Communities in DSpace
Select a community to browse its collections.
Recent Submissions
Holding public procurement socially accountable: The adoption of the integrity pact approach and the role of the independent observers
Dhiyathad Prateeppornnarong (2021-08-17)
Having been introduced in 2015 by the efforts of the elite-backed civil society organization – the Anti-Corruption Organization of Thailand (ACT) – the Integrity Pact (IP) approach, calling for citizen engagement in exacting accountability in the public procurement system, is claimed to have been producing promising results for prevention of corruption in Thailand’s public procurement. This paper critically explores the IP approach adopted in Thailand with a particular emphasis on the role of the Independent Observers (IOs). The objectives are threefold: to examine the arrangements of Thailand’s IP approach and the IOs; to identify the contribution of the IP approach to the prevention of corruption in Thailand’s public procurement; and to investigate fundamental challenges the IP approach and the IOs face. The findings demonstrate that the IP approach is an effective means for ensuring citizen engagement in exacting public accountability and prevention of corruption in public procurement. However, they also highlight the key challenges of effective implementation of the approach including politicization of the IOs, the exclusion of the IOs in the drafting of Terms of Reference (TOR) and the officials’ misconceptions about the IOs.
Cities and sustainability: Exploring contributions, opportunities and challenges of smart city implementation towards social sustainability
Dhiyathad Prateeppornnarong (2025-03)
The past few decades have witnessed the smart city concept's worldwide popularity as the way forward for struggling with urban issues and challenges, bringing about sustainability of cities. Smart city implementation, however, has been researched chiefly within the context of major cities where the Information and Communication Technology (ICT) infrastructure and connectivity is readily available and reliable. In contrast, little was known of smart city implementation in many other fast-growing secondary cities. Drawing from the concept of social sustainability, this research seeks to explore contributions, opportunities and challenges of smart city implementation towards social sustainability of secondary cities in developing countries, using Udon Thani – a fast-growing secondary city of upper northeastern Thailand – as a research context. Grounded in 42 in-depth interviews, the findings show that smart city implementation contributes to social sustainability of Udon Thani in terms of enhancing the safety of the public, the provision of public services and offering opportunities for building a better urban society. Nevertheless, low public awareness of smart city development, inadequate collaboration between different sectors in the locality, and a lack of a smart city plan are posing significant challenges to smart city implementation, reflecting that the development of a smart city project in Udon Thani is not based on a holistic approach; hence, the implementation of the project is decidedly patchy. This research argues that the achievement of smart city implementation relies upon a holistic and multidimensional approach, taking into account integrated urban planning, cross-sector collaboration, marketing campaign strategies and the identification of context-specific instruments.
Governance through regulation: Assessing the contribution of a regulatory framework towards the quality of social enterprise governance
Dhiyathad Prateeppornnarong (2025-07-26)
The governance of social enterprises through a specific regulatory framework is one of the modes of social enterprise governance. This research paper seeks to investigate the regulatory framework for social enterprises in Thailand, answering to what extent does the existing regulatory framework contribute to the quality of social enterprise governance in the country? Through the adoption of the qualitative approach, promotion of social enterprises and mitigation of mission drift are determined as the core themes of the findings whereas the institionalisation of the social enterprise ecosystem, access to funding, the certification of social enterprises, the distribution of net profit, and social impact measurement are the relevant sub-themes. Based on the findings, it is argued that the existing regulatory framework for social enterprises contributes towards the quality of Thailand’s social enterprise governance to a limited extent due to regulatory failure. Regulatory reforms of the existing framework are therefore recommended with an emphasis on a lessening of the intensity of regulation on entry, modifications of a distributable profit cap and strengthening regulatory capacity of the regulatory bodies.
แนวทางการพัฒนาหลักเกณฑ์การขอทุนวิจัยหลังปริญญาเอก สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์กับมหาวิทยาลัยของรัฐ
สมปรารถนา ขจรวงศ์ไพศาล; วิสาขา ภู่จินดา (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2013)
การศึกษาวิจัยเรื่อง “แนวทางการพัฒนาหลักเกณฑ์การขอทุนวิจัยหลังปริญญาเอก สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์กับมหาวิทยาลัยของรัฐ” มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินประสิทธิผลของโครงการวิจัยหลังปริญญาเอกของสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์และเสนอการปรับปรุงโครงการวิจัยหลังปริญญาเอกหรือการพัฒนาโครงการวิจัยที่มีความสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ของสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ ด้านการวิจัย
ในการวิจัยนี้ได้ใช้แบบสัมภาษณ์นักวิจัยและอาจารย์ที่ปรึกษาที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นตามวัตถุประสงค์ของการวิจัย ประกอบด้วยคำถามปลายเปิดซึ่งผู้วิจัยจะต้องนำมาสังเคราะห์ความเห็นเพื่อให้ได้ข้อมูลและผู้วิจัยนำข้อมูลที่ได้จากเอกสาร และจากการสัมภาษณ์เชิงลึกมาวิเคราะห์เนื้อหา และอาศัยกรอบแนวคิด ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องมาร่วมวิเคราะห์คำตอบ
