อุบลวรรณ เปรมศรีรัตน์ปิยะฉัตร วัฒนพานิช2020-04-202020-04-202015b190083http://repository.nida.ac.th/handle/662723737/4826วิทยานิพนธ์ (ศศ.ม. (นิเทศศาสตร์และนวัตกรรม))--สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2558งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาโครงสร้างการเล่าเรื่องในภาพยนตร์แอนิเมชันยอดนิยม ในบริบทสากลเรื่อง “Frozen” “ผจญภัยแดนคํสาปราชินีหิมะ และโครงสร้างการเล่าเรื่องใน ภาพยนตร์แอนิเมชันตัอย่าง จำนวน 5 เรื่อง ได้แก่ Frozen, Toy Story 3, Despicable Me 2, Shrek 2 และ Finding Nemo โดยใช้ระเบียบวิธีการวิจัยเชิงคุณภาพด้วยการวิเคราะห์เนื้อหาจากภาพยนตร์ ประกอบการสัมภาษณ์นักวิจารณ์ภาพยนตร์ และสัมภาษณ์กลุ่มผู้ชมภาพยนตร์ ผลการศึกษาพบว่า 1) ที่มาของเรื่อง ดัดแปลงเนื้อเรื่องโดยใช้แนวคิดแบบ Innovation จาก นิทานพื้นบ้านเรื่อง Snow Queen เป็นภาพยนตร์แอนิเมชันเรื่อง Frozen โดยคงส่วนที่น่าสนใจ และ ปรับเปลี่ยนการดำเนินเรื่อง บทบาทตัวละครหลัก เพื่อให้เนื้อหาน่าสนใจเหมาะกับการเล่าเรื่องใน แบบแอนิเมชัน 2) โครงเรื่องและการดำเนินเรื่อง มีโครงเรื่องที่ง่ายไม่ซับซ้อน และมีการดำเนินเรื่อง ไปตามขนบการเล่าเรื่อง แต่มีการหักมุมที่ตอนท้ายของเรื่อง 3) การสร้างตัวละคร ภายใต้แนวคิด แบบ Post – Modernism คือการให้เจ้าชายเป็นตัวร้าย และคนธรรมดาเป็นพระเอก ตัวละครเจ้าหญิง มีความกล้หาญ พึ่งพาตัวเองและฟันฝ่าอุปสรรคโดยไม่รอความช่วยเหลือจากเจ้าชาย 4) แก่น ความคิด สะท้อนแนวคิดแบบ Post-Modernism นั่นคือ รักแท้ของเจ้าหญิง Frozen คือความรักของพี่ น้อง ไม่ใช่รักโรแมนติคของเจ้าชาย 5) ความขัดแย้ ระหว่างตัวละครเรื่องความเชื่อในรักแรกพบ 6) ฉาก ที่สร้างจากจินตนาการบนพื้นฐานความสมจริง ผลการศึกษาโครงสร้างการเล่าเรื่องใน ภาพยนตร์แอนิเมชันตัวอย่างพบว่า ภาพยนตร์แอนิเมชันตัวอย่างของ Frozen แตกต่างจากภาพยนตร์ แอนิเมชันตัวอย่างเรื่องอื่นในส่วนของภาพที่ตัดตอนมาจากภาพยนตร์ ในภาพยนตร์เนื่องจากมีกลวิธีในการนำเสนอที่ต้องการปิดบังตัวละครสำคัญและเนื้อเรื่องที่แท้จริงเพื่อทำให้ผู้ชม เกิดความประหลาดใจ191 แผ่นapplication/pdfthaผลงานนี้เผยแพร่ภายใต้ สัญญาอนุญาตครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 4.0 (CC BY-NC-ND 4.0)ภาพยนตร์ภาพยนตร์ -- การผลิตและการกำกับรายการภาพยนตร์ -- การเล่าเรื่องการเล่าเรื่องของภาพยนตร์แอนิเมชั่นยอดนิยมในบริบทสากลStorytelling of popular animation in global contexttext--thesis--master thesis10.14457/NIDA.the.2015.180