือน มีการเลือกรูปแบบการแจ้งเตือนที่เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายและพื้นที่เป้าหมายคือ การปรากฏตัวแบบเผชิญหน้าโดยการสัมภาษณ์หัวคะแนนในพื้นที่อำเภอ ค และดักจับรถขนธนบัตรในพื้นที่อำเภอ ง พร้อมทั้งมีการขยายผลการปรากฏตัวไปยังพื้นที่อำเภอ ก, ข และ จ3.4 ด้านความพร้อมในทรัพยากรการบริหาร ซึ่งประกอบด้วย อัตรากำลัง งบประมาณ วัสดุอุปกรณ์ และระยะเวลา พบว่ามีความเหมาะสม4. ประสิทธิผลของการนำนโยบายป้องปรามทุจริตเลือกตั้งไปปฏิบัติ แบ่งออกเป็น 2 ด้านคือ4.1 ด้านคุณภาพโดยการสังเกตพฤติกรรมแบบไม่มีส่วนร่วมจากการสัมภาษณ์หัวคะแนนในพื้นที่อำเภอ ค พบว่า หัวคะแนนส่วนใหญ่มีความหวาดหวั่น เกรงกลัว ระแวงกลัวถูกลงโทษ4.2 ด้านปริมาณ โดยใช้เป้าชนะเปรียบเทียบกับผลคะแนนที่ผู้สมัครได้รับจากการเลือกตั้ง พบว่า ผู้สมัครของพรรคที่หัวคะแนนถูกแจ้งเตือนได้คะแนนต่ำกว่าเป้าชนะ และพ่ายแพ้ในการเลือกตั้งทั้งสามราย เนื่องจากหัวคะแนนส่วนใหญ่หยุดพฤติกรรมการเคลื่อนไหว เพราะเกรงกลัว หวาดหวั่น ระแวง กลัวถูกลงโทษสรุปผลการวิจัย.การนำเอานโยบายป้องปรามทุจริตเลือกตั้งขององค์กรกลางไปปฏิบัติประสบความสำเร็จได้ ด้วยการนำระบบข่าวสารข้อมูลด้านกว้างและด้านลึก เพื่อแจ้งเตือนประกอบกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสื่อด้านลึกนั้น สามารถยับยั้งพฤติกรรมการเคลื่อนไหวของหัวคะแนนที่ถูกแจ้งเตือนก-ช [100], 34 แผ่นapplication/pdfthaผลงานนี้เผยแพร่ภายใต้ สัญญาอนุญาตครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 4.0 (CC BY-NC-ND 4.0)JQ 1749 .A79 ส21การเลือกตั้ง -- ไทยหัวคะแนน -- ไทย -- นครศรีธรรมราชการนำนโยบายไปปฏิบัติประสิทธิผลการนำนโยบายป้องปรามทุจริตเลือกตั้งขององค์กรกลางไปปฏิบัติการ : วิจัยปฏิบัติการเรื่องการนำระบบข่าวสารข้อมูลด้านกว้างและด้านลึกเพื่อแจ้งเตือนผู้ที่อยู่ในข่ายเบาะแสละเมิดกฎหมายเลือกตั้งในเขตเลือกตั้ง ค จังหวัดนครศรีธรรมราชThe effectiveness of policy implementation on protecting election dishonesty of the Poll Watch Committee : a case study of action research on the use of open and specific target group media of information system for warning the suspected election law violators in election area C Nakornsrithammarath Provincetext--thesis--master thesis10.14457/NIDA.the.1993.44