ผลการวิจัย พบว่าประสิทธิผลของการดำเนินงานโครงการวิจัยหลังปริญญาเอกนักวิจัยมีความเข้าใจโครงการวิจัยหลังปริญญาเอกซึ่งความรู้ที่นักวิจัยมีเหมาะสมกับการทำโครงการวิจัยหลังปริญญาเอกมีความรู้พื้นฐานภาษาอังกฤษที่ดีแต่ยังขาดประสบการในการตีพิมพ์โครงการวิจัยหลังปริญญาเอกจะประสบความสาเร็จได้จะต้องอาศัยประสบการณ์ของอาจารย์ที่ปรึกษาซึ่งมีความเชี่ยวชาญในการตีพิมพ์เพื่อนักวิจัยจะได้ผลงานในการตีพิมพ์ที่มีคุณภาพ ปัญหาและอุปสรรคเกี่ยวกับโครงการวิจัยหลังปริญญาเอกซึ่งพบว่า ปัญหาส่วนใหญ่จากการการขาดประสบการณ์ในการตีพิมพ์และไม่ทำตามเงื่อนไขของการตีพิมพ์ทำให้ไม่สามารถตีพิมพ์ได้ ปัจจัยเกี่ยวกับโครงการวิจัยหลังปริญญาเอกผู้ขอรับทุนมีความเข้าใจเกี่ยวกับโครงการและขั้นตอนการทางานวิจัยอย่างดี แนวทางการพัฒนาโครงการวิจัยหลังปริญญาเอก ควรมีคู่มือของโครงการวิจัยหลังปริญญาเอกที่ระบุทั้งกฎระเบียบและแนวทางในการปฏิบัติทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ และควรมีแบบฟอร์มต่างๆ ที่ระบุรายละเอียดอย่างชัดเจนพร้อมคำแนะนำรวมถึงปรับปรุงการปฏิบัติงานให้มีความรวดเร็วและเป็นระบบมากยิ่งขึ้น และมีผู้เชี่ยวชาญในการตีพิมพ์ที่คอยให้คาปรึกษาแก่นักวิจัย
สำรวจสภาวะการทำงานของนักศึกษาระดับปริญญาโท ภาคพิเศษ คณะพัฒนาการเศรษฐกิจ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ ในบริบทการทำงานระดับสากล
สงคราม ไชยแก้ว; นิรมล อริยอาภากมล (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2014)
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสำรวจแหล่งอาชีพ ผลตอบแทน และสภาวะการทำความต้องการความรู้เพื่อใช้ทำงานในระดับสากล ประชากรคือ นักศึกษาระดับปริญญาโทหลักสูตรเศรษฐศาสตร์ธุรกิจ ภาคพิเศษ คณะพัฒนาการเศรษฐกิจ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ โดยได้กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 165 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม
ผลการวิจัยพบว่า นักศึกษาส่วนใหญ่มีตำแหน่งงานในระดับปฏิบัติการ คิดเป็นร้อยละ 73.94 ทำงานอยู่ในองค์กรเอกชนไทย ประเภทสถาบันการเงิน รองลงมาคืออุตสาหกรรม ด้านการให้บริการทั้งคนไทยและต่างชาติ ได้รับค่าจ้างไม่เกิน 20,000 บาทต่อเดือน ใช้ทักษะความรู้เกี่ยวกับเรื่องระหว่างประเทศในการทำงานระดับปานกลางคิดเป็นร้อยละ 49.70 หน่วยงานที่ทำส่วนใหญ่มีกระบวนการหรือกลไกเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันระดับสากล เนื่องจากต้องมีการแข่งขันกับหน่วยงานต่างชาติ หน่วยงานส่วนใหญ่เป็นหน่วยงานที่ชื่อเสียงระดับชาติและนานาชาติ และได้การรับรองตามเกณฑ์มาตรฐานสากล คิดเป็นร้อยละ 82.42 มีการนำมาตรฐานสากลมาใช้ยกระดับการแข่งขัน และมีการทำงานร่วมกับบุคลากรต่างชาติในหน่วยงานนักศึกษาส่วนใหญ่ ร้อยละ 47.27 ได้นำความรู้จากการเรียนในหลักสูตรไปประยุกต์ใช้ในการทำงานระดับสากลมาก และช่วยให้มีโอกาสได้งานทำในหน่วยงานระดับสากลมากขึ้นด้วยทักษะความรู้ที่นักศึกษาส่วนใหญ่ต้องการนำไปประยุกต์ใช้ทำงานในระดับสากลคือ ทักษะด้านภาษาและการสื่อสารภาษาอังกฤษ และความรู้ทางเศรษฐศาสตร์ รายวิชาที่เป็นประโยชน์ต่อการนำไปใช้ในการทำงานคือ มหเศรษฐศาสตร์ การวางแผนกลยุทธ์ การวิเคราะห์โครงการ การบริหารการเงินระหว่างประเทศ และวิชาเศรษฐศาสตร์ระหว่างประเทศ รายวิชาหรือประเด็นที่ควรปรับปรุงเพื่อให้เหมาะสมกับการนำไปใช้ทำงานในระดับสากลคือ วิชาเศรษฐมิติและการพยากรณ์ โดยควรนำโปรแกรมสำเร็จรูปมาใช้ประกอบการเรียนการสอนเพื่อให้เข้าใจเนื้อหาและสามารถนำไปใช้ในการทำงานได้จริง รายวิชาหรือประเด็นความรู้ที่ควรเพิ่มคือ ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร และการจัดการธุรกิจระหว่างประเทศ ส่วนกิจกรรมที่ควรจัดให้กับนักศึกษาเพื่อรองรับการทำงานในระดับสากลคือ กิจกรรมการศึกษาดูงานในประเทศและต่างประเทศ การเปิดอบรมหลักสูตรเสริมความรู้ระยะสั้น การเชิญวิทยากรต่างชาติมาบรรยาย และการจัดสัมนาวิชาการระดับนานาชาติ นอกจากนี้พบว่าคุณสมบัติของผู้สอน และสิ่งอำนวยความสะดวกที่สามารถเสริมสร้างความรู้ในระดับสากลได้คือ ควรมีความรู้และประสบการณ์ทำงานในระดับสากล เทคนิคการสอนแบบสากล การสอนเป็นภาษาอังกฤษหรือสองภาษา เปิดกว้างให้ชักถามและแสดงความคิดเห็น มีวิสัยทัศน์กว้างไกลทันเหตุการณ์ มีการนำกรณีศึกษาต่างประเทศมาประกอบการเรียนการสอน มีการนำเอกสารและตำราต่างประเทศมาประกอบ มีห้องคอมพิวเตอร์ช่วยสอน มีวารสารต่างประเทศแบบ e-book ให้ Download มีห้อง Lab ภาษาอังกฤษ มีระบบ Software online มีสถานที่จำลองในการทำธุรกิจ และมีระบบสารสนเทศหรือฐานข้อมูลที่สามารถเสริมสร้างความรู้ในระดับสากลเช่น งานวิจัยหรือบทความวิชาการระดับนานาชาติเป็นต้น
ทัศนคติที่มีต่อระบบสารสนเทศ : กรณีศึกษาบุคลากรที่ใช้ระบบสารสนเทศในการปฏิบัติงานด้านการเงิน การคลังและพัสดุ ของสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์
วรรณา ชมเชย; ปราโมทย์ ลือนาม (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2013)
การศึกษาวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับทัศนคติของบุคลากรที่ใช้ระบบสารสนเทศด้านการเงิน การคลังและพัสดุ ปัจจัยที่มีผลกระทบต่อทัศนคติของบุคลากรที่ใช้ระบบสารสนเทศ และปัญหา อุปสรรค ข้อเสนอแนะของบุคลากรที่ใช้งานระบบสารสนเทศ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษา คือ บุคลากรที่ใช้ระบบสารสนเทศในการปฏิบัติงานด้านการเงิน การคลังและพัสดุ ทั้งในส่วนกลางและคณะ/สำนัก จำนวน 110 คน เครื่องมือที่ใช้ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถาม นำผลการศึกษาที่ได้มาวิเคราะห์และประมวลผลข้อมูลในโปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ การแจกแจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติที่ใช้ในการทดสอบสมมติฐานเป็นสถิติแบบบ t-test และ F-test
ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีประสบการณ์การใช้คอมพิวเตอร์มากกว่า 10 ปีขึ้นไป มีความสามารถในการใช้คอมพิวเตอร์ระดับปานกลาง ได้รับความรู้จากการใช้ระบบสารสนเทศด้านการเงิน การคลังและพัสดุตามหลักสูตรที่สถาบันจัดให้ ผู้บริหารให้ความชัดเจน และเห็นความสำคัญที่นำระบบสารสนเทศมาใช้ระดับเห็นด้วยมาก ผู้ใช้งานระบบสารสนเทศส่วนใหญ่มีทัศนคติในระดับดีมากเกี่ยวกับระบบสารสนเทศที่ช่วยทำให้เกิดความสะดวกในการสืบค้นข้อมูล และปฏิบัติงานได้อย่างถูกต้องขึ้น
ปัจจัยส่วนบุคคล อายุ ประสบการณ์ในการใช้คอมพิวเตอร์ และการอบรมเกี่ยวกับระบบสารสนเทศ ส่งผลต่อทัศนคติของบุคลากรที่ใช้งานระบบสารสนเทศ ด้านเครื่องมือและอุปกรณ์พบความแตกต่าง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติติที่ระดับ 0.05
ปัจจัยการให้ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับหน่วยงาน ความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับระบบสารสนเทศปัจจัยด้านนโยบาย และด้านบริหารเกี่ยวกับความชัดเจนของนโยบาย ส่งผลต่อทัศนคติของบุคลากรที่ใช้งานระบบสารสนเทศ ในภาพรวมพบความแตกต่าง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติติที่ระดับ 0.05
การศึกษาความต้องการใช้บริการข้อมูลสารสนเทศด้านทรัพยากรบุคคลในเว็บไซต์กองบริหารทรัพยากรบุคคล สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์
ธัชพงศ์พัฒน์ สีหะนาม; เกษมศานต์ โชติชาครพันธุ์ (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2014)
การศึกษาความต้องการใช้บริการข้อมูลสารสนเทศด้านทรัพยากรบุคคลในเว็บไซต์กองบริหารทรัพยากรบุคคล สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความต้องการใช้ข้อมูลสารสนเทศด้านทรัพยากรบุคคลทางเว็บไชต์ของกองบริหารทรัพยากรบุคคล และการพัฒนาเว็บไซต์กองบริหารทรัพยากรบุคคล สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ โดยเป็นการวิจัยเชิงสำรวจ (Survey Research) ประชากรที่ใช้ในการศึกษาเป็นบุคลากรในสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ จำนวน 704 ราย ได้ขนาดของตัวอย่างโดยใช้สูตรของ Taro Yamane จำนวน 255 ราย การสุ่มตัวอย่างสุ่มแบบโควตา(Quota Sampling) และแบบบังเอิญ (Accidental Sampling) ใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในเก็บรวบรวมข้อมูล และได้รับแบบสอบถามกลับคืน จำนวน 232 ราย สถิติที่ใช้ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน t-test เเล้วนำข้อมูลมาวิเคราะห์และประมวลผลด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ เพื่อคำนวณหาค่าสถิติต่างๆ สำหรับคำถามปลายเปิดใช้วิธีวิธีวิเคราะห์เนื้อหา(Content Analysis) แล้วเรียบเรียงออกมาเป็นประเด็นหลัก ซึ่งปรากฎผลการวิจัย ดังนี้
ส่วนที่ 1 ข้อมูลทั่วไป ผลการวิจัย พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ร้อยละ 71.1 มีอายุระหว่าง 31 - 35 ปี ร้อยละ 21.6 การศึกษาระดับปริญญาตรี - ปริญญาโท มีจำนวนมากที่สุด กลุ่มตัวอย่างปฏิบัติงานในหน่วยงานระดับคณะมากที่สุด ลักษณะงานที่ปฏิบัติมากที่สุด คือ ด้านบริหารงานทั่วไป/ธุรการ อายุงานเฉลี่ย 9.36 ปี
ส่วนที่ 2 การใช้เว็บไซต์กองบริหารทรัพยากรบุคคล กลุ่มตัวอย่างมีการใช้สารสนเทศหัวข้อข่าวประชาสัมพันธ์การอบรม และการรับสมัครงานมากที่สุด คะแนนเฉลี่ย 3.20 และสำหรับด้านข้อมูลการให้บริการ มีการใช้งานสารสนเทศแบบฟอร์มต่างๆ ของบุคลากรมากที่สุด มีคะเเนนเฉลี่ย 3.34
ส่วนที่ 3 ความคิดเห็นต่อเว็บไซต์กองบริหารทรัพยากรบุคคลด้านความเหมาะสมกลุ่มตัวอย่างมีความคิดเห็นต่อเว็บไซต์ ด้านความน่าเชื่อถือมีความเหมาะสมมากที่สุด มีคะแนนเฉลี่ย 3.43 และมีความคิดเห็นว่าเว็บไซต์กองบริหารทรัพยากรบุคคลมีความเหมาะสมด้านความเป็นมัลติมีเดียน้อยที่สุด มีคะแนนเฉลี่ย 2.84
ส่วนที่ 4 ความต้องการเว็บไซต์ที่กองบริหารทรัพยากรบุคคคล หัวข้อที่กลุ่มตัวอย่างมีต้องการใช้ข้อมูลในระดับมาก คือ กฎระเบียบ หลักเกณฑ์วิธีการเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคล คะแนนเฉลี่ย 3.82 รองลงมาคือ แบบฟอร์มต่างๆ ของบุคลากร มีคะแนนเฉลี่ย 3.80 ข้อมูลสวัสดิการสิทธิประโยชน์ต่างๆ ของบุคลากร และการประเมินผลการปฏิบัติงาน มีคะแนนเฉลี่ย 3.76 และ 3.69 ตามลำดับ
หัวข้อที่มีความต้องการใช้ข้อมูลในระดับปานกลาง คือ หัวข้อความก้าวหน้าในสายอาชีพมากที่สุด มีคะแนนเฉลี่ย 3.67 รองลงมาคือ การพัฒนาบุคลากร มีคะแนนเฉลี่ย 3.53 การส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรม จรรยาบรรณในการปฏิบัติราชการ และการสมัครงาน มีคะแนนเฉลี่ย 3.39 และ 3.22 ตามลำดับ
สารสนเทศที่ต้องการให้มีในเว็บไซต์กองบริหารทรัพยากรบุคคลเพิ่มเติมในระดับมาก และมากที่สุด คือ รายละเอียดเกี่ยวกับสวัสดิการ รายละเอียดเกี่ยวกับวิธีการปรับเงินเดือน/การปรับฐานเงินเดือน กฎระเบียบเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคล ตัวอย่างผลงานทางวิชาการที่ดี รายละเอียดเกี่ยวกับการฝึกอบรม ตัวอย่างคู่มือการปฏิบัติงาน/ผลงานทางวิชาการ ตัวอย่างการเขียนข้อมูล/กรอกข้อมูลความก้าวหน้าทางวิชาชีพ การแนะนำบุคลากรเข้าใหม่ และแบบฟอร์มภาษาอังกฤษสำหรับอาจารย์ชาวต่างประเทศ เป็นต้น
โดยสารสนเทศที่ต้องการให้มีในเว็บไซต์กองบริหารทรัพยากรบุคคลเพิ่มเติมในระดับปานกลาง คือ ข้อมูลเกี่ยวกับอัตรากำลัง ตัวอย่างการทำเล่มรายงานผลงานเพื่อต่อสัญญาจ้าง และแนวข้อสอบการสอบเข้าหรือเนื้อหาการสอบเข้าทำงาน เป็นต้น
สำหรับข้อเสนอแนะ เว็บไซต์กองบริหารทรัพยากรบุคคลควรปรับปรุงข้อมูลให้ทันสมัยเป็นปัจจุบัน เช่น ข้อมูลการประกาศรับสมัครงาน การประกาศผลสอบแข่งขันการสมัครงานให้ทันเวลาตามที่กำหนด ควรมีการพัฒนาช่องทางสำหรับติดต่อสอบถามหรือขอคำแนะนำผ่านทานทางเว็บไซต์ ควรทำลิงค์ข้อมูลต่างๆ ให้ดูง่ายในการสืบค้นหาข้อมูล
ควรปรับปรุงความเป็นมัลติมีเดียให้มากขึ้น ให้มีรูปแบบที่มีความทันสมัย มีการจัดหมวดหมู่ในแต่ละเรื่องให้มีความเป็นระเบียบ มีการเชื่อมโยงข้อมูลให้ครอบคลุม และรวมทั้งความรวดเร็วในการเข้าถึงเว็บไซต์กองบริหารทรัพยากรบุคคล
ทัศนคติต่อการรับทุนสนับสนุนวิจัยของข้าราชการและพนักงานสายสนับสนุน : กรณีศึกษาทุนรางวัลค้นคว้าในวิทยาการการเขียนเอกสารวิชาการ
คณิตตา บุณนาค (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2014)
การวิจัยเรื่องนี้ เป็นการวิจัยแบบบูรณาการ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบันของกระบวนการให้ทุนสนับสนุนทุนวิจัยของข้าราชการและพนักงานสายสนับสนุน กรณีศึกษาทุนรางวัลค้นคว้าในวิทยาการการเขียนเอกสารวิชาการ การวิจัยเชิงปริมาณ เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบันของกระบวนการให้ทุนส่งเสริมฯ การเขียนเอกสารวิชาการ ศึกษาปัญหา อุปสรรคของกระบวนการให้ทุนส่งเสริมการเขียนเอกสารวิชาการและศึกษาทางการพัฒนากระบวนการให้ทุนส่งเสริมการเขียนเอกสารวิชาการของสำนักวิจัย สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ประชากรที่ศึกษา คือ บุคลากรในสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์จำนวนทั้งหมด 528 ราย ซึ่งได้ขนาดของตัวอย่างโดยใช้สูตรของ Taro Yamane จำนวน 225 ราย การสุ่มตัวอย่างแบบอาศัยความน่าจะเป็น ด้วยวิธีสุ่มอย่างง่าย (Simple Random sampling) ใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล สถิติที่ใช้ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิจัยเชิงคุณภาพ ผู้ให้ข้อมูล ได้แก่ ผู้ที่เคยได้รับทุน จำนวน 4 ราย โดยใช้วิธีการสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth Interview) แล้วนำข้อมูลมาดำเนินการวิเคราะห์และประมวลผลด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ เพื่อคำนวณหาค่าสถิติต่าง ๆ และพรรณนาตามผลการสัมภาษณ์ ซึ่งปรากฏผลการวิจัย ดังนี้
