กุลทิพย์ ศาสตระรุจิไพลิน เม้ยขันหมาก2021-11-222021-11-222016b194326https://repository.nida.ac.th/handle/662723737/5313วิทยานิพนธ์ (ศ.ม. (นิเทศศาสตร์และนวัตกรรม))--สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2559การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษารูปแบบการสื่อสาร และ 2) ศึกษาปัจจัยการ สื่อสารของ บริษัท แพลน บี มีเดีย จำกัด (มหาชน) เพื่อสร้างความผูกพันกับพนักงาน เป็นการ ศึกษาวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) โดยผู้วิจัยได้ทำการวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis) รูปแบบการสื่อสาร และปัจจัยการสื่อสารของพนักงานบริษัท แพลน บี มีเดีย จ ากัด (มหาชน) ผ่านการสัมภาษณ์แบบเจาะลึกกับตัวแทนผู้บริหาร จำนวน 3 ท่าน และการสัมภาษณ์ แบบกลุ่ม (Focus Group) ผ่านตัวแทนพนักงานทุกระดับตำแหน่ง จำนวน 45 คน จาก 13 แผนก โดยเฉลี่ยตัวแทนพนักงานเข้าสัมภาษณ์จากจำนวนพนักงานทั้งหมด ผลการวิจัยพบว่า ในส่วนของรูปแบบการสื่อสาร พบว่าพนักงาน บริษัท แพลน บี มีเดีย จ ากัด (มหาชน) เลือกใช้การสื่อสารในรูปแบบของสื่อสังคม (Social Media) คือ ไลน์กลุ่ม ในการ สื่อสารทั้งในแบบเป็นทางการและไม่เป็นทางการ เนื่องจากไลน์กลุ่มเป็นรูปแบบการสื่อสารที่เปิด พื้นที่การสื่อสารระหว่างพนักงานในแต่ละกลุ่ม แต่ละระดับที่ทำงานสอดประสานกัน และการสื่อสารกับผู้บริหาร ทำให้พนักงานมีความผูกพันกับการทำงานมากขึ้น และส่งผลต่อความผูกพัน ในองค์กรต่อไป รองลงมา คือ การสื่อสารในรูปแบบของสื่อกิจกรรม ที่สร้างการมีส่วนร่วมในการทำกิจกรรมต่างๆ ของบริษัทฯ สามารถสร้างความรู้สึกผูกพันของพนักงานกับบริษัทฯ ได้ ในส่วนของปัจจัยด้านการสื่อสารเพื่อสร้างความผูกพันของพนักงานนั้น ผลวิจัยพบว่า ปัจจัยการสื่อสารที่มีผลต่อการสร้างความผูกพันของพนักงาน คือ ปัจจัยด้านผู้บริหาร ที่เป็นหัวใจ หลักขององค์กร ในการขับเคลื่อนบริษัทฯ ให้เป็นไปตามเป้ าหมายที่ได้วางไว้ รองลงมา คือ ปัจจัย ด้านผลตอบแทน ที่มีส่วนในการสร้างความผูกพันของพนักงานกับบริษัท แพลน บี มีเดีย จำกัด (มหาชน) ได้108 แผ่นapplication/pdfthaผลงานนี้เผยแพร่ภายใต้ สัญญาอนุญาตครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 4.0 (CC BY-NC-ND 4.0)การสื่อสารความผูกพันต่อองค์การการสื่อสารขององค์กรเพื่อสร้างความผูกพันของพนักงาน กรณีศึกษา บริษัท แพลน บี มีเดีย จำกัด (มหาชน)Corporate communication to build an employee engagement improvementtext--thesis--master thesis10.14457/NIDA.the.2016.50