NIDA Wisdom Repository

 

Communities in DSpace

Select a community to browse its collections.

Now showing 1 - 6 of 6
Thumbnail Image

คณะและวิทยาลัย

NIDA Schools and Colleges

Thumbnail Image

สำนักงานอธิการบดี

NIDA Office of the President

Thumbnail Image

ผลงานวิชาการ

NIDA Scholars

Thumbnail Image

หน่วยงาน

NIDA Units

Thumbnail Image

วารสารวิชาการ

NIDA Academic Journals

Thumbnail Image

หนังสืออิเล็กทรอนิกส์

NIDA E-Books

Recent Submissions

Thumbnail Image
Item
การศึกษาวาทกรรมในเพลงของวงไททศมิตรที่สะท้อนภาพความท้าทายต่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนของสังคมไทย
เมธาวี คำสวาสดิ์; อัศวิน เนตรโพธิ์แก้ว; วิชชุดา สร้างเอี่ยม (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2024)
การศึกษาครั้งนี้มีจุดประสงค์ 1) เพื่อศึกษาวาทกรรมที่สะท้อนภาพความท้าทายต่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนในเพลงของวงไททศมิตร 2) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างวาทกรรมที่สะท้อนภาพความท้าทายต่อการพัฒนาที่ยั่งยืนในเพลงของวงไททศมิตรกับความเป็นไปในสังคมไทยในช่วงปี พ.ศ. 2555 - 2565 โดยใช้วิธีวิจัยเชิงคุณภาพ (qualitative research) ด้วยการวิเคราะห์เนื้อหาสาร (content analysis) ในเพลงของวงไททศมิตรในอัลบั้ม เพื่อชีวิตกู ที่ศิลปินในวงเป็นผู้แต่งเองทั้งเพลง และเผยแพร่ผ่านช่อง YouTube ของ Gene Lab นับจากยอดวิวสูงสุด 3 อันดับ ได้แก่เพลงเสื้อกั๊ก เพลงเพื่อชีวิตกู และเพลงผีพนันแล้วเปรียบเทียบกับความเป็นไปในสังคมในช่วงปี พ.ศ. 2555 – 2565 ผลการศึกษา พบว่าเพลงของวงไททศมิตรได้สื่อสารวาทกรรมที่สะท้อนภาพความท้าทายต่อการพัฒนาที่ยั่งยืนทั้งหมด 5 เรื่อง โดยมีความสัมพันธ์กับความเป็นไปในสังคมไทย ดังนี้ 1) ความยากจน ที่สะท้อนถึงความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงทรัพยากรและการพัฒนาคุณภาพชีวิต แต่ไม่พบว่าคนจนใช้ชีวิตเพื่อความอยู่รอดของครอบครัวเป็นหลัก 2) การศึกษาและอาชีพ ที่สะท้อนถึงค่านิยมว่าการศึกษาระดับอุดมศึกษานำไปสู่อาชีพที่มั่นคง แต่ยังคงขัดแย้งกับภาวะว่างงานของบัณฑิต และไม่พบการด้อยค่าอาชีพใช้แรงงานหรืออาชีพด้านศิลปะ 3) บทบาทและหน้าที่ของผู้ชาย ที่สะท้อนว่าผู้ชายมีส่วนร่วมในแรงงานและการเมืองมากกว่าผู้หญิง แต่ไม่พบว่าผู้ชายต้องเป็นผู้นำครอบครัว 4) การพนัน ที่สะท้อนให้เห็นปัจจัยที่ส่งผลต่อความยากจน แต่ไม่พบว่าคนจนใช้เงินก้อนที่จำเป็นในการพนัน 5) ความบกพร่องของรัฐในการบริหารจัดการประเทศไทย ที่สะท้อนให้เห็นความเจริญที่กระจุกตัวอยู่ในเมือง และกระบวนการยุติธรรมที่มีการปฏิบัติอย่างไม่เท่าเทียม
Thumbnail Image
Item
โอกาสและความท้าทายในการปฏิบัติตามกฎหมายสินค้าปลอดจากการตัดไม้ ทำลายป่าของสหภาพยุโรป (European Union Deforestation Regulations: EUDR) ต่อผู้มีส่วนได้เสียในห่วงโซ่อุปทานในอุตสาหกรรมแปรรูปยางพาราไทย
กานต์มณี รัตน์ธนพันธ์; ฆริกา คันธา; ณพงศ์ นพเกตุ (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2024)
การศึกษาเรื่องโอกาสและความท้าทายในการปฏิบัติตามกฎหมายสินค้าปลอดการตัดไม้ทำลายป่าของ สหภาพยุโรป (EUDR) ต่อผู้มีส่วนได้เสียในอุตสาหกรรมแปรรูปยางพารา มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์โอกาสและความท้าทายในการปฏิบัติตามกฎหมายสินค้าปลอดการตัดไม้ทำลายป่าของสหภาพยุโรป (EUDR) ต่อผู้มีส่วนได้เสียในห่วงโซ่อุปทานช่วงต้นน้ำของอุตสาหกรรมแปรรูปยางพาราไทย รวมถึงการวิเคราะห์ความพร้อมของอุตสาหกรรมแปรรูปยางพาราไทยในการปฏิบัติตามกฎหมาย EUDR และเสนอแนวทางในการดำเนินงานปรับตัว ของผู้ประกอบการยางพาราในประเทศเนื่องจากกฎหมาย EUDR มีจุดมุ่งหมายเพื่อลดการตัดไม้ทำลายป่าจาก สินค้าอุปโภคที่ผลิตจากยางพาราจะต้องสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ว่าไม่เกี่ยวข้องกับการตัดไม้ทำลายป่า และ ผลิตอย่างถูกต้องตามกฎหมายของประเทศผู้ผลิต ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่ออุตสาหกรรมยางพาราไทย เนื่องจากประเทศไทยสามารถผลิตยางพาราได้เป็นอันดับ 1 ของโลก และมีสัดส่วนปริมาณยางพาราในอัตรา 1:3 ทำให้ผู้มีส่วนได้เสียในอุตสาหกรรมแปรรูปยางพาราต้องปรับเปลี่ยนวิธีการดำเนินงานเพื่อให้สอดคล้องกับเงื่อนไขทางการค้าจากกฎหมาย EUDR ดังนั้นการศึกษานี้จึงได้ให้ความสนใจในการสำรวจปัญหา อุปสรรค และการเตรียมตัวของกลุ่มเกษตรกร จุดรับซื้อน้ำยางพาราสด และโรงงานแปรรูปยางพารา รวมถึงโอกาสและความท้าทายในการปฏิบัติตามกฎหมาย EUDR เพื่อนำเสนอแนวทางการดำเนินงานให้สอดคล้องกับกฏหมายดังกล่าว
Thumbnail Image
Item
สถานการณ์จำลองการเปลี่ยนผ่านสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ที่ล่าช้า: กรณีศึกษาธุรกิจการเกษตรในประเทศไทย
ธวัลยา แสงสว่าง; ฆริกา คันธา; ณพงศ์ นพเกตุ (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2024)
การค้นคว้าอิสระนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสถานการณ์จำลอง Delay Transition to Net Zero ที่จัดทำโดย Network for Greening the Financial System (NGFS) ซึ่งเป็นสถานการณ์จำลองทางสภาพภูมิอากาศที่ตั้งสมมติฐานว่าการเปลี่ยนผ่านไปสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ทั่วโลกมีความล่าช้ากว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ และนำไปประยุกต์ใช้ในการวิเคราะห์ความเสี่ยงในการเปลี่ยนผ่าน (Transition Risks) ที่อาจเกิดขึ้นกับธุรกิจภาคการเกษตรไทย ผลการศึกษาพบว่าภายใต้สถานการณ์ Delay Transition ธุรกิจการเกษตรไทยอาจเผชิญกับความเสี่ยงจากการเพิ่มขึ้นของต้นทุนคาร์บอนและความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงราคาพลังงานซึ่งเกิดจากการที่อุปสงค์ของน้ำมันลดต่ำลง ในขณะที่อุปสงค์ของพลังงานชีวมวลเพิ่มสูงขึ้นในระยะยาว ซึ่งความเสี่ยงข้างต้นอาจส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตและการดำเนินธุรกิจในระยะยาว ดังนั้น ธุรกิจภาคการเกษตรไทยควรเตรียมความพร้อมโดยการสร้างความเข้าใจกลไกราคาคาร์บอนและนโยบายพลังงาน และคว้าโอกาสในการพัฒนาธุรกิจอย่างยั่งยืน ในขณะที่ภาครัฐมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมการลงทุนในกิจกรรมและเทคโนโลยีเพื่อให้ธุรกิจภาคการเกษตรไทยสามารถก้าวผ่านสู่เป้าหมาย Net Zero ได้สำเร็จ
