Communities in DSpace
Select a community to browse its collections.
Recent Submissions
การจัดการปกครองแบบร่วมมือกันหลายภาคส่วนของศูนย์รับแจ้งเหตุและสั่งการการแพทย์ฉุกเฉินจังหวัดสงขลา: การวิเคราะห์ที่มา แบบแผนความร่วมมือ และปัจจัยที่สนับสนุนให้เกิดความร่วมมือ
ปฏิภาณ ศรีผล; อัชกรณ์ วงศ์ปรีดี (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2024)
การศึกษาในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาที่มาของการให้บริการการแพทย์ฉุกเฉินของ
ศูนย์รับแจ้งเหตุและสั่งการการแพทย์ฉุกเฉินจังหวัดสงขลา 2) ศึกษากลไกความร่วมมือรูปแบบ
เครือข่ายในการให้บริการการแพทย์ฉุกเฉินของศูนย์รับแจ้งเหตุและสั่งการการแพทย์ฉุกเฉินจังหวัด
สงขลา และ 3) ศึกษาปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดการจัดการปกครองสาธารณะแบบร่วมมือกันหลายภาคส่วน
ในการให้บริการการแพทย์ฉุกเฉินของศูนย์รับแจ้งเหตุและสั่งการการแพทย์