ผลการวิจัย พบว่า พนักงานสถาบันฯผู้ให้ข้อมูล เพศหญิง ร้อยละ 76.4 เพศชาย ร้อยละ 23.6 มีอายุระหว่าง 31-40 ปี ร้อยละ 43.1 รองลงมา อายุระหว่าง 41-50 ปี ร้อยละ 31.2 การศึกษาระดับปริญญาตรี ร้อยละ 62.7 เป็นโสดร้อยละ 47.6 เป็นข้าราชการ ร้อยละ 44.0 เป็นพนักงานสถาบัน ร้อยละ 36.9 เป็นนักวิชาการการเงินและนักบัญชีปฎิบัติการ ร้อยละ 8.9 รองลงมาเจ้าหน้าที่บริหารงานทั่วไป ร้อยละ 6.7 สังกัดสำนักบรรณสารการพัฒนา มีร้อยละ 11.6 คณะสถิติประยุกต์ ร้อยละ 10.2 และกองคลังและพัสดุ ร้อยละ 7.1 มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือน 10,000-20,000 บาท ร้อยละ 6.7 รองลงมา 20,001-30,000 บาท ร้อยละ 3.6 อายุงานในสถาบันเฉลี่ยอยู่ระหว่าง 16 – 20 ปี ร้อยละ 24.4 รองลงมา เฉลี่ยอยู่ระหว่าง 1 – 5 ปี ร้อยละ 18.7 ประสบการณ์การทำวิจัยเฉลี่ยอยู่ระหว่าง 1 – 3 ปี ร้อยละ 20.0 รองลงมาอยู่ระหว่าง 4 – 6 ปี และ 10 – 12 ปี ร้อยละ 5.3 จำนวนเรื่องที่ผ่านการอนุมัติมี 1 เรื่องต่อคน คิดเป็น ร้อยละ 7.6 สำหรับปัญหาและอุปสรรคในการขอทุน คือ ด้านประชาสัมพันธ์ยังไม่ทั่วถึงต้องเปิดเว็บไซต์ของสำนักวิจัยเท่านั้นจึงจะทราบความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับการขอทุน และยังพบว่าการคัดเลือกหัวข้อในการทำวิจัยให้สอดคล้องเหมาะสมกับงานที่ปฏิบัติค่อนข้างยาก รวมทั้งปัญหาการไม่มีเวลาในการทำวิจัย ไม่มีความรู้ความสามารถในการทำวิจัยและปัญหาด้านขั้นตอนการส่งข้อเสนอโครงการใช้เวลานาน ระยะเวลาการแจ้งผลให้ทราบยังล่าช้า โดยมีข้อเสนอแนะ ควรเปิดโอกาสให้ทำวิจัยในหัวข้อที่สนใจ และสามารถนำผลงานมาใช้อ้างอิงในการขอเลื่อนตำแหน่งได้ ส่วนข้อเสนอแนะในการปรับปรุงกระบวนการให้ทุน คือ มีการประชาสัมพันธ์อย่างทั่วถึง โดยการประชาสัมพันธ์รายบุคคล
แนวทางการสร้างความตระหนักรู้ด้านความมั่นคงปลอดภัยในการใช้งาน เครื่องพิมพ์มัลติฟังก์ชันร่วมกับระบบบริหารจัดการเครื่องพิมพ์จากส่วนกลาง
ญาณี ตั๋นไชยยา; นิธินันท์ ธรรมากรนนท์ (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2024)
ในยุคที่เทคโนโลยีมีบทบาทสาคัญในการดาเนินงานขององค์กร เครื่องพิมพ์มัลติฟังก์ชัน (MFP) ที่ผสานกับระบบจัดการการพิมพ์แบบรวมศูนย์ (PMS) ได้กลายเป็นส่วนสาคัญของโครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีสาหรับทั้งภาคเอกชนและภาครัฐ อุปกรณ์เหล่านี้ไม่เพียงอานวยความสะดวกในการพิมพ์เอกสาร แต่ยังรองรับการสแกน การถ่ายเอกสาร และการส่งแฟกซ์ ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนการดาเนินงาน
งานวิจัยนี้มุ่งสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับความเสี่ยงด้านความปลอดภัยที่เกี่ยวข้องกับการใช้เครื่องพิมพ์มัลติฟังก์ชันที่เชื่อมต่อกับระบบ PMS พร้อมนาเสนอแนวทางการประยุกต์ใช้มาตรฐานสากลด้านความปลอดภัย และวิเคราะห์ผลกระทบของการใช้ข้อมูลพนักงานในการจัดการเครื่องพิมพ์ภายในองค์กร ตลอดจนแนวทางการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) เพื่อป้องกันการละเมิดข้อมูล
การศึกษานี้ครอบคลุมการสารวจความเสี่ยงทางเทคนิคของเครื่องพิมพ์มัลติฟังก์ชัน ช่องโหว่ด้านสถาปัตยกรรมระบบ ความเสี่ยงด้านพฤติกรรมของผู้ใช้ และผลกระทบทางกฎหมาย พร้อมเสนอแนวทางที่มีประสิทธิภาพในการบรรเทาความเสี่ยงเหล่านี้ โดยเน้นย้าความสาคัญของการปฏิบัติตามมาตรฐาน ISO/IEC 27001:2022 และพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล เพื่อปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลและรักษาความปลอดภัยขององค์กร ผลการวิจัยได้รับการจัดหมวดหมู่ตามการวิเคราะห์ความเสี่ยงด้านเทคนิค สถาปัตยกรรม พฤติกรรม และกฎหมาย ซึ่งนาเสนอกรอบการทางานที่ครอบคลุมสาหรับองค์กรในการพัฒนามาตรการรักษาความปลอดภัย
มาตรการเสริมสร้างความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ สำหรับระบบเว็บไซต์ของหน่วยงานขนาดเล็ก
ศุภฤกษ์ ภัทรรัชต์ภาคย์; ปราโมทย์ กั่วเจริญ (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2024)
เว็บไซต์เป็นเครื่องมือสำคัญในการเผยแพร่ข้อมูลสาธารณะ โดยเฉพาะหน่วยงานภาครัฐที่ต้องจัดทำเว็บไซต์ตามข้อกำหนดการตรวจประเมินความโปร่งใส ITA อย่างไรก็ตาม หลายหน่วยงานขาดความพร้อมด้านเทคโนโลยี ขาดบุคลากรด้านความมั่นคงปลอดภัย และขาดแคลนงบประมาณ ทำให้ตกเป็นเป้าหมายของการโจมตีและยึดครองเว็บไซต์เพื่อนำไปใช้ในกิจกรรมที่ผิดกฎหมาย
การศึกษานี้นำเสนอมาตรการเสริมสร้างความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์สำหรับเว็บไซต์ของหน่วยงานขนาดเล็ก ใช้การวิจัยเชิงคุณภาพโดยการศึกษาเอกสาร (Documentary Research) และคัดเลือกแนวปฏิบัติที่ดีจากมาตรฐานสากล เช่น มาตรฐานเว็บไซต์ภาครัฐ, NIST Cybersecurity Framework และ ISO/IEC 27001 ใช้การออกแบบสถาปัตยกรรมแบบ Single-node Multi-layer Defense การติดตั้ง Security Patch Update, การทำ Configuration Hardening, การคัดเลือกซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์สที่จำเป็นสำหรับควบคุม ตรวจจับ และป้องกันการโจมตีทางไซเบอร์ การเพิ่มระบบป้องกันการโจมตีเว็บไซต์ Web Application Firewall (WAF) และการใช้ระบบ Automation ผ่าน Ansible ในการทำ Centralized Management ทำให้สามารถดำเนินการบนงบประมาณจำกัด แต่มีประสิทธิภาพสูง ลดความเสี่ยง ยกระดับความมั่นคงปลอดภัย และเสริมสร้างความน่าเชื่อถือของหน่วยงานภาครัฐ
ปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จของนักวิชาชีพด้านการตลาดดิจิทัล
ธิดารัตน์ วงศ์สว่าง; พรพรรณ ประจักษ์เนตร (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2024)
วิทยานิพนธ์นี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาปัจจัยด้านการตลาดดิจิทัลขององค์กรที่ประสบความสำเร็จ 2) เพื่อศึกษาปัจจัยด้านผู้ประกอบการที่ทำให้องค์กรประสบความสำเร็จ และ 3) เพื่อศึกษาปัจจัยตัวชี้วัดการประสบความสำเร็จของธุรกิจการตลาดดิจิทัล โดยวิธีการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) และทำการเก็บข้อมูลโดยวิธีสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth Interview)
ซึ่งผู้ให้ข้อมูลสำคัญ ประกอบด้วย 1) ผู้ประกอบการธุรกิจออนไลน์ และ 2) นักวิชาการจากกลุ่มบริษัทหรือองค์กรที่มีความเชี่ยวชาญด้านการทำธุรกิจดิจิทัล จำนวนทั้งสิ้น 9 ท่าน คัดเลือกแบบเฉพาะเจาะจง ทำการวิเคราะห์ข้อมูลโดยวิธีการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา (Content Analysis)
ผลจากวิจัยพบว่า ปัจจัยด้านกลยุทธ์การตลาดดิจิทัล รูปแบบการสื่อสารการตลาดดิจิทัล ส่วนประสมทางการตลาดดิจิทัล การใช้สื่อสังคมออนไลน์ในทางธุรกิจ การวางแผนการตลาดสื่อสังคมออนไลน์ การวัดและประเมินผลลัพธ์การตลาดดิจิทัล และความยืดหยุ่นตามสถานการณ์ ส่งผลต่อความสำเร็จขององค์กร
ด้านปัจจัยด้านผู้ประกอบการ พบว่า ปัจจัยด้านตำแหน่งทางวิชาชีพ, ความมีชื่อเสียง, ความสำเร็จ และความพึงพอใจ ส่งผลต่อความสำเร็จของผู้ประกอบการในองค์กรมากที่สุด รองลงมาคือ ด้านผลงานและรางวัล, ความเชี่ยวชาญด้านการใช้เครื่องมือ, ตำแหน่งทางสังคม, ด้านจิตวิทยา และการสร้างแรงบันดาลใจ ตามลำดับ
ด้านปัจจัยตัวชี้วัดการประสบความสำเร็จ พบว่า ปัจจัยตัวชี้วัดด้านแนวโน้มของกำไร, แนวโน้มของจำนวนลูกค้า, แนวโน้มของยอดขาย, ความพึงพอใจจากมุมมองของผู้อื่น, และการประเมินโดยผู้สัมภาษณ์
ส่งผลต่อความสำเร็จของธุรกิจการตลาดดิจิทัลมากที่สุด รองลงมาคือ แนวโน้มของธุรกิจโดยรวม, ความพึงพอใจความสำเร็จเมื่อเทียบกับคู่แข่ง, ความพึงพอใจในฐานะเจ้าของกิจการ, ความพึงพอใจในรายได้, จำนวนพนักงานในปัจจุบัน และมูลค่าเครื่องจักรและอุปกรณ์หากมีการขายกิจการ ตามลำดับ
นอกจากนี้ ผลการวิจัย ยังพบประเด็นสำคัญที่สุดคือผู้ประกอบการต้องทำความเข้าใจกลุ่มเป้าหมายของธุรกิจตัวเองให้ชัดเจนและตรงกลุ่มที่สุด และเลือกใช้เครื่องมือ และเทคโนโลยีที่เหมาะสม และวัดผลลัพธ์อย่างสม่ำเสมอ การตลาดดิจิทัลจึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทุกธุรกิจในยุคปัจจุบันไม่ว่าจะเป็นธุรกิจขนาดเล็ก ขนาดกลาง หรือขนาดใหญ่ เพื่อเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงลูกค้า และสร้างความรู้สึกที่ดีต่อบริการหรือผลิตภัณฑ์ขององค์กร
แนวทางการพัฒนาและยกระดับสู่การเป็นเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ (ระดับ Eco-Excellence) กรณีศึกษา นิคมอุตสาหกรรมทีเอฟดี 1
ธนา สุวศิน; จุฑารัตน์ ชมพันธุ์ (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2024)
การศึกษาค้นคว้าอิสระนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความเปลี่ยนแปลงในมิติด้านต่าง ๆ ในการเป็นเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศของนิคมอุตสาหกรรมทีเอฟดี 1 และแนวทางการพัฒนาและยกระดับเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศของนิคมอุตสาหกรรมทีเอฟดี 1 สู่เมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศระดับ Eco-Excellence ตามคู่มือเกณฑ์การตรวจประเมินเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย โดยใช้แบบประเมินและการสัมภาษณ์แบบซึ่งหน้าเป็นเครื่องมือในการเก็บข้อมูล กลุ่มตัวอย่างคือ บริษัทภายในนิคมฯ จำนวน 10 บริษัทและผู้บริหารรวมถึงพนักงานสำนักงานนิคมอุตสาหกรรมทีเอฟดี 1 และชุมชนโดยรอบ จำนวน 8 คน แล้วนำมาวิเคราะห์ช่องว่างการพัฒนา (Gap Analysis) เพื่อให้ทราบแนวทางการพัฒนาและยกระดับ ผลการศึกษาพบว่าการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมทีเอฟดี 1 ในมิติ 1) มิติสิ่งแวดล้อม 2) มิติสังคม 3) มิติการบริหารจัดการ เป็นจุดแข็งมีความโดดเด่นในการพัฒนาโดย 1) มิติสิ่งแวดล้อมพบว่าโรงงานสามารถดำเนินการวางแผน วิเคราะห์ปรับปรุงกระบวนการผลิตเพื่อให้เกิดการใช้วัตถุดิบ น้ำ พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ 2) มิติสังคมด้านวัสดุเหลือใช้พบว่าโรงงานผู้ประกอบการในนิคมอุตสาหกรรมนำส่งข้อมูลตามระบบการจัดการของเสียออกนอกโรงงานครบถ้วนตามระบบกรมโรงงานอุตสาหกรรม ด้าน Happy Workplace นิคมฯ และโรงงานมีการดำเนินงานครบทั้ง 8 ประการและด้านความรับผิดชอบต่อสังคมและด้านความรับผิดชอบต่อสังคมพบช่องว่างโดยมีโรงงานในนิคมฯ ยังไม่ได้รับการรับรอง CSR-DIW หรือ ISO 26000 3) มิติบริหารจัดการพบว่านิคมฯ มีการจัดประชุมและเผยแพร่ผลการดำเนินงานเฝ้าระวังคุณภาพทางสิ่งแวดล้อม (EIA Monitoring) สู่ชุมชนและหน่วยงานภายนอกให้รับทราบทุก 6 เดือน ด้านการรับรองอุตสาหกรรมสีเขียว (Green Industry) ระดับ 4 พบว่าปัจจุบันโรงงานในนิคมฯ ยังไม่มีโรงงานที่ผ่านการตรวจประเมินรับรอง อย่างไรก็ตามในมิติ 4) มิติกายภาพ 5) มิติเศรษฐกิจ ยังพบช่องรวมถึงปัญหาและอุปสรรคในการตอบแบบสอบถามและการขาดการร่วมดำเนินงานระหว่างโรงงานและนิคมฯ โดย 4) มิติกายภาพด้านขนส่งพบว่ามีโรงงานเพียง 1 โรงงานที่ตอบแบบประเมิน และ 5) มิติเศรษฐกิจด้านการพัฒนาวิสาหกิจชุมชนพบว่านิคมฯและโรงงานยังขาดความร่วมมือในการดำเนินงานร่วมกันในการพัฒนาวิสาหกิจชุมชนหรือกลุ่มอาชีพของชุมชนเพราะโรงงานแต่ละโรงงานจะดำเนินการด้าน CSR ด้วยตนเอง
ประสิทธิภาพของกลยุทธ์การลงทุนถัวเฉลี่ยต้นทุนแบบประยุกต์
วงศพัทธ์ บุญล้ำ; สรศาสตร์ สุขเจริญสิน (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2024)
งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบประสิทธิภาพของกลยุทธ์การลงทุนแบบเป็นระบบทั้งสาม ได้แก่ Dollar-Cost Averaging (DCA), Enhanced Dollar‐Cost Averaging (EDCA) และ Value Averaging (VA) ภายใต้สภาวะตลาดที่แตกต่างกัน โดยแบ่งออกเป็นตลาดขาขึ้น (Bull Market) และตลาดขาลง (Bear Market) โดยใช้งานกองทุนรวมตราสารทุน 20 กองทุนในตลาดหุ้นไทยในช่วงปี พ.ศ. 2546-2564 เปรียบเทียบกับดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET Index) ตัวชี้วัดทางการเงินที่ครอบคลุม ทั้งผลตอบแทนและความเสี่ยง การประเมินใช้ XIRR อัตราส่วน Sharpe อัตราส่วน Sortino อัตราส่วน Calmar และ Max Drawdown รวมทั้งการวิเคราะห์ความเสถียรและความสม่ำเสมอของผลลัพธ์ผ่าน Rolling Window Analysis ถูกนำมาใช้เพื่อประเมินกลยุทธ์ในบริบทของวัฏจักรเศรษฐกิจ ผลการศึกษาพบว่า EDCA มีประสิทธิภาพเหนือกว่าในตลาดขาลง ขณะที่ VA ให้ผลตอบแทนไกล้เคียงตลาดแต่มีความเสี่ยงต่ำกว่าดัชนีในตลาดขาขึ้น ทั้งนี้ กลยุทธ์ทั้งสองแบบมีประสิทธิภาพเหนือกว่ากลยุทธ์แบบ DCA ยืดหยุ่นต่อวัฏจักรเศรษฐกิจ สะท้อนศักยภาพ กลยุทธ์แบบพลวัตในการรับมือความผันผวนเชิงระบบที่ดีในตลาดทุนไทย ผลการวิเคราะห์ทางสถิติโดยใช้ Repeated Measures ANOVA และ Friedman Test ยืนยันว่าความแตกต่างของผลตอบแทนและความเสี่ยงระหว่างกลยุทธ์มีนัยสำคัญทางสถิติ โดยสามารถอธิบายได้ประมาณ 98-99% ของความแปรปรวนในผลตอบแทน งานวิจัยนี้จึงให้หลักฐานเชิงประจักษ์ที่สนับสนุนแนวทางการวางกลยุทธ์การลงทุนที่อิงกับวัฏจักรเศรษฐกิจอย่างละเอียด เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยงและสร้างผลตอบแทนที่สูงในระยะยาวในบริบทของตลาดทุนไทย
Analyzing textbooks and teachers-students’ perceptions of multicultural English education in public secondary school curricula : a study of EFL teaching and learning in Chiang Mai, Thailand
Kanlaya Promwatcharanon; Kasma Suwanarak (National Institute of Development Administration, 2024)
The globalization of English language use has necessitated adaptations in English language teaching (ELT) methodologies. This mixed methods study investigates the integration of multicultural education into ELT curricular within public secondary schools in Chiang Mai, Thailand. Three primary objectives guide the research:
1) exploration of TESOL experts’ views towards cultural diversity representation in EFL textbooks and evaluation of potential for incorporating cultural content into English classrooms;
2) examination of English teacher trainees’ perceptions on multicultural education and their preparedness to integrate it into their instructional practices; and
3) investigation of public secondary school students’ perceptions of multicultural education and their receptiveness to its integration into their English classes.
Data were collected from three participant groups: TESOL experts, English teacher trainees, and public secondary school students. Descriptive statistics and constant comparative analysis were utilized for qualitative and quantitative data analysis, respectively, with findings triangulated for comprehensive insights.
The study reveals that ELT textbooks feature international and Asian contexts, yet demonstrate limited representation of Thai cultural diversity. TESOL experts and teacher trainees advocate for culturally relevant teaching materials, tailored to Thai students’ needs. Conversely, student participants exhibit enthusiasm for learning about diverse cultures and support the integration of multicultural education into English classes, citing increased engagement and language acquisition benefits.
Overall, the study emphasizes the importance and feasibility of integrating multicultural education into EFL curricula in Thai public secondary schools, underscoring the necessity for targeted teacher training and pedagogical support to ensure successful implications.
The Assessment of environmental management processes and fustainability factors of business organizations listed on the Stock Exchange of Thailand
Suwit Numpa; Pakpong Pochanart; Chutarat Chompunth (National Institute of Development Administration, 2024)
This study investigates the prioritization and characteristics of environmental management and sustainability practices among organizations listed on the Stock Exchange of Thailand (SET). It aims to (1) evaluate the prioritization of environmental management factors and Sustainable Development Goals (SDGs) across various industry groups; (2) analyze and compare environmental management factors in organizational operations using the Sustainability Report Assessment Form; and (3) develop guidelines for sustainability management through the Environmental, Social, and Governance (ESG) framework to support organizations in achieving long-term sustainability. The research analyzes annual sustainability reports from 2018 to 2020, encompassing 148 organizations purposively sampled across eight industry groups: Agriculture & Food Industry, Consumer Products, Financials, Industrial Products, Property & Construction, Resources, Services, and Technology. The assessment framework comprises 19 primary factors and 113 sub-issues, while the prioritization of 17 SDGs is also evaluated. Employing a mixed-methods approach, the study utilizes quantitative analyses, including descriptive statistics and Multivariate Analysis of Variance (MANOVA), to examine correlations and differences across industry groups. Scheffé post-hoc tests further explore these differences. Qualitative data from semi-structured interviews with 10 stakeholders are analyzed using content analysis to gain insights into the relationships between sustainability factors and practices.
Key findings reveal that the Resources group comprises the highest proportion of companies (22.52%), followed by Services (19.23%). The prioritization of SDGs in sustainability reports was of moderate importance, with an average score of 2.92±1.90. SDG 8 (Decent Work and Economic Growth), SDG 13 (Climate Action), and SDG 3 (Good Health and Well-being) received the highest scores, while SDG 1 (No Poverty), SDG 14 (Life Below Water), and SDG 2 (Zero Hunger) were the least prioritized. Industry groups such as Property & Construction, Agriculture & Food Industry, and Industrial Products demonstrated higher sustainability performance, whereas Technology, Financials, and Consumer Products showed lower prioritization of SDGs. Environmental management factors scored an overall moderate average of 3.06, with 'Employees' receiving the highest stakeholder-related score (4.66) and 'Non-governmental Organizations' the lowest (1.25). The Industrials group recorded the highest prioritization score for environmental management factors (3.71), followed by Resources (3.25) and Property & Construction (3.16). Corporate Social Responsibility (CSR), Environmental Management, and Values and Norms ranked highest among factors, while Green/Eco Industry, Environmental Management Accounts, and Environmental Issues for Suppliers scored lowest. MANOVA results revealed significant differences in environmental management practices across industries, with notable variations in ecological innovation, strategic environmental management, and adoption of SDGs as business objectives.
The study underscores areas requiring improvement. While many organizations integrate ISO standards and eco-labeling, CSR reporting and establishing dedicated sustainability divisions remain underdeveloped. Stakeholder engagement focuses on employees, consumers, and communities, while NGOs and industry associations are underrepresented. Environmental management strategies are well-integrated but lack comprehensive risk management and innovation in eco-friendly product development. Gaps persist in performance management systems, environmental decision-making processes, and the application of ecological accounting practices, particularly in resource efficiency and lifecycle assessments. Organizations must prioritize circular economy principles, align CSR activities with business objectives, and strengthen eco-industry integration. Enhanced supplier relations and comprehensive stakeholder engagement are crucial for fostering long-term sustainability. Additionally, broader attention to all SDGs, particularly poverty, hunger, and marine conservation, is essential to ensure holistic sustainability outcomes.
This research concludes that the prioritization of environmental management factors varies significantly across industries and is shaped by unique sectoral contexts. While industrial groups emphasize regulatory compliance and pollution prevention, the Technology sector focuses on innovation and customer-driven solutions. The Resource, Agriculture, and Food Industry groups prioritize sustainability, environmental performance, and stakeholder engagement, while the Financials sector emphasizes risk assessment. The Service group underscores transparency and ecological performance disclosures. These findings offer valuable insights into decision-making processes and the development of sustainability goals. They highlight integrating environmental, social, and governance (ESG) factors into business operations to ensure long-term success and resilience.
Mechanisms to lifelong learning among instructors in Thai public universities : A critical realism mixed methods research
Zhao, Guoxiang; Ratiporn Teungfung (National Institute of Development Administration, 2024)
This research adopted the Critical Realism paradigm and utilized a mixed methods approach for a comprehensive analysis. The purposes of this research were:
1) To assess and describe the level of teachers’ epistemological beliefs and their
lifelong learning competencies. 2) To examine whether teachers' epistemological
beliefs significantly affect and predict lifelong learning competencies.3) To explore
and clarify Thai society's underlying mechanisms of lifelong learning.
The study employed a sequential explanatory mixed-methods design,
combining quantitative and qualitative methods to comprehensively examine the
relationships between instructors’ epistemological beliefs and their lifelong learning
competencies. The quantitative phase involved administering the Lifelong Learning
Competencies Scale to instructors from 20 Thai public universities, representing
diverse institutional types and categories. Multiple Regression Analysis was used to
identify whether teachers’ epistemological beliefs significantly affected lifelong
learning competencies. In the qualitative phase, in-depth interviews were conducted
with participants selected from various scoring groups in the quantitative survey,
including both high and low scorers, as well as experts in lifelong learning. Using
grounded theory, the qualitative analysis systematically identified, categorized, and
explored underlying causal mechanisms, offering an in-depth understanding of the
interactions and dynamics within the context of Thai higher education. This integrated
approach ensures a nuanced and holistic exploration of the study's objectives.
The quantitative findings revealed that instructors’ epistemological beliefs
significantly influenced lifelong learning competencies, Belief in the authority of
knowledge (DE = -0.514, p < 0.01) negatively impacted competencies by
discouraging critical thinking and adaptability, reflecting cultural tendencies in Thai
education that emphasized deference to authority. In contrast, belief in learning effort
(DE = 0.393, p < 0.01) positively predicted lifelong learning, highlighting the role of
effort-driven engagement in fostering self-directed learning.
The qualitative findings revealed two key mechanisms with the strongest
explanatory power for lifelong learning. First, Mechanism 2, "Authority Knowledge
as a Barrier to Lifelong Learning," was supported by both qualitative and quantitative
data, highlighting how epistemological beliefs and cultural norms constrained
learning behaviors. Second, Mechanism 3, "Knowledge Sharing as a Driver for
Lifelong Learning," demonstrated the transformative role of collaborative practices in
strengthening individual agency and institutional adaptability. These mechanisms
reflected the complex interplay of cultural, structural, and technological factors,
underscoring the need to cultivate educational environments that promoted inquiry,
inclusivity, and active engagement in lifelong learning.
This research provided valuable insights for policymakers and administrators
in higher education to design targeted support systems to enhance lifelong learning
competencies among university instructors. It underscored the importance of
addressing systemic barriers and fostering a supportive cultural and institutional
environment to meet the challenges posed by rapid societal changes and sustainable
development goals. The critical realist methodology proved particularly effective in
addressing complex social phenomena, offering a comprehensive understanding of
surface-level relationships and deeper causal mechanisms. The findings contributed to
the theoretical understanding of lifelong learning and provided practical
recommendations for advancing educational policies and practices in Thailand.
ปัจจัยการพัฒนาอุตสาหกรรมสีเขียวตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง กรณีศึกษา โรงแยกก๊าซธรรมชาติระยอง บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน)
ปิณฑิรา เดชเดชะ; ณพงศ์ นพเกตุ (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2024)
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมสีเขียวระดับที่ 5 ของโรงแยกก๊าซธรรมชาติระยอง บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) โดยมุ่งเน้นการวิเคราะห์ความเชื่อมโยงระหว่างหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง หลักการพัฒนาที่ยั่งยืน และกลยุทธ์เชิงนโยบาย โครงสร้างและวัฒนธรรมองค์กร ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการส่งเสริมความยั่งยืนในทุกมิติ ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมการวิจัยใช้ระเบียบวิธีเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยผู้บริหาร พนักงาน และพนักงานผู้ช่วย จำนวน 109 คน โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือหลัก และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที (t-test) การวิเคราะห์ความแปรปรวน (ANOVA) และการวิเคราะห์สมการถดถอยผลการวิจัยพบว่า ปัจจัยส่วนบุคคล ได้แก่ อายุ อายุการทำงาน ระดับการศึกษา และสถานภาพการทำงาน มีผลต่อการรับรู้และการมีส่วนร่วมในการพัฒนาอุตสาหกรรมสีเขียวในหลากหลายมิติ ขณะที่เพศไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ โดยเฉพาะกลุ่มที่มีอายุงานมากหรืออยู่ในระดับบริหารมีความเข้าใจและมีพฤติกรรมที่ส่งเสริมแนวทางการดำเนินงานตามหลักการของอุตสาหกรรมสีเขียวมากกว่ากลุ่มอื่นจากผลการวิจัยเสนอให้มีการสื่อสารนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมอย่างเหมาะสมกับกลุ่มพนักงานในระดับต่าง ๆ ส่งเสริมการอบรมเชิงปฏิบัติการเกี่ยวกับปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ออกแบบแนวทางการประยุกต์ใช้ที่สอดคล้องกับบริบทของอุตสาหกรรม และเปิดโอกาสให้พนักงานทุกระดับมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนองค์กรไปสู่เป้าหมายการพัฒนาอุตสาหกรรมสีเขียวระดับสูงสุดอย่างแท้จริง
การประเมินพื้นที่เสี่ยงมลพิษทางน้ำจากแหล่งกำเนิดมลพิษ ในพื้นที่จังหวัดสมุทรสงคราม
ศศิมา มีสิริมณีกาญจน์; ฆริกา คันธา (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2024)
การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินปริมาณมลพิษของภาระอินทรีย์ (BOD Loading) จากแหล่งกำเนิดมลพิษทางน้ำทั้งที่มีจุดกำเนิดแน่นอน (Point Source) ได้แก่ โรงงานอุตสาหกรรม (ประเภทที่ 3)
ฟาร์มสุกร อาคารบางประเภทและบางขนาด (อาคารขนาดใหญ่) บ่อเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ สถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิง รวมถึงแหล่งกำเนิดมลพิษทางน้ำทั้งที่มีจุดกำเนิดไม่แน่นอน (Non-Point Source) ได้แก่ ชุมชน พื้นที่นาข้าว และพื้นที่ไม้ผลและไม้ยืนต้นในจังหวัดสมุทรสงคราม รวมถึงการประเมินพื้นที่เสี่ยงด้านมลพิษทางน้ำ โดยนำระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (Geographic Information System: GIS) ร่วมกับวิธีการวิเคราะห์ศักยภาพพื้นที่ (Potential Surface Analysis: PSA) ในการวิเคราะห์เชิงพื้นที่ และศึกษาความสัมพันธ์ระหว่าง BOD Loading กับคุณภาพน้ำในแม่น้ำแม่กลองเพื่อเสนอแนะแนวทางในการบริหารจัดการมลพิษทางน้ำในพื้นที่อย่างเป็นระบบและยั่งยืน ผลการศึกษาพบว่า คุณภาพน้ำแม่น้ำแม่กลองในพื้นที่จังหวัดสมุทรสงครามในช่วงปี พ.ศ. 2563 – 2567 โดยรวมอยู่ในเกณฑ์ “พอใช้” (ค่าดัชนีคุณภาพน้ำ WQI
อยู่ระหว่าง 66 – 70) โดยบริเวณจุดตรวจวัดปากแม่น้ำแม่กลอง อำเภอเมืองสมุทรสงคราม จังหวัดสมุทรสงคราม (MK01) มีการปนเปื้อนของแบคทีเรียกลุ่มโคลิฟอร์มทั้งหมด (TCB) ไม่เป็นไปตามมาตรฐาน
และบริเวณจุดตรวจวัดสะพานสมเด็จพระอัมรินทร์ อำเภอบางคนที (MK04) มีการปนเปื้อนของแบคทีเรียกลุ่มฟีคอลโคลิฟอร์ม (FCB) ไม่เป็นไปตามมาตรฐาน สำหรับการประเมินศักยภาพพื้นที่รองรับด้านมลพิษทางน้ำของจังหวัดสมุทรสงคราม พบมีปริมาณมลพิษของภาระอินทรีย์ (BOD Loading) ทั้งหมด 3,852,731.70 กิโลกรัมต่อปี โดยแหล่งกำเนิดประเภทโรงงานอุตสาหกรรมมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 58.16 รองลงมาแหล่งกำเนิดประเภทชุมชน คิดเป็นร้อยละ 31.4 พื้นที่ไม้ผลและไม้ยืนต้น คิดเป็นร้อยละ 4.98 บ่อเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ คิดเป็นร้อยละ 2.26 อาคารบางประเภทและบางขนาด คิดเป็นร้อยละ 1.64 ฟาร์มสุกร คิดเป็นร้อยละ 0.53 พื้นที่นาข้าว คิดเป็นร้อยละ 0.40 และสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิง คิดเป็นร้อยละ 0.09 ตามลำดับ และหากพิจารณาเชิงพื้นที่ พบว่าพื้นที่ความเสี่ยงด้านมลพิษทางน้ำมาก ได้แก่ ตำบลแพรกหนามแดง อำเภออัมพวา ตำบลลาดใหญ่ ตำบลบ้านปรก ตำบลแม่กลอง ตำบลบางแก้ว และตำบลบางขันแตก อำเภอเมืองสมุทรสงคราม จังหวัดสมุทรสงคราม ตามลำดับ ซึ่งล้วนตั้งอยู่ใกล้กับแม่น้ำแม่กลองและคลองสาขา
จากผลการศึกษาสามารถนำไปใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานในการกำหนดแนวทางบริหารจัดการมลพิษทางน้ำในระดับจังหวัด ทั้งในด้านการควบคุมแหล่งกำเนิด การจัดลำดับความสำคัญของพื้นที่เสี่ยง และการสนับสนุนให้เกิดความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐ ท้องถิ่น เอกชน และภาคประชาชนในการฟื้นฟูคุณภาพน้ำอย่างยั่งยืน
The study focused on the loads of biochemical oxygen demand (BOD Loading)
from both point sources and non-point sources of water pollution in Samut Songkhram Province. The point sources include industrial factories (category 3), swine farms, large buildings, aquaculture ponds, and fuel stations. Non-point sources include communities, rice paddies and areas of fruit trees and perennial crops. The study also evaluates water pollution risk areas using Geographic Information System (GIS) combined with Potential Surface Analysis (PSA) for spatial analysis. Additionally, the research investigates the relationship between BOD Loading and the water quality of the Mae Klong River to propose systematic and sustainable water pollution management strategies. The study found that the water quality of the Mae Klong River in Samut Songkhram Province during 2020–2024 was generally rated as “fair,” with Water Quality Index (WQI) values ranging from 66 to 70. The monitoring point at the mouth of the Mae Klong River in Mueang District (MK01) showed contamination by total coliform bacteria (TCB) exceeding standard levels. Similarly, the monitoring point at Somdet Phra Amarin Bridge in Bang Khonthi District (MK04) showed fecal coliform bacteria (FCB) contamination exceeding standards. Regarding the area’s capacity to handle water pollution, the total BOD Loading was found to be 3,852,731.70 kilograms per year. The highest contribution came from industrial factories (58.16%), communities (31.4%), fruit tree and perennial crop areas (4.98%), aquaculture ponds (2.26%), large building (1.64%), swine farms (0.53%), rice paddies (0.40%), and fuel stations (0.09%), respectively. Spatial analysis identified high-risk areas for water pollution, including Phraek Nam Daeng Subdistrict in Amphawa District, and the subdistricts of Lat Yai, Ban Prok, Mae Klong, Bang Kaew and Bang Khan Taek in Mueang Samut Songkhram District. These areas are all located near the Mae Klong River and its tributary canals. The findings of this research can serve as a foundational resource for provincial-level water pollution management, including regulating pollution sources, prioritizing high-risk areas, and fostering collaboration among government agencies, local authorities, private sectors, and communities to sustainably restore water quality.
ปัจจัยที่ส่งผลต่อความน่าเชื่อถือของการรีวิวร้านชาบูหม่าล่าผ่านสื่อสังคมออนไลน์ โดย PEACH EAT LAEK กับคุณค่าของตราสินค้าและความตั้งใจซื้อของผู้บริโภค
ธัญณิชา กิตติธนคุณานันต์; พัชนี เชยจรรยา (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2024)
งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา ปัจจัยที่ส่งผลต่อความน่าเชื่อถือของการรีวิวร้านชาบู
หม่าล่าผ่านสื่อสังคมออนไลน์ โดย PEACH EAT LAEK ที่มีผลต่อคุณค่าของตราสินค้าและความตั้งใจซื้อของผู้บริโภค การวิจัยครั้งนี้ใช้ระเบียบวิธีเชิงปริมาณ โดยเก็บรวบรวมข้อมูลจากแบบสอบถามออนไลน์จากกลุ่มตัวอย่างที่เป็นผู้ใช้งานสื่อสังคมออนไลน์ในประเทศไทย จำนวน 400 คน
ผลการวิจัยพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นเพศหญิงมากกว่าครึ่งหนึ่ง กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่อายุ 21-30 ปี เพศหญิง และมีการศึกษาในระดับปริญญาตรี จากการทดสอบสมติฐานพบว่าปัจจัยที่ส่งผลต่อความน่าเชื่อถือของรีวิว ได้แก่ ความเชี่ยวชาญ (Expertise) ความน่าไว้วางใจ (Trustworthiness) และความน่าดึงดูดใจ (Attractiveness) ของผู้รีวิว นอกจากนี้ ความน่าเชื่อถือของรีวิวมีความสัมพันธ์เชิงบวกกับ คุณค่าของตราสินค้า (Brand Equity) ในด้านการรู้จักตราสินค้า (Brand Awareness) การเชื่อมโยงกับตราสินค้า (Brand Association) คุณภาพที่ถูกรับรู้ (Perceived Quality) และความภักดีต่อตราสินค้า (Brand Loyalty)
ยิ่งไปกว่านั้น คุณค่าของตราสินค้ายังมีอิทธิพลต่อความตั้งใจซื้อ (Purchase Intention) ของผู้บริโภคอย่างมีนัยสำคัญ ผลการวิจัยนี้สามารถใช้เป็นแนวทางสำหรับผู้ประกอบการร้านอาหารในการเลือกผู้รีวิวที่เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือและเสริมสร้างคุณค่าของตราสินค้า รวมถึงช่วยวางกลยุทธ์การตลาดที่มีประสิทธิภาพและสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันในอุตสาหกรรม
การสื่อสารเพื่อรู้เท่าทันกลยุทธ์ธุรกิจการพนันออนไลน์
อภิญญา แสงสุวรรณ; กุลทิพย์ ศาสตระรุจิ (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2024)
การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการสื่อสารเพื่อรู้เท่าทันกลยุทธ์ธุรกิจการพนันออนไลน์ โดยมีวัตถุประสงค์ ดังนี้ 1) เพื่อศึกษากลยุทธ์การสื่อสารเพื่อโน้มน้าวผู้เล่นการพนันออนไลน์บนเว็บไซต์การพนัน 2) เพื่อศึกษาทัศนคติและพฤติกรรมของผู้เล่นการพนันออนไลน์บนเว็บไซต์การพนัน และ 3) เพื่อศึกษาการรู้เท่าทันการสื่อสารของผู้เล่นการพนันออนไลน์บนเว็บไซต์การพนัน
การศึกษาครั้งนี้ใช้วิธีการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) โดยการสัมภาษณ์เชิงลึก (In depth Interview) กับผู้ที่เคยทำงานให้กับเว็บไซต์การพนันออนไลน์จำนวน 2 คน และผู้เล่นการพนันออนไลน์จำนวน 10 คน และการวิเคราะห์เนื้อหาบนเว็บไซต์การพนันออนไลน์ 5 แห่ง ได้แก่ UFAGAME888, Lucky135, Newyork888, UFA222, SBOBET รวมถึง 4 แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย ได้แก่ Facebook, Twitter, YouTube และ TikTok
ผลการวิจัยพบว่า เว็บไซต์การพนันออนไลน์ใช้กลยุทธ์การสื่อสารผ่าน 4 แพลตฟอร์มหลัก ได้แก่ Facebook, X, YouTube และ TikTok โดยเนื้อหาที่นำเสนอแบ่งเป็น 4 ประเภท ได้แก่ สรุปเหตุการณ์, การเชิญชวน, โปรโมชั่น และการชิงรางวัล โดยใช้ Facebook เป็นช่องทางหลักและปรับเนื้อหาตามลักษณะของแต่ละแพลตฟอร์ม ทั้งนี้ยังมีการใช้การปรับแต่งเว็บไซต์เพื่อให้ติดอันดับบนเครื่องมือค้นหา (SEO), ผู้มีอิทธิพลทางความคิด (Influencer) และโฆษณาเจาะกลุ่มเป้าหมายเพื่อสร้างการรับรู้และกระตุ้นให้เกิดการเล่นพนัน ด้านทัศนคติและพฤติกรรมของผู้เล่นการพนัน กลุ่มตัวอย่างได้รับอิทธิพลจากครอบครัว เพื่อน สังคม และสื่อออนไลน์ โดยเฉพาะการชักชวนจากคนใกล้ตัวและโปรโมชั่นที่มีความน่าสนใจ แม้กลุ่มตัวอย่างบางรายมีประสบการณ์เชิงลบต่อการพนัน แต่หลายคนยังมองว่าการพนันเป็นกิจกรรมเพื่อความบันเทิงมากกว่าการแสวงหากำไร ในด้านการรู้เท่าทันการสื่อสาร กลุ่มตัวอย่างที่เป็นผู้เล่นพนันส่วนใหญ่รับรู้กลยุทธ์การตลาดของเว็บไซต์การพนันออนไลน์ เช่น โฆษณา โปรโมชั่น และการใช้ Influencer แต่ยังไม่สามารถป้องกันความเสี่ยงได้ เนื่องจากตัดสินใจเล่นพนันเป็นผลมาจากประสบการณ์ตรงและการโน้มน้าวจากคนใกล้ตัว รวมถึงยังขาดความตระหนักด้านทักษะรู้เท่าทันสื่อดิจิทัลและการปกป้องข้อมูลส่วนบุคคล ทำให้เว็บไซต์การพนันสามารถใช้ข้อมูลในการดึงดูดผู้เล่นได้ต่อเนื่อง
ผลการวิจัยนี้จะเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่เกี่ยวข้องในการนำข้อมูลไปพัฒนานโยบาย การรู้เท่าทันกลยุทธ์พนันออนไลน์ และปัจจัยที่มีผลต่อผู้เล่นการพนัน รวมถึงการเสริมสร้างการรู้เท่าทันสื่อเพื่อป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการเล่นการพนันออนไลน์