Thumbnail Image
Item
แนวทางในการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมเวลโกรว์ สู่การเป็นเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ ระดับ Eco-Excellence
จิดาภา พานิชย์วัฒนานนท์; วิสาขา ภู่จินดา; พรพรหม สุธาทร (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2024)
การศึกษาค้นคว้าอิสระนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยในการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมเวลโกรว์สู่การเป็นเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ ระดับ Eco-Excellence ทั้งช่องว่างและแนวทางการยกระดับนิคมอุตสาหกรรมเวลโกรว์สู่เมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศระดับ Eco-Excellence ตามคู่มือเกณฑ์การตรวจประเมินเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย โดยใช้แบบสอบถามและการสัมภาษณ์แบบซึ่งหน้าเป็นเครื่องมือในการเก็บข้อมูล กลุ่มตัวอย่างคือ บริษัทภายในนิคมฯ จำนวน 30 บริษัทและผู้บริหารรวมถึงพนักงานสำนักงานนิคมอุตสาหกรรมเวลโกรว์ จำนวน 2 คน และคณะทำงานจากบริษัท เวลโกรว์ อินดัสทรีส์ จำกัด (ผู้พัฒนา) จำนวน 1 คน แล้วนำมาวิเคราะห์ช่องว่างการพัฒนา (Gap Analysis) เพื่อให้ทราบแนวทางการยกระดับ ผลการศึกษาพบว่าการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมเวลโกรว์ในมิติ 1) มิติสิ่งแวดล้อม 2) มิติสังคม 3) มิติการบริหารจัดการ เป็นจุดแข็งมีความโดดเด่นในการพัฒนาโดย 1) มิติสิ่งแวดล้อมพบว่าโรงงานสามารถดำเนินการวางแผน วิเคราะห์ปรับปรุงกระบวนการผลิตเพื่อให้เกิดการใช้วัตถุดิบ น้ำ พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ 2) มิติสังคมด้านวัสดุเหลือใช้พบว่าโรงงานผู้ประกอบการในนิคมฯ นำส่งข้อมูลตามระบบการจัดการของเสียออกนอกโรงงานครบถ้วนตามระบบกรมโรงงานอุตสาหกรรม ด้าน Happy Workplace นิคมฯ และโรงงานมีการดำเนินงานครบทั้ง 8 ประการและด้านความรับผิดชอบต่อสังคมและด้านความรับผิดชอบต่อสังคมพบช่องว่างโดยมีโรงงานที่ผ่านการตรวจประเมิน CSR-DIW ไม่ครบตามเกณฑ์กำหนด 3) มิติบริหารจัดการพบว่านิคมอุตสาหกรรมเวลโกรว์มีการจัดประชุมและเผยแพร่ผลการดำเนินงานเฝ้าระวังคุณภาพทางสิ่งแวดล้อม (EIA Monitoring) สู่ชุมชนและหน่วยงานภายนอกให้รับทราบทุก 6 เดือน ด้านการรับรองอุตสาหกรรมสีเขียว (Green Industry) ระดับ 4 พบว่าปัจจุบันโรงงานในนิคมฯ ยังมีโรงงานที่ไม่ผ่านการตรวจประเมินรับรอง อย่างไรก็ตามในมิติ 4) มิติกายภาพ 5) มิติเศรษฐกิจ ยังพบช่องรวมถึงปัญหาและอุปสรรคในการตอบแบบสอบถามและการขาดการร่วมดำเนินงานระหว่างโรงงานและนิคมฯ โดย 4) มิติกายภาพด้านขนส่งพบว่าโรงงานมีการใช้มาตรการเกี่ยวกับระบบขนส่งและโลจิสติกส์สีเขียว แต่ยังไม่กำหนดใช้ตลอดห่วงโซ่และ 5) มิติเศรษฐกิจด้านการพัฒนาวิสาหกิจชุมชนพบว่านิคมฯ ยังไม่มีวิสาหกิจชุมชน และโรงงานยังขาดความร่วมมือในการดำเนินงานร่วมกันในการพัฒนาวิสาหกิจชุมชนเพราะโรงงานแต่ละโรงงานจะดำเนินการด้านนี้ด้วยตนเอง
Thumbnail Image
Item
แนวทางการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของพนักงานในการขับเคลื่อน นโยบาย ESG กรณีศึกษา กลุ่มบริษัทเพื่อการลงทุนแห่งหนึ่ง
กฤษติกร มาประจง; ฆริกา คันธา; ณพงศ์ นพเกตุ (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2024)
การศึกษาเรื่อง "แนวทางการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของพนักงานในการขับเคลื่อนนโยบาย ESG: กรณีศึกษากลุ่มบริษัทเพื่อการลงทุนแห่งหนึ่ง เพื่อวิเคราะห์สถานการณ์ปัจจุบัน ระบุปัจจัยสนับสนุนและอุปสรรคตลอดจนนำเสนอแนวทางที่เป็นรูปธรรมในการเพิ่มการมีส่วนร่วมของพนักงานต่อการขับเคลื่อนนโยบาย ESG ขององค์กร การศึกษาใช้วิธีวิจัยแบบผสมผสาน ประกอบด้วยการทบทวนกรณีศึกษาจากองค์กรชั้นนำ การสัมภาษณ์เชิงลึกผู้บริหารและพนักงานที่เกี่ยวข้อง และการสำรวจความคิดเห็นพนักงานผ่านแบบสอบถาม ผลการศึกษานี้นำเสนอทั้งการวิเคราะห์สถานการณ์ปัจจุบัน ข้อเสนอแนะเชิงกลยุทธ์ และแผนปฏิบัติการที่เป็นรูปธรรม เพื่อยกระดับการมีส่วนร่วมของพนักงานในการดำเนินงานด้าน ESG ให้มีประสิทธิภาพและยั่งยืนมากยิ่งขึ้น การศึกษาในครั้งนี้ ใช้วิธีการรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลจากแหล่งที่เชื่อถือได้ ประกอบด้วยการทบทวนคู่มือเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนสำหรับบริษัทจดทะเบียนไทย งานวิจัยและบทความวิชาการที่เกี่ยวข้อง บทความออนไลน์ด้านการจัดการองค์กร และรายงานความยั่งยืนขององค์กรชั้นนำต่างๆ โดยนำข้อมูลมาวิเคราะห์และสังเคราะห์อย่างเป็นระบบ เพื่อนำเสนอแนวทางการพัฒนาที่เป็นรูปธรรมและสามารถนำไปปฏิบัติได้จริงในการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของพนักงานต่อการขับเคลื่อนนโยบาย ESG ขององค์กรอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน จากการวิเคราะห์ดังกล่าว สามารถสรุปผลการศึกษาได้ดังนี้ ในปัจจุบัน การดำเนินงานตามนโยบาย ESG กลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความยั่งยืนและภาพลักษณ์องค์กร การมีส่วนร่วมของพนักงานถือเป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อนนโยบายดังกล่าว อย่างไรก็ตาม กลุ่มบริษัทเพื่อการลงทุนแห่งหนึ่ง ถึงแม้ว่าจะมีนโยบาย ESG ที่ชัดเจน แต่ยังพบอุปสรรคในการสร้างการมีส่วนร่วมของพนักงานในทุกระดับ ซึ่งอาจเกิดจากการขาดความตระหนักรู้ การสื่อสารที่ไม่ทั่วถึง หรือการขาดแรงจูงใจที่เพียงพอ จึงเป็นความจำเป็นเร่งด่วนในการศึกษาปัจจัยที่ส่งเสริมและแนวทางแก้ไขปัญหาดังกล่าว งานวิจัยนี้ใช้วิธีการศึกษาแบบผสมผสานทั้งเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณ โดยแบ่งกระบวนการศึกษาออกเป็น 3 ขั้นตอนหลัก ประกอบด้วย การวิเคราะห์สถานการณ์ปัจจุบันผ่านการสำรวจความคิดเห็นของพนักงานในกลุ่มบริษัทเพื่อการลงทุนแห่งหนึ่ง เกี่ยวกับการมีส่วนร่วมในนโยบาย ESG ด้วยแบบสอบถามและการสัมภาษณ์เชิงลึก จากนั้นจึงทำการศึกษาแนวทางปฏิบัติที่ดีโดยวิเคราะห์กรณีศึกษาจากองค์กรอื่นที่ประสบความสำเร็จในการสร้างการมีส่วนร่วมของพนักงานด้าน ESG และขั้นตอนสุดท้ายคือการนำเสนอแนวทางปรับปรุงผ่านการจัดทำ ข้อเสนอแนะเชิงกลยุทธ์และแผนปฏิบัติการที่สอดคล้องกับบริบทขององค์กร ผลการศึกษาพบว่าสถานการณ์ปัจจุบันของพนักงานมีความตระหนักรู้ในนโยบาย ESG อยู่ในระดับปานกลาง (54.2%) แต่ยังขาดความเข้าใจในบทบาทของตนเอง (45.4%) อีกทั้งการสื่อสารภายในองค์กรยังไม่ครอบคลุมทุกระดับและขาดแรงจูงใจที่ชัดเจนในการส่งเสริมการมีส่วนร่วม โดยพบว่าปัจจัยที่ส่งเสริมประกอบด้วยการจัดอบรมให้ความรู้ การสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่สนับสนุนความยั่งยืน และการสนับสนุนจากผู้บริหารระดับสูงในขณะที่อุปสรรคสำคัญได้แก่การขาดความชัดเจนในนโยบาย การขาดทรัพยากรสนับสนุน และภาระงานประจำที่หนักเกินไป (30.1%) สำหรับแนวทางการส่งเสริมการมีส่วนร่วมนั้นควรมีการจัดอบรมเชิงปฏิบัติการเพื่อเพิ่มความเข้าใจใน ESG พัฒนากลยุทธ์การสื่อสารภายในที่มีประสิทธิภาพ สร้างแรงจูงใจด้วยรางวัลและการยกย่องพนักงาน รวมถึงจัดกิจกรรมที่เชื่อมโยงกับ ESG เช่น การรณรงค์ปลูกต้นไม้หรือกิจกรรมอาสาสมัคร ข้อเสนอแนะสำหรับการพัฒนาองค์กรประกอบด้วยสี่ด้านหลัก โดยด้านการสื่อสารนั้นองค์กรควรสร้างช่องทางที่ครอบคลุมและหลากหลายเพื่อให้ข้อมูลเกี่ยวกับ ESG เข้าถึงพนักงานทุกระดับ ในส่วนของการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ควรเพิ่มการอบรมที่เน้นบทบาทของพนักงานใน ESG และเสริมสร้างทักษะที่เกี่ยวข้อง สำหรับการสร้างวัฒนธรรมองค์กรนั้นควรส่งเสริมให้มุ่งเน้นความยั่งยืนโดยการบูรณาการ ESG เข้ากับกระบวนการทำงานประจำวัน และประการสุดท้ายคือการสร้างระบบติดตามและประเมินผลที่สามารถวัดประสิทธิภาพการมีส่วนร่วมของพนักงานใน ESG การส่งเสริมการมีส่วนร่วมของพนักงานในการขับเคลื่อน ESG เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับความสำเร็จของนโยบาย ESG ขององค์กร การสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการมีส่วนร่วมและการให้ความสำคัญกับความคิดเห็นของพนักงาน จะช่วยให้บริษัทบรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืนได้อย่างมีประสิทธิภาพ การศึกษานี้ได้เสนอแนะแนวทางปฏิบัติที่เป็นรูปธรรมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานด้าน ESG ของบริษัท และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าผลการศึกษาจะสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้จริง และเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาและการขับเคลื่อนนโยบาย ESG ของกลุ่มบริษัทเพื่อการลงทุนแห่งหนึ่ง อย่างยั่งยืนต่อไป
Thumbnail Image
Item
ศึกษาหลักเกณฑ์ การประเมินด้าน ESG และทำการประเมิน นโยบายของ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ เอเชีย จำกัด
กนกอร บูรณะพาณิชย์กิจ; วิสาขา ภู่จินดา; พรพรหม สุธาทร (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2024)
การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาหลักเกณฑ์ การประเมินด้าน ESG และทำการประเมิน นโยบายของ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ เอเชีย จำกัด ซึ่งเป็นองค์กรที่ผู้วิจัยทำงานอยู่ในปัจจุบัน เนื่องด้วยองค์กรยังไม่ทราบถึงรายละเอียดของข้อกำหนดของมาตรฐานการประเมินด้านความยั่งยืน ที่เป็นที่ยอมรับกันอย่างสากล ผู้วิจัยจึงได้ทำการศึกษา ค้นคว้าวิจัย และเปรียบเทียบ มาตรฐานต่างๆ เช่น MSCI ESG Rating หรือ Sustainalytics หรือ S&P Global ESG rating และได้ทำการคัดเลือก S&P Global ESG rating เพื่อทำการศึกษาเชิงลึกถึงรายละเอียดของข้อกำหนด และนำมาเปรียบเทียบกับนโยบายขององค์กรในปัจจุบัน และวิเคราะห์เพื่อหาช่องว่างในการพัฒนาพบว่า ทั้ง 3 มิติ ยังมีช่องว่างในการนำไปพัฒนาองค์กร เช่น ในด้านธรรมาภิบาล ควรให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการด้านความยั่งยืน ด้านสิ่งแวดล้อม ควรมุ่งเน้นให้มีการเปิดเผยข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตามข้อกำหนดสากล เช่น TCFD รวมไปถึง การส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาการออกแบบและเลือกใช้วัตถุดิบที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ด้านสังคม ควรให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการทรัพยากรมนุษย์ภายในองค์กร ส่งเสริมความหลากหลาย เท่าเทียม รวมถึงระบบการพัฒนาศักยภาพของพนักงาน ที่เป็นธรรมและโปร่งใส ซึ่งจากผลการศึกษานี้ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ เอเชีย จำกัด สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการสร้างกลยุทธ์ กำหนดนโยบาย โดยมุ่งเน้นไปในด้าน การกำกับดูแลกิจการ (Corporate Governance) การดูแลผลิตภัณฑ์(Product Stewardship) สิทธิมนุษยชน (Human Rights) การจัดการทุนมนุษย์ ( Human Capital Management) เพื่อพัฒนาความยั่งยืนในองค์กรต่อไป
Thumbnail Image
Item
อาคารสีเขียว: ปัจจัยความสำเร็จและแนวทางการพัฒนาอาคารเขียวในประเทศไทย
ไพรัตน์ ครุฑวิสัย; ฆริกา คันธา; ณพงศ์ นพเกตุ (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2024)
การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยสำคัญที่นำไปสู่ความสำเร็จของอาคารเขียวในประเทศไทย และเพื่อเสนอแนวทางการดำเนินการพัฒนาอาคารเขียวของประเทศไทย โดยทำการเก็บข้อมูลจากการสัมภาษณ์ Stakeholder หลากหลายสาขาอาชีพ คลอบคลุมทั่วทั้ง Supply Chain ได้แก่ ผู้รับเหมา นักวิชาการ และหน่วยงานกำกับดูแล ผลการศึกษาพบว่า Green Building เป็นการก่อสร้างที่ออกแบบอาคารและการเลือกใช้วัสดุที่มีคุณภาพสูงและมีประสิทธิภาพ เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชน เป็นทางเลือกที่ส่งผลดีต่อสิ่งแวดล้อม เป็นมาตรฐานงานก่อสร้างที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในทุกกระบวนการก่อสร้างเพื่อการเติบโตที่ยั่งยืน ทั้งการออกแบบการใช้ทรัพยากรและวัสดุก่อสร้างอย่างคุ้มค่า ลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม ได้มาตรฐานสุขภาพอนามัย มีการใช้ทรัพยากรหมุนเวียน เปลี่ยน Waste หรือความสูญเสีย ให้เป็น Wealth หรือการสร้างผลประโยชน์คืนกลับสู่สังคมซึ่งส่งผลดีต่อคุณภาพชีวิตของประชาชนและสิ่งแวดล้อมในระยะยาวรวมทั้งการบริหารจัดการ การจะบรรลุเป้าหมายการก่อสร้างอย่างยั่งยืน จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน ร่วมกันผลักดัน สนับสนุน และมีส่วนร่วมในทุก ๆ กระบวนการ ข้อเสนอแนะแนวทางการดำเนินการพัฒนาการสร้างที่พักอาศัยที่ยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม แนวทางระยะสั้นสนับสนุนงบประมาณเพื่อให้ความรู้ในการพัฒนาด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่เกี่ยวข้องกับอาคารเขียว ส่งเสริมให้บุคลากรไปฝึกอบรมและเรียนรู้การใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ เพื่อที่จะเพิ่มจำนวนบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถให้มากขึ้น และนำความรู้มาประยุกต์ใช้ในประเทศเพื่อลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศซึ่งจะก่อให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน แนวทางระยะกลางสนับสนุนให้มีการพัฒนาเกณฑ์การประเมินอาคารเขียวสำหรับของอาคารทุกประเภทโดยมีการบูรณาการร่วมกัน ระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนมีการอ้างอิงจากเกณฑ์การประเมินของต่างประเทศเพื่อให้เกณฑ์ที่ใช้ในประเทศไทยมีความเป็นสากลมากยิ่งขึ้น แนวทางระยะยาวสนับสนุนให้มีการจัดตั้งกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับอาคารเขียวโดยตรง เนื่องจากในปัจจุบันรัฐบาลมีนโยบายสนับสนุนด้านการประหยัดพลังงาน และมีพระราชบัญญัติและกฎกระทรวงที่เกี่ยวข้องกับการการอนุรักษ์พลังงานแต่ยังไม่มีกฎหมายเกี่ยวกับอาคารเขียวโดยตรง ทั้งนี้เพื่อสร้างแรงขับเคลื่อนให้การสร้างอาคารที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมีพัฒนาการที่เร็วขึ้นทั้งระบบ
Thumbnail Image
Item
ปัจจัยที่ส่งผลกับความตระหนักต่อการลดปริมาณขยะสำนักงานเพื่อเป็นองค์กรคาร์บอนต่ำ กรณีศึกษา บริษัทระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน)
สถาพร ปิติถาโน; ณพงศ์ นพเกตุ (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2024)
การศึกษานี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลกับความตระหนักต่อการลดปริมาณขยะสำนักงาน เพื่อเป็นองค์กรคาร์บอนต่ำ กรณีศึกษา บริษัทระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) และแนวทางในการนำทรัพยากรกลับมาใช้ประโยชน์ให้ได้มากที่สุด เพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงสู่องค์กรคาร์บอนต่ำ โดยใช้แนวทางการจัดการขยะที่ครอบคลุมทุกกระบวนการ ตั้งแต่การงดหรือเลิก การลด การใช้ซ้ำ จนถึงการนำกลับมาใช้ใหม่ ตามหลัก 1A3R (Avoid, Reduce, Reuse, Recycle) โดยวิธีการเก็บข้อมูลใช้แบบสอบถาม (Questionnaire) เป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล กลุ่มตัวอย่าง คือ พนักงานที่ปฏิบัติงานภายในอาคารบีทีเอส (สำนักงานใหญ่) จำนวน 90 คน ด้วยวิธีสุ่มตัวอย่างตามความสะดวก (Convenience Sampling) การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติเชิงพรรณนา (Descriptive Statistics) วิเคราะห์ระดับความคิดเห็น และใช้สถิติเชิงอนุมาน (Inferential Statistics) วิเคราะห์หาความสัมพันธ์ของปัจจัยที่ส่งผลกับความตระหนักต่อการลดปริมาณขยะและการทดสอบสมมติฐานที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.01 และ 0.05 ผลการศึกษา พบว่า ปัจจัยที่ส่งผลกับความตระหนักต่อการลดปริมาณขยะในสำนักงาน ได้แก่ 1) ปัจจัยส่วนบุคคล ที่เน้นความรู้และพฤติกรรม 2) ปัจจัยภายในองค์กร ที่เน้นสื่อประชาสัมพันธ์และ ผลตอบแทนเพื่อจูงใจ และ 3) ปัจจัยภายนอกองค์กร ที่เน้นการใช้เทคโนโลยี นอกจากนี้การศึกษายังพบว่า การให้ความรู้เกี่ยวกับการคัดแยกขยะอย่างถูกต้อง และการรับรู้ถึงผลกระทบของขยะมูลฝอยต่อสิ่งแวดล้อมมีบทบาทสำคัญในการสร้างความตระหนักรู้และจะช่วยสร้างแรงจูงใจให้พนักงาน มีพฤติกรรมเชิงบวกในการลดปริมาณขยะภายในสำนักงาน ข้อเสนอแนะจากการศึกษานี้เน้นให้บริษัทฯ สามารถลดปริมาณขยะได้อย่างเป็นรูปธรรม เช่น 1) การจัดอบรมเพื่อสร้างความตระหนักรู้ของพนักงานเกี่ยวกับผลกระทบของขยะต่อสิ่งแวดล้อม 2) การใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมเข้ามาช่วยในการวางแผนการจัดเก็บและการจัดการขยะอย่างมีประสิทธิภาพ และ 3) มาตรการจูงใจเพื่อให้พนักงานมีส่วนร่วมในการนำทรัพยากรกลับมาใช้ซ้ำหรือรีไซเคิล ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาองค์กรที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและสามารถเป็นต้นแบบให้กับองค์กรอื่นที่ต้องการลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม อย่างยั่งยืน
Thumbnail Image
Item
การประเมินผลสัมฤทธิ์ของการแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง โดยวิธีการปักไม้ไผ่ชะลอความรุนแรงของคลื่น พื้นที่ตำบลบางแก้ว อำเภอบ้านแหลม จังหวัดเพชรบุรี
ชัยธัช เรืองพระยา; วิสาขา ภู่จินดา (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2024)
การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาอัตราการเพิ่มขึ้น - ลดลงของพื้นที่ป่าชายเลนบริเวณด้านหลังโครงการปักไม้ไผ่ชะลอความรุนแรงของคลื่น (ด้านกายภาพ) การเปลี่ยนแปลงทางรายได้ของประชาชนในพื้นที่ที่ประกอบอาชีพประมงชายฝั่งพื้นบ้าน (ด้านเศรษฐกิจ) และการใช้ประโยชน์พื้นที่ของประชาชน (ด้านสังคม) เพื่อจัดทำเป็นข้อเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหากัดเซาะชายฝั่ง ที่สอดคล้องกับสภาวะเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ โดยใช้เทคโนโลยีภูมิสารสนเทศในการวิเคราะห์ข้อมูลและแบบสอบถามประชาชนในพื้นที่ จำนวน 128 ชุด ในการเก็บข้อมูล เพื่อจัดทำสรุปและแสดงผล ผลการศึกษาพบว่า การปักไม้ไผ่ชะลอความรุนแรงของคลื่น ทำให้พื้นที่ป่าชายเลนเพิ่มขึ้นจำนวน 1.37 ไร่ (ด้านกายภาพ) และยังเพิ่มรายได้ของประชาชนในพื้นที่ ที่ประกอบอาชีพประมงชายฝั่งพื้นบ้านในระดับปานกลาง ร้อยละ 21 - 40 (ด้านเศรษฐกิจ) รวมถึงการใช้ประโยชน์พื้นที่ของประชาชน (ด้านสังคม) ในระดับ มากที่สุด โดยมีการใช้ประโยชน์ป่าชายเลนมากที่สุดด้านการเป็นแหล่งประกอบอาชีพประมงและรองลงมา คือแหล่งอาหาร อีกทั้งจำนวนพื้นที่ป่าชายเลนที่เพิ่มขึ้นยังส่งผลต่อการเพิ่มขึ้นของจำนวนสัตว์น้ำเกิดการสร้างงาน สร้างรายได้ ให้แก่คนในพื้นที่ นอกจากนี้ยังส่งเสริมให้ประชากรในพื้นที่ได้มีส่วนร่วมเกี่ยวกับการป้องกันการกัดเซาะชายฝั่งและการฟื้นฟูป่าชายเลน โดยกิจกรรมปลูกป่าชายเลน กิจกรรมงานประชาสัมพันธ์ จัดนิทรรศการ เป็นต้น และรวมถึงการเปิดโอกาสให้มีการตรวจสอบติดตามและประเมินผลโครงการฯ เช่น รูปแบบการปักและสภาพความเสียหายของไม้ไผ่หลังจากการปัก โดยจากทั้งหมดที่กล่าวมานี้ ถือได้ว่า เป็นแนวทางการแก้ไขปัญหาที่เกิดผลสัมฤทธิ์ที่เห็นเป็นรูปธรรม เกิดประโยชน์แก่ภาพรวมในมิติเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ ถือได้ว่าเป็นการแก้ไขปัญหาควบคู่ไปกับการพัฒนาอย่างยั่งยืน
Thumbnail Image
Item
Is nuclear energy considering as sustainable energy investment
Warinlada Pattanasitchai; Chutarat Chompunth; Witchuda Srang-iam (National Institute of Development Administration, 2024)
This independent study topic for considering nuclear energy as sustainable energy investment has an objective for study as following below 1) To summarize and thus make transparent the facts of sustainability that are reflected in nuclear energy investment. 2) To investigate the perspective on sustainability within the national energy strategies of country currently using or planning to use nuclear energy to answer the question: “Is nuclear energy considering as sustainable energy investment?” by compared with both renewable energy and non-renewable energy e.g. solar, wind, coal. 3) To present what investment risk is, what role it has in the sustainable energy investment decision. By using the study process in sequence as follows. 1) Literature reviewing 2) Stakeholder reviewing (e.g. bank of Thailand, Ministry of Energy, EGAT, etc.) 3) Document screening: Sourcing data from financial reports or counting word occurrences. 4) Document analysis: Examining correspondence or reports.
Thumbnail Image
Item
ผลกระทบของขยะอิเล็กทรอนิกส์และแนวทางจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์อย่างยั่งยืน ศึกษากรณี เครื่องปรับอากาศ
วันดี เพิ่มทรัพย์; วิชชุดา สร้างเอี่ยม; จุฑารัตน์ ชมพันธุ์ (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2024)
ปัจจุบันมี ขยะอิเล็กทรอนิกส์ (E-Waste) เกิดขึ้นจำนวนมหาศาลจากการเติบโตของเทคโนโลยี ทั้งนี้รายงานของ Global E-waste Monitor (GEM) พบว่าที่ผ่านมาทั่วโลกมีปริมาณ "ขยะอิเล็กทรอนิกส์" ประมาณ 53.6 – 54 ล้านตันต่อปี โดยในภูมิภาคเอเชียมีสัดส่วนมากที่สุดอยู่ที่ 24.9 ล้านตัน หรือประมาณ 7.3 กิโลกรัมต่อคน จากรายงาน Global E-Waste Monitor in 2024 พบว่า ปริมาณขยะอิเล็กทรอนิกส์ ของประเทศไทยมีสูงถึง 0.75 ล้านตัน คิดเป็น 10.5 กิโลกรัมต่อคน สาเหตุหลักของการเพิ่มขึ้นของขยะอิเล็กทรอนิกส์ คือพฤติกรรมของคนทั่วไปในการอุปโภคเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ที่เพิ่มมากขึ้น ความสามารถในการซื้อหรือเข้าถึงอุปกรณ์ที่สูงขึ้น รวมถึงการพัฒนาอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และเทคโนโลยีที่ก้าวหน้ามากขึ้นจึงทำให้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์มีปริมาณเพิ่มมากขึ้นอย่างก้าวกระโดด อีกทั้งการขาดแหล่งรองรับขยะอิเล็กทรอนิกส์ในชุมชน ทำให้ประชาชนเลือกที่จะทิ้งรวมกับขยะอื่น ซึ่งก่อให้เกิดความลำบากและความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุจากการจัดเก็บขยะของพนักงานเก็บขยะ หรืออาจมีการนำขยะอิเล็กทรอนิกส์ไปทิ้งในพื้นที่รกร้าง ปัจจุบันประเทศไทยยังไม่มีกฎหมายในการควบคุมการดำเนินการจัดเก็บ รวบรวม และกำจัดอย่างเป็นระบบที่ชัดเจน ทำให้ประชาชนทิ้งซากผลิตภัณฑ์ปนกับสิ่งปฏิกูลและมูลฝอย หรือขายให้กับผู้รับซื้อของเก่าทั่วไป ของเสียอันตรายจากชุมชนที่เก็บรวบรวมได้ตั้งแต่ปี พ.ศ.2561-2566 แยกเป็นขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่เกิดขึ้นในแต่ละปีเฉลี่ยคิดเป็นร้อยละ 65 ของของเสียอันตรายทั้งหมด จากข้อมูลปี พ.ศ. 2566 พบว่าของเสียอันตรายจำนวน 152,160.65 ตันที่เก็บรวบรวมได้ คิดเป็นร้อยละ 22 จากของเสียอันตรายทั้งหมด ซึ่งแผนปฏิบัติการด้านการจัดการขยะของประเทศฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2565-2570) กำหนดเป้าหมายในการเก็บรวบรวมเข้าสู่การจัดการกำหนดที่ร้อยละ 30 แต่ปัจจุบันยังไม่บรรลุเป้าหมาย
Thumbnail Image
Item
การศึกษาความสำคัญและความท้าทายของการกำหนดเป้าหมายและการเปิดเผยข้อมูลด้านความยั่งยืนของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
โชติกา ศรีเธาว์; วิสาขา ภู่จินดา; พรพรหม สุธาทร (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2024)
การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่เป็นความสำคัญและความท้าทายของการกำหนดเป้าหมายและการเปิดเผยข้อมูลด้านความยั่งยืนของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย รวมถึงการศึกษากรอบแนวทางและมาตรฐานที่บริษัทจดทะเบียนนำมาประยุกต์ใช้ในการกำหนดเป้าหมายและการเปิดเผยข้อมูลด้านความยั่งยืน เพื่อเสนอแนะแนวทางการกำหนดเป้าหมายและการเปิดเผยข้อมูลด้านความยั่งยืนของบริษัทจดทะเบียน โดยใช้วิธีการศึกษาข้อมูลกลุ่มตัวอย่างจากบริษัทที่จดเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งเประเทศไทย โดยเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบสะดวก (convenient sampling) จากผู้จัดทำหรือผู้ที่เกี่ยวข้องกับการกำหนดเป้าหมายและเปิดเผยข้อมูลความยั่งยืนของบริษัทจดทะเบียน และรวบรวมข้อมูลผ่านแบบสอบถามทาง Microsoft Forms ซึ่งได้รับการตอบแบบสอบถามกลับจำนวน 105 ชุด ผลการศึกษาพบว่า บริษัทส่วนใหญ่ตระหนักถึงความสำคัญของการกำหนดเป้าหมายและการเปิดเผยข้อมูลด้านความยั่งยืน โดยปัจจัยที่เป็นความสำคัญต่อการกำหนดเป้าหมายและการเปิดเผยข้อมูลด้านความยั่งยืนต่อบริษัทนั้น กลุ่มตัวอย่างเห็นว่า เป็นปัจจัยสำคัญในด้านการสร้างความโปร่งใส การเพิ่มความน่าเชื่อถือและความเชื่อมั่นให้กับผู้มีส่วนได้เสีย และการปฏิบัติตามข้อกำหนดของกฎหมาย กฎระเบียบและข้อกำหนดต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง และการศึกษายังพบว่า บริษัทกลุ่มตัวอย่างต้องเผชิญกับปัจจัยความท้าทายในการกำหนดเป้าหมายและการเปิดเผยข้อมูลด้านความยั่งยืนในหลายด้าน อาทิ ปัจจัยด้านความซับซ้อนของข้อกำหนดและมาตรฐานสากลที่เกี่ยวข้อง ปัจจัยด้านข้อจำกัดของทรัพยากร ความเชี่ยวชาญของบุคลากร และการบริหารจัดการข้อมูลที่หลากหลาย สำหรับกรอบแนวทางและมาตรฐานที่บริษัทจดทะเบียนนำมาประยุกต์ใช้ในการกำหนดเป้าหมายและการเปิดเผยข้อมูลด้านความยั่งยืน พบว่า กลุ่มตัวอย่างเน้นการกำหนดเป้าหมายที่สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ (SDGs) และสำหรับการเปิดเผยข้อมูลกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เปิดเผยข้อมูลตามเกณฑ์แบบ 56-1 One Report ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์กฎหมายที่บริษัทต้องดำเนินการเป็นหลัก
Thumbnail Image
Item
รายงานกรณีศึกษาการจัดทำกรอบความยั่งยืน ห้างหุ้นส่วนจำกัด เอส.ที.พี.รีไซเคิล (SME ธุรกิจรีไซเคิล)
สุเมธ แววนิลานนท์; จุฑารัตน์ ชมพันธุ์; วิชชุดา สร้างเอี่ยม (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2024)
SMEs มีลักษณะเฉพาะหรือข้อจำกัดที่เป็นประเด็นในการพัฒนาสู่ความยั่งยืน เช่น ความรู้ เงินทุน และทรัพยากรที่จำกัด ธุรกิจรีไซเคิลเป็นองค์ประกอบสำคัญใน Circular Economy ซึ่งต้องดำเนินกิจกรรมอย่างมีประสิทธิภาพและถูกต้องเพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบเชิงลบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม อุตสาหกรรมการผลิตมีแนวโน้มพัฒนาสู่ความยั่งยืน ทำให้ห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) ต้องปรับตัวเพื่อสร้างข้อได้เปรียบทางการแข่งขัน องค์กรในธุรกิจรีไซเคิลจำเป็นต้องปรับตัวเพื่อความยั่งยืน ตอบสนองความต้องการของลูกค้าในอนาคต และสร้างผลกระทบเชิงบวก (Positive Impact) ต่อเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม การศึกษานี้เป็นกรณีศึกษาขององค์กรขนาดเล็กในจังหวัดชลบุรีผลการศึกษามาจากการทบทวนเอกสาร สำรวจพื้นที่ และกระบวนการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย วิธีการศึกษาประกอบด้วยการทบทวนงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การวิเคราะห์ผลการดำเนินงานขององค์กร การสัมภาษณ์ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียแบบเจาะจง และการสังเกตการปฏิบัติงาน ผลการศึกษา 1. ความท้าทายต่อความยั่งยืนของ SMEs พบว่ามีอุปสรรคสำคัญ ได้แก่ การขาดความรู้และเงินทุน ในการดำเนินงานด้านความยั่งยืน โดยเฉพาะความเข้าใจในแนวทางที่เหมาะสมต่อองค์กร 2. ความท้าทายต่อธุรกิจรีไซเคิล พบว่าปัญหาหลัก ได้แก่ การขาดแคลนแรงงานที่มีคุณภาพ และปัจจัยภายนอกด้านเศรษฐกิจ นอกจากนี้ยังมีปัญหาความปลอดภัยในการทำงาน การแข่งขันในธุรกิจ และการบริหารต้นทุนเชื้อเพลิงที่ส่งผลต่อกำไร โดยบุคลากรยังขาดความเข้าใจในธุรกิจที่ดำเนินงานบนพื้นฐานความยั่งยืน 3. กรอบแนวคิดและมาตรฐานที่เกี่ยวข้อง การศึกษาพบว่ากรอบแนวคิดและมาตรฐานด้านความยั่งยืนมาจากหลายแหล่ง ทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ โดยมาตรฐานที่องค์กรใหญ่ใช้กันมากที่สุดคือ GRI สำหรับกรณีศึกษานี้เนื่องจากเป็นธุรกิจเกี่ยวกับการจัดการของเสียจึงใช้มาตรฐาน SASB (Industrial Standard) และ ISO 59010 เป็นแนวทางในการกำหนดประเด็นสำคัญด้านความยั่งยืน (Material Topics) และการนำเศรษฐกิจหมุนเวียนมาปรับใช้ในองค์กร ทำให้เกิดกรอบแนวคิดในการศึกษา ตามแผนภาพ ภาพกรอบแนวคิดในการศึกษา การวางแผนกระบวนการพัฒนาความยั่งยืนองค์กรโดยใช้หลักการเศรษฐกิจหมุนเวียน 4. การวิเคราะห์และกำหนดกลยุทธ์ความยั่งยืน จากการวิเคราะห์ TOWS Matrix พบว่าองค์กรควรมุ่งเน้นกลยุทธ์ “การสร้างอนาคตธุรกิจบนเศรษฐกิจหมุนเวียนควบคู่กับการลดความเสี่ยงในปัจจุบัน” โดยกำหนดเป้าประสงค์เป็น “ปลายทางการรีไซเคิลที่ยั่งยืน”และวิสัยทัศน์คือ “เปลี่ยนบทบาทจากผู้คัดแยกของเสียสู่การเป็นผู้แปรรูปของเสียให้เป็นวัตถุดิบหรือสินค้า” พบว่ามีประเด็นที่ศักยภาพในการดำเนินงานด้านความยั่งยืน ดังนี้ • Fleet Fuel Management • Recycling & Resource Recovery • ความสามารถของพนักงาน • ด้านสุขภาพ ความปลอดภัยในการทำงาน • ด้านเทคโนโลยี Environment friendly technology เสนอ 3 กลยุทธ์ โดยแบ่งเป็น 2 ระยะคือ ระยะสั้น 1-3 ปี และ ระยะยาว 3-10 ปี กลยุทธ์ที่ 1 เศรษฐกิจหมุนเวียน ตามหลักการลดความเข้มข้นที่ในการดึงทรัพยากรจากโลก โดยการนำวัสดุมาหมุนวน ตาม ISO 59010 เศรษฐกิจหมุนเวียน – ข้อแนะนํำในการเปลี่ยนผ่านรูปแบบธุรกิจและเครือข่ายคุณค่า ได้ให้คำแนะนำว่าการปรับ Value chain เป็น Value network กลยุทธ์ที่ 2 ลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล และการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ตามหลักการลดความเข้มข้นการดึงทรัพยากรจากโลก กลยุทธ์ที่ 3 ทุกคนปลอดภัย (Nobody get hurt) ตามหลักการลดการขัดขวางการเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของประชาชน เพื่อทำให้เห็นเป็นรูปธรรมจึงกำหนดแผนงานการดำเนินงานระยะสั้น1-3ปี ตามแนวทางขั้นตอนการนำเศรษฐกิจหมุนเวียนไปใช้องค์กร ตาม มตช. 2-2562 ในขั้น 1-5 จาก 8 ขั้นตอน ขั้น 6-8 อยู่นอกขอบเขตการศึกษาสรุปขั้น 1-5 ดังนี้ การสร้างแนวคิด (Idea generation) โดยการพิจารณาสามารถตอบประเด็น Materiality ที่ได้ประเมินไว้ ทั้ง 5 เรื่องได้ ซึ่งสามารถกำหนดโครงการได้ 5 โครงการ ความเป็นไปได้ (Feasibility) ทางด้านเทคนิคและการตลาดทั้ง 5 โครงการพบว่าในทางเทคนิคโครงการเป็นไปได้ แต่ในทางปฏิบัติจำเป็นต้องสร้างความสามารถในทำกิจกรรมนั้น ๆ ทั้งนี้ผู้บริหารเลือกโครงงานที่ 1 การออกแบบถัง Roll off แบบเบาให้ดำเนินขั้นที่ 5 เหตุผลทางธุรกิจ ความเป็นไปได้ (Business Case) ต่อไป การประเมิน Business Case โครงงานที่ 1 การออกแบบถัง Roll-off น้ำหนักเบา – เพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งและลดการใช้เชื้อเพลิง พบว่าโครงการนี้มี ROI เท่ากับ 2.58 และสามารถลดก๊าซเรือนกระจกได้ 771.19 ตัน CO₂e ในระยะเวลา 5 ปี อย่างไรก็ตามควรทดสอบต้นแบบ เพื่อทวนสอบผลที่คาดว่าจะลดน้ำหนักได้ 20% และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานขึ้น 10% สรุป การศึกษาพบว่า กรอบความคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนเป็นแนวทางที่สามารถนำไปปฏิบัติได้จริงในธุรกิจรีไซเคิล กรอบแนวทางการพัฒนากิจกรรมขององค์กรควรศึกษาความเป็นไปได้และเหตุผลทางธุรกิจก่อนดำเนินโครงการเต็มรูปแบบ จากการวิเคราะห์พบว่า โครงการออกแบบถัง Roll-off แบบเบาเป็นแนวทางที่สามารถนำไปใช้ในเชิงพาณิชย์ได้ โดยมีผลกระทบเชิงบวกทั้งในด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม เช่น การสนับสนุนงานวิจัยและการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
Thumbnail Image
Item
การประยุกต์ใช้ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์เพื่อระบุคุณลักษณะทางเคมีของน้ำบาดาลในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาคร
ภาณุวัฒน์ ชาติยาภา; ฆริกา คันธา (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2024)
การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประยุกต์ใช้ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (Geographic Information System: GIS) ในการระบุคุณลักษณะทางเคมีของน้ำบาดาลในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาคร ซึ่งเป็นจังหวัดที่มีการใช้น้ำบาดาลอย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรม การศึกษาในครั้งนี้เป็นการเปรียบเทียบประสิทธิภาพของวิธีการประมาณค่าเชิงพื้นที่ 2 วิธี ได้แก่ วิธีการประมาณค่าเชิงพื้นที่แบบ Inverse Distance Weighting (IDW) และวิธีการประมาณค่าเชิงพื้นที่แบบ Kriging Interpolation จากคุณลักษณะทางเคมีของน้ำบาดาลจำนวน 5 พารามิเตอร์ ได้แก่ ความกระด้าง (Hardness) สารละลายทั้งหมด (Total Dissolved Solids: TDS) ฟลูออไรด์ (Fluoride) คลอไรด์ (Chloride) และเหล็ก (Fe) โดยทำการรวบรวมข้อมูลจากบ่อน้ำบาดาลที่มีใบอนุญาตประกอบกิจการน้ำบาดาล จากกรมทรัพยากรน้ำบาดาลจำนวน 900 บ่อ จากสามอำเภอในจังหวัดสมุทรสาคร ได้แก่ อำเภอเมืองสมุทรสาคร อำเภอบ้านแพ้ว และอำเภอกระทุ่มแบน ผลการศึกษาพบว่าวิธีการประมาณค่าเชิงพื้นที่แบบ Inverse Distance Weighting (IDW) ให้ผลการประมาณค่าที่มีความแม่นยำสูงกว่า การประมาณค่าเชิงพื้นที่แบบ Kriging Interpolation ในการวิเคราะห์คุณลักษณะทางเคมีของน้ำบาดาลในพารามิเตอร์ค่าความกระด้าง (Hardness) สารละลายทั้งหมด (Total Dissolved Solids: TDS) ฟลูออไรด์ (Fluoride) และคลอไรด์ (Chloride) ขณะที่วิธีการประมาณค่าเชิงพื้นที่แบบ Kriging Interpolation เหมาะสมกับการประมาณค่าเหล็ก (Fe) เนื่องจากมีความคลาดเคลื่อนในการประมาณค่าน้อยกว่าการวิเคราะห์เชิงพื้นที่แบบ Inverse Distance Weighting (IDW) ซึ่งการประมาณค่าเชิงพื้นที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้เพื่อคาดการณ์การกระจายตัวของคุณลักษณะทางเคมีของน้ำบาดาล สำหรับบริเวณที่ไม่มีการตรวจวัดในพื้นที่อื่น ๆ ด้วย
Thumbnail Image
Item
ปัจจัยที่ส่งผลต่อการลดปริมาณขยะสำนักงานเพื่อเป็นองค์กรคาร์บอนต่ำ
สถาพร ปิติถาโน; ณพงศ์ นพเกตุ (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2024)
การศึกษานี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการลดปริมาณขยะสำนักงาน เพื่อเป็นองค์กรคาร์บอนต่ำ กรณีศึกษา บริษัทระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) และแนวทางในการนำทรัพยากรกลับมาใช้ประโยชน์ให้ได้มากที่สุด เพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงสู่องค์กรคาร์บอนต่ำ โดยใช้แนวทางการจัดการขยะที่ครอบคลุมทุกกระบวนการ ตั้งแต่การงดหรือเลิก การลด การใช้ซ้ำ จนถึงการนำกลับมาใช้ใหม่ ตามหลัก 1A3R (Avoid, Reduce, Reuse, Recycle) โดยวิธีการเก็บข้อมูลใช้แบบสอบถาม (Questionnaire) เป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล กลุ่มตัวอย่าง คือ พนักงานที่ปฏิบัติงานภายในอาคารบีทีเอส (สำนักงานใหญ่) จำนวน 90 คน การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติเชิงพรรณนา (Descriptive Statistics) วิเคราะห์ระดับความคิดเห็น และใช้สถิติเชิงอนุมาน (Inferential Statistics) วิเคราะห์หาความสัมพันธ์ของปัจจัยที่ส่งผลต่อการลดปริมาณขยะและการทดสอบสมมติฐาน ผลการศึกษา พบว่า ปัจจัยที่ส่งผลต่อการลดปริมาณขยะในสำนักงาน ได้แก่ 1) ปัจจัยส่วนบุคคลที่เน้นความรู้และพฤติกรรม 2) ปัจจัยภายในองค์กร ที่เน้นนโยบายและการสื่อสาร และ 3) ปัจจัยภายนอกองค์กร ที่เน้นการใช้เทคโนโลยีและมาตรฐานสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้การศึกษายังพบว่า การกำหนดนโยบายที่ชัดเจนและการให้ความรู้เกี่ยวกับการคัดแยกขยะอย่างถูกต้อง สามารถช่วยลดปริมาณขยะได้อย่างมีนัยสำคัญ
Thumbnail Image
Item
ปัจจัยที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการลดปริมาณคาร์บอนฟุตพริ้นท์: กรณีศึกษา บุคลากรในสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง
ชด บุรณศิริ; อัจฉรา โยมสินธุ์ (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2024)
การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการลดปริมาณคาร์บอนฟุตพริ้นท์ และเสนอแนวทางการลดปริมาณคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของสำนักงานคณะกรรมการ การเลือกตั้ง โดยเก็บข้อมูลด้วยแบบสอบถามความคิดเห็นจากบุคลากรของสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง จำนวน 120 คน และวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ และสถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ T-test, F-test และ Correlation analysis ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มตัวอย่างซึ่งส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง Gen Y (พ.ศ.2524 - 2542) มีระดับการศึกษาสูงสุดปริญญาตรี และมีช่วงรายได้ 50,001 บาทขึ้นไป กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ ไม่เคยได้รับข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร โดยบุคลากรที่ได้รับข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กรส่วนใหญ่ได้รับจาก Social media ได้แก่ Facebook สำหรับผลการทดสอบสมมติฐาน พบว่า ช่วงอายุ (Generation) ของบุคลากรสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งที่แตกต่างกันมีผลต่อพฤติกรรมการลดปริมาณคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กรที่แตกต่างกัน ทัศนคติเกี่ยวกับคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กรมีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการลดปริมาณคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร และความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กรมีความสัมพันธ์กับทัศนคติเกี่ยวกับคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.1 จากการศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการลดปริมาณคาร์บอนฟุตพริ้นท์ พบว่า แนวทางการลดปริมาณคาร์บอนฟุตพริ้นท์ในสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งที่เหมาะสม ได้แก่ การฝึกอบรม การรณรงค์และประชาสัมพันธ์ และการสร้างวัฒนธรรม วิสัยทัศน์ และค่านิยมที่เกี่ยวกับคาร์บอนฟุตพริ้นท์ เพื่อสร้างความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร ปลูกฝังวัฒนธรรมการประหยัดพลังงาน และความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับผลกระทบของการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อเป็นอิทธิพลในการสร้างทัศนคติที่ดีเกี่ยวกับคาร์บอน ฟุตพริ้นท์ขององค์กร นำมาสู่การมีพฤติกรรมการลดปริมาณคาร์บอนฟุตพริ้นท์มากขึ้น ส่วนข้อเสนอแนะเชิงนโยบายที่ได้จากการศึกษาในครั้งนี้ คือ การกำหนดนโยบาย แผนงาน หรือพันธกิจ ที่เกี่ยวข้องกับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขององค์กรที่สมดุลระหว่างบุคลากร Gen X และ Gen Y เพื่อผสานความคิดของบุคลากรทั้งสองเจนเนอเรชัน การกำหนดนโยบายการจัดซื้อจัดจ้างสีเขียว การวางแผนและจัดสรรงบประมาณเพื่อสนับสนุนแนวทางการการลดปริมาณคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง และการสร้างความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐหรือภาคเอกชนในการสร้างความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร เป็นต้น ในส่วนของข้อเสนอแนะเชิงปฏิบัติ คือ การอบรมเกี่ยวกับคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร การประชาสัมพันธ์เผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร การจัดกิจกรรมรณรงค์การประหยัดพลังงาน การส่งเสริมหรือให้รางวัลกับบุคคลที่มีพฤติกรรมการลดปริมาณคาร์บอนฟุตพริ้นท์ และการจัดทำการประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง รวมทั้งการประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของกิจกรรมการเลือกตั้ง เป็นต้น
Thumbnail Image
Item
การจัดการปกครองแบบร่วมมือกันหลายภาคส่วนของศูนย์รับแจ้งเหตุและสั่งการการแพทย์ฉุกเฉินจังหวัดสงขลา: การวิเคราะห์ที่มา แบบแผนความร่วมมือ และปัจจัยที่สนับสนุนให้เกิดความร่วมมือ
ปฏิภาณ ศรีผล; อัชกรณ์ วงศ์ปรีดี (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2024)
การศึกษาในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาที่มาของการให้บริการการแพทย์ฉุกเฉินของ ศูนย์รับแจ้งเหตุและสั่งการการแพทย์ฉุกเฉินจังหวัดสงขลา 2) ศึกษากลไกความร่วมมือรูปแบบ เครือข่ายในการให้บริการการแพทย์ฉุกเฉินของศูนย์รับแจ้งเหตุและสั่งการการแพทย์ฉุกเฉินจังหวัด สงขลา และ 3) ศึกษาปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดการจัดการปกครองสาธารณะแบบร่วมมือกันหลายภาคส่วน ในการให้บริการการแพทย์ฉุกเฉินของศูนย์รับแจ้งเหตุและสั่งการการแพทย์ฉุกเฉินจังหวัดสงขลา ผู้วิจัยได้ใช้การศึกษาวิจัยแบบผสมผสานเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณ (Mixed Methods Approach: Qualitative and Quantitative Research Design) โด ย เก็บ รว บ รวม ข้อ มูล จ าก เอกสาร การสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้ให้ข้อมูลหลักที่ดาเนินงานและบริหารจัดการการแพทย์ฉุกเฉิน จังหวัดสงขลา รวมทั้งเก็บข้อมูลด้วยแบบสอบถามกับกลุ่มตัวอย่างจานวน 107 ฉบับ ผลการศึกษา พบว่า 1) การให้บริการการแพทย์ฉุกเฉินมีที่มาจากหน้าที่ในการจัดบริการด้าน การแพทย์ฉุกเฉินกับประชาชนในพื้นที่ตามแนวทางการจัดการปกครองสาธารณะแนวใหม่ รวมทั้งเป็น ผลมาจากกระแสปัญหา กระแสการเมือง และกระแสนโยบายมาบรรจบกันในสภาพแวดล้อมที่ สนับสนุนและเกื้อหนุนให้เกิดการ บริการการแพทย์ฉุกเฉินในพื้นที่จังหวัดสงขลา โดยเฉพาะผู้บริหาร ท้องถิ่นที่มีวิสัยทัศน์การบริหารงานในรูปแบบ การเมืองนานโยบาย 2) การให้บริการการแพทย์ฉุกเฉิน ของศูนย์รับแจ้งเหตุและสั่งการการแพทย์ฉุกเฉินจังหวัดสงขลา มีกลไกหรือแบบแผนความร่วมมือ รูปแบบเครือข่ายที่ประกอบด้วย 7 องค์ประกอบ ได้แก่ (2.1) โครงสร้างเครือข่ายความร่วมมือ (2.2) ตัวแสดงหรือผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง (2.3) กระบวนการก่อตัวและการจัดความสัมพันธ์ระหว่างผู้มีบทบาท ริเริ่มขับเคลื่อนความร่วมมือ (2.4) การจัดแบ่งบทบาทหน้าที่และการปฏิสัมพันธ์ในกระบวนการสร้าง ความร่วมมือ (2.5) กิจกรรมในการขับเคลื่อนการสร้างความร่วมมือ (2.6) ทรัพยากรต่าง ๆ ที่เป็น ปัจจัยขับเคลื่อนกระบวนการสร้างความร่วมมือ และ (2.7) กระบวนการขยายเครือข่ายการให้บริการ การแพทย์ฉุกเฉิน ที่สนับสนุนให้การให้บริการการแพทย์ฉุกเฉินอยู่ในลักษณะเครือข่ายความร่วมมือ ดังกรณี คณะอนุกรรมการการแพทย์ฉุกเฉินจังหวัดสงขลาและเครือข่ายการแพทย์ฉุกเฉินจังหวัด สงขลา และ 3) ปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดการจัดการปกครองแบบร่วมมือกันหลายภาคส่วน ผลการศึกษา พบว่า ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความสาเร็จ อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .05 มีจานวน 5 ปัจจัย โดย เรียงลาดับจากปัจจัยที่มีอิทธิพลหรือความสัมพันธ์มากที่สุดไปหาปัจจัยที่มีอิทธิพลหรือความสัมพันธ์ น้อยสุด ได้แก่ ด้านการเห็นพ้องต้องกันในกระบวนการทางาน ด้านความเชื่อมั่นและไว้วางใจ ด้าน ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นระหว่างทางาน ด้านการสนทนาปรึกษาหารือกัน และด้านการมีความเข้าใจตรงกัน