การดำเนินนโยบายสิทธิมนุษยชนด้านสิทธิเสรีภาพในชีวิตและร่างกายกับปัญหาชาวโรฮีนจา : กรณีศึกษาจังหวัดสงขลาและระนอง
dc.contributor.advisor | ณัฐฐา วินิจนัยภาค | th |
dc.contributor.author | นวิยา ยศวิไล | th |
dc.date.accessioned | 2021-09-29T03:08:28Z | |
dc.date.available | 2021-09-29T03:08:28Z | |
dc.date.issued | 2016 | th |
dc.date.issuedBE | 2559 | th |
dc.description | วิทยานิพนธ์ (รป.ม.)--สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2559 | th |
dc.description.abstract | การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ คือ 1) เพื่อศึกษาและเข้าใจถึงการดำเนินการตามนโยบายของ รัฐบาลไทยที่มีต่อการแก้ปัญหาเกี่ยวกับชาวโรฮีนจาภายใต้กรอบข้อตกลงระหว่างรัฐบาลอาเซียน ว่าด้วยสิทธิมนุษยชน 2) เพื่อศึกษาและเข้าใจถึงปัญหาของการนำนโยบายไปปฏิบัติในการแก้ไข ปัญหาชาวโรฮีนจาเรื่องสิทธิมนุษยชนด้านสิทธิและเสรีภาพในชีวิตและร่างกาย ตามปฏิญญา สากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ 3) เพื่อจัดทำข้อเสนอแนะเชิงนโยบายและเชิง ปฏิบัติการที่เป็นประโยชน์ต่อการแก้ไข และพัฒนาการบริหารจัดการและการดำเนินการต่างๆ ให้มี ประสิทธิผลและความชัดเจนยิ่งขึ้น โดยใช้รูปแบบการวิจัยเชิงคุณภาพ วิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จาก เอกสาร การสัมภาษณ์เชิงลึก และการประชุมกลุ่มย่อยในพื้นที่จังหวัดสงขลาและระนอง ผลการวิจัย พบว่า ลักษณะการปฏิบัติงานจำแนกได้เป็น 2 กรณี ได้แก่ กรณีแรก ผู้ เดินทางทั้งหมดยังไม่ถึงฝั่ง เจ้าหน้าที่รัฐจะทำหน้าที่สกัดกั้นไม่ให้ชาวโรฮีนจารุกล้ำน่านน้ำไทย แต่ละขั้นตอนเป็นไปในลักษณะให้การช่วยเหลือเบื้องต้นตามหลักสิทธิมนุษยชนและพันธกรณี ระหว่างประเทศ กรณีที่สอง หากผู้เดินทางเหล่านั้นขึ้นฝั่งแล้ว เจ้าหน้าที่รัฐจะดำเนินการภายใต้ กฎหมายไทย โดยการจับกุม พร้อมกับให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมเบื้องต้น การวิเคราะห์ปัญหาของการนำนโยบายไปปฏิบัติในครั้งนี้อาศัยตัวแบบสหการของ Donald Van Meter และ Carl Van Horn ซึ่งเกิดขึ้นจากปัจจัยต่างๆ อันได้ แก่ 1) มาตรฐาน นโยบาย เจ้าหน้าที่รัฐต่างมีความเข้าใจในวัตถุประสงค์และเป้าหมายของนโยบายเป็นอย่างดี ขณะที่แนวทางการดำเนินการขาดความชัดเจนและขัดแย้งกับสภาพความเป็นจริงในระยะสั้น เพราะความไม่เข้าใจในพันธกรณีระหว่างประเทศ แต่ความจริงจังของเจ้าหน้าที่รัฐในการแก้ปัญหา จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับนานาชาติในระยะยาวได้ โดยทั้งหมดนี้ต่างส่งผลกระทบต่อการสื่อข้อความและการบังคับใช้กฎหมายตามมา 2) ทรัพยากรนโยบาย ซึ่งงบประมาณและสถานที่ของ องค์การภาครัฐไม่เพียงพอที่จะรองรับชาวโรฮีนจาที่ถูกจับกุมทั้งหมด ขณะที่องค์การภาครัฐขาด บุคลากรที่มีทักษะภาษาในการปฏิบัติงาน อย่างไรก็ตาม ทุกฝ่ายพยายามปรับปรุงการใช้ ทรัพยากรให้ตรงกับวัตถุประสงค์ของนโยบายให้เป็นไปตามหลักสิทธิมนุษยชน แต่ทั้งหมดนี้ส่งผล กระทบต่อการบังคับใช้กฎหมายและทัศนคติของผู้ปฏิบัติงาน 3) การสื่อข้อความ ปัญหาชาวโรฮีน จาเป็นที่สนใจของสื่อมวลชน การเผยแพร่ข่าวสารส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของเจ้าหน้าที่รัฐ ส่วนการประสานงานฝ่ายต่างๆ และองค์การร่วมรับผิดชอบเป็นไปอย่างถูกต้องตามภารกิจ ความสามารถในการประสานงานระหว่างฝ่ ายต่างๆ นี้ย่อมมีอิทธิพลต่อความยินดีหรือเต็มใจใน การปฏิบัติงาน 4) การบังคับใช้ กฎหมาย สะท้อนถึงปัญหาที่เกิดจากเงื่อนไขทางการเมือง คุณลักษณะของหน่วยปฏิบัติ มาตรฐานและทรัพยากรของนโยบาย เนื่องจากเจ้าหน้าที่รัฐบางส่วน ขาดความเคร่งครัดในการบังคับใช้กฎหมาย กอปรกับกฎหมายที่เกี่ยวข้องไม่มีการปรับปรุงให้เท่า ทันกับการเปลี่ยนแปลงของยุคปัจจุบัน ทั้งหมดนี้ส่งผลกระทบต่อทัศนคติของผู้ปฏิบัติงานและ คุณลักษณะของหน่วยปฏิบัติ 5) คุณลักษณะของหน่วยปฏิบัติ องค์การภาครัฐที่เกี่ยวข้องมีขนาด ใหญ่และซับซ้อนสูง การปฏิบัติงานเป็นไปตามขั้นตอน แบ่งงานตามความเชี่ยวชาญ ทั้งนี้ ทุกองค์การภาครัฐที่เกี่ยวข้องได้ใช้ระบบคณะกรรมการในการปฏิบัติงานร่วมกันและดำเนินการใน ลักษณะขององค์การเครือข่าย ซึ่งแต่ละองค์การกลับปกปิ ดข้อมูลหรือข้อผิดพลาดของตนเอง ส่งผลต่อการบังคับใช้กฎหมาย 6) เงื่อนไขทางการเมือง การเมืองทั้งเมียนมา มาเลเซีย และไทย กำลังประสบกับการเปลี่ยนผ่านและการเคลื่อนไหวจากภาคประชาชน โดยที่รัฐบาลแต่ละประเทศ ต่างพยายามแก้ปัญหาชาวโรฮีนจานี้ภายใต้การจับตามองจากทั่วโลก ซึ่งเงื่อนไขทางการเมืองมี ความเชื่อมโยงกับเงื่อนไขทางสังคมและเศรษฐกิจ ทัศนคติของผู้ปฏิบัติงานและผลการนำนโยบายนี้ไปปฏิบัติ7) เงื่อนไขทางสังคมและเศรษฐกิจ สภาพความยากจนทางเศรษฐกิจและกระแสการต่อต้านของเมียมากลายเป็นแรงผลักดันให้ชาวโรฮีนจาหลบหนีออกนอกประเทศ ผ่านมายังไทยที่มี ลักษณะสังคมพหุวัฒนธรรม เพื่อไปยังมาเลเซียที่มีความเชื่อทางศาสนาเหมือนกันและสภาพ เศรษฐกิจดีกว่าประเทศตนเอง กล่าวได้ว่า เงื่อนไขทางสังคมและเศรษฐกิจมีความสัมพันธ์กับ เงื่อนไขทางการเมือง และมีผลต่อการนำนโยบายไปปฏิบัติ 8) ทัศนคติของผู้ปฏิบัติงาน เป็นผล สะท้อนจากการสื่อข้อความ การบังคับใช้กฎหมาย คุณลักษณะของหน่วยปฏิบัติ และเงื่อนไข ทางการเมือง ขณะที่เจ้าหน้าที่รัฐส่วนใหญ่ยอมรับวัตถุประสงค์และเป้าหมายของนโยบาย แต่เจ้าหน้าที่รัฐในพื้นที่บางส่วนไม่เต็มใจปฏิบัติงาน และด้วยข้อจำกัดด้านทรัพยากร จึงทำให้ เจ้าหน้าที่รัฐส่วนกลางและในพื้นที่ต่างมีแนวคิดในการแก้ปัญหาแตกต่างกันในการปฏิบัติตาม กฎหมายที่กำหนดไว้ | th |
dc.format.extent | 305 แผ่น | th |
dc.format.mimetype | application/pdf | th |
dc.identifier.doi | 10.14457/NIDA.the.2016.156 | |
dc.identifier.other | b195878 | th |
dc.identifier.uri | https://repository.nida.ac.th/handle/662723737/5273 | th |
dc.language.iso | tha | th |
dc.publisher | สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ | th |
dc.rights | ผลงานนี้เผยแพร่ภายใต้ สัญญาอนุญาตครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 4.0 (CC BY-NC-ND 4.0) | th |
dc.subject.other | สิทธิมนุษยชน | th |
dc.subject.other | โรฮีนจา | th |
dc.title | การดำเนินนโยบายสิทธิมนุษยชนด้านสิทธิเสรีภาพในชีวิตและร่างกายกับปัญหาชาวโรฮีนจา : กรณีศึกษาจังหวัดสงขลาและระนอง | th |
dc.title.alternative | Implementation to life liberty and human rights policy and the problem of Rohingya : case study of Songkhla and Ranong in Thailand | th |
dc.type | text--thesis--master thesis | th |
mods.genre | Thesis | th |
mods.physicalLocation | สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์. สำนักบรรณสารการพัฒนา | th |
thesis.degree.department | คณะรัฐประศาสนศาสตร์ | th |
thesis.degree.grantor | สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ | th |
thesis.degree.level | Masters | th |
thesis.degree.name | รัฐประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต | th |