ทัศนะของผู้บริหารท้องถิ่นที่มีต่อร่างพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง (ฉบับสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง) กรณีศึกษาผู้บริหารท้องถิ่น (ฝ่ายการเมือง) ในระดับเทศบาล และองค์กรบริหารส่วนตำบล
Files
Publisher
Issued Date
2015
Issued Date (B.E.)
2558
Available Date
Copyright Date
Resource Type
Series
Edition
Language
tha
File Type
application/pdf
No. of Pages/File Size
183 แผ่น
ISBN
ISSN
eISSN
Other identifier(s)
b191700
Identifier(s)
Access Rights
Access Status
Rights
ผลงานนี้เผยแพร่ภายใต้ สัญญาอนุญาตครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 4.0 (CC BY-NC-ND 4.0)
Rights Holder(s)
Physical Location
สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์. สำนักบรรณสารการพัฒนา
Bibliographic Citation
Citation
นิชนันท์ พิชัยเงาะ (2015). ทัศนะของผู้บริหารท้องถิ่นที่มีต่อร่างพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง (ฉบับสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง) กรณีศึกษาผู้บริหารท้องถิ่น (ฝ่ายการเมือง) ในระดับเทศบาล และองค์กรบริหารส่วนตำบล. Retrieved from: https://repository.nida.ac.th/handle/662723737/5738.
Title
ทัศนะของผู้บริหารท้องถิ่นที่มีต่อร่างพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง (ฉบับสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง) กรณีศึกษาผู้บริหารท้องถิ่น (ฝ่ายการเมือง) ในระดับเทศบาล และองค์กรบริหารส่วนตำบล
Alternative Title(s)
Attitudes of local administrators on draft of land and building tax act (edition of the fiscal policy office): case study of executive chiefs (the political representation) in municipality and sub-district administrative organization
Author(s)
Advisor(s)
Editor(s)
item.page.dc.contrubutor.advisor
Advisor's email
Contributor(s)
Contributor(s)
Abstract
การศึกษาวิจัยเรื่องนี้ มีวัตถุประสงค์ 2 ประการ ได้แก่ ประการที่หนึ่ง คือ เพื่อวิเคราะห์ ตามความเห็นของกลุ่มบุคคลที่ให้ความสนใจในประเด็นที่มีต่อร่างพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและ สิ่งปลูกสร้าง (ฉบับสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง: สศค.) และเพื่อศึกษาทัศนะของผู้บริหารท้องถิ่น ฝ่ายการเมืองในระดับเทศบาลและองค์การบริหารส่วนตําบลที่มีต่อร่างพระราชบัญญัติภาษีที่ดิน และสิ่งปลูกสร้าง (ฉบับสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง : สศค.) ทั้งนี้การศึกษาวิจัยครั้งนี้ ใช้ระเบียบ วิธีการวิจัยด้วยรูปแบบวิธีการวิจัยแบบผสม (Mixed Method) โดยใช้รูปแบบการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) และการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) จากการสัมภาษณ์ เพื่อใช้ประกอบในการวิเคราะห์ข้อมูลการศึกษาครั้งนี้ จากการศึกษา พบว่า ในภาพรวมของการศึกษาทัศนะของผู้บริหารท้องถิ่น (ฝ่ายการเมือง) และการวิเคราะห์ความเห็นจากผู้ที่ให้ความสนใจในประเด็นที่มีต่อร่างพระราชบัญญัติภาษีที่ดิน และสิ่งปลูกสร้าง (ฉบับสํานักงานเศรษฐกิจแห่งชาติ) มีทิศทางที่สอดคล้องในแนวทางเดียวกัน คือ “เห็นด้วย” ที่จะให้มีการบังคับใช้พระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง เป็นแหล่งรายรับใหม่ที่ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจะสามารถเป็นผู้ดําเนินงาน บริหารจัดการและเป็นรายได้ของท้องถิ่น อย่างแท้จริง โดยเชื่อว่า ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างจะสามารถก่อให้เกิดรายได้ในแต่ละท้องถิ่น มีรายรับที่เพิ่มขึ้น นําไปสู่การสร้างประโยชน์จากการใช้ รายรับนี้ ในการจัดสินค้าและบริการ สาธารณะที่ก่อให้เกิดความพึงพอใจสูงสุด และสามารถตอบสนองความต้องการของประชาชนใน แต่ละพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพไดทัศนะของผู้บริหารท้องถิ่น (ฝ่ายการเมือง) ในระดับเทศบาลและองค์การบริหารส่วนตําบล พบประเด็นที่สะท้อนได้จากผู้บริหารท้องถิ่นที่ว่า เมื่อมีการประกาศและบังคับใช้พระราชบัญญัติ ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างขึ้นจริง ควรให้ความสนใจหรือให้ความสําคัญในมิติดังต่อไปนี้ คือ ใน มิติด้านท้องถิ่น ผู้บริหารท้องถิ่นเห็นด้วยที่ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้ างจะเป็ นเครื่องมือใหม่ในการ จัดเก็บรายได้ให้กับท้องถิ่น เพราะเป็ นหนทางที่จะช่วยทําให้ท้องถิ่นที่ประสบปัญหาทางการเงิน การคลังให้มีรายได้ที่เพิ่มขึ้น จากการมีแหล่งรายรับใหม่เป็ นของตนเอง แต่อย่างไรก็ตามรายรับ ของท้องถิ่นทั้งหมด อาจไม่ได้มีจํานวนเงินที่เพิ่มมากขึ้นเท่าที่ควรจะเป็ น ส่วนประโยชน์ของร่าง พระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ในระยะยาวจะช่วยส่งเสริมการกระจายอํานาจทางการ คลังให้กับท้องถิ่น ดังนั้นจึงมองว่า ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างจะเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้ที่ดินให้ เกิดประโยชน์ในแต่ละท้องถิ่น ลดปัญหาการกักตุนที่ดินเพื่อการค้า ที่ดินไม่กระจุกอยู่ที่ประชาชน กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งอีกต่อไป เกิดการกระจายการถือครองที่ดินมากขึ้น และส่งผลทางอ้อมที่เกิดจาก ประชาชนผู้เสียภาษีจะให้ความสนใจในการมีส่วนร่วมกับท้องถิ่นมากขึ้น นอกจากนี้ในมิติด้าน ประชาชน การจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างให้เกิดขึ้นในท้องถิ่น ย่อมส่งผลกระทบโดยตรงต่อ ประชาชนในฐานะผู้เสียภาษีอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทําให้ผู้บริหารท้องถิ่นจึงต้องไม่ละเลยหรือ เพิกเฉยต่อเสียงเรียกร้องของประชาชนที่ได้รับผลกระทบ ดังนั้นการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูก สร้างนี้จึงต้องอยู่บนพื้นฐานของความรู้ และความเข้าใจของประชาชน และการสร้างความพร้อม รับและการยอมรับต่อภาษีใหม่ให้กับประชาชนในท้องถิ่นของตนเอง เพื่อให้เกิดความร่วมมือใน การชําระภาษีได้อย่างเต็มใจ และในมิติด้านการเมือง ซึ่งเป็นข้อค้นพบที่น่าสนใจ คือ แม้ว่า ผู้บริหารท้องถิ่นจะมีความต้องการที่จะให้มีการบังคับใช้จัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเป็น รายรับใหม่ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า การยอมรับทางการเมือง ก็เป็ นอีกหนึ่งปัจจัยที่จะส่งผลให้ผู้บริหาร ท้องถิ่นให้ความสําคัญก่อนที่จะมีการจัดเก็บภาษีใดๆ เพราะยังมีผู้บริหารท้องถิ่นบางส่วนที่มีความ กังวลและเกิดข้อถกเถียงที่ว่า ประชาชนผู้เสียภาษีที่เป็ นผู้ได้รับผลกระทบ จะส่งผลโดยตรงต่อฐาน คะแนนเสียงของผู้บริหารท้องถิ่นได้ เพราะฉะนั้น การจะประกาศและบังคับใช้ร่างพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง จึงต้องมีการทบทวนและปรับปรุงให้มีความเหมาะสมต่อสภาพเศรษฐกิจของประเทศของท้องถิ่น และควรมีการปรับเปลี่ยนให้มีความสอดคล้องจากข้อค้นพบที่ได้จากการสะท้อนทัศนะของ ผู้บริหารท้องถิ่น ซึ่งเป็ นผู้ที่มีความใกล้ชิดกับประชาชนและท้องถิ่น โดยคํานึงถึงสภาพหรือบริบท ในด้านการเมือง การบริหาร การคลังของแต่ละท้องถิ่นที่มีความแตกต่างหลากหลายกันออกไป เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพของการบังคับใช้พระราชบัญญัติ และทําให้สามารถบรรลุเป้าหมายของ พระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างได้
Table of contents
Description
วิทยานิพนธ์ (รป.ม.)--สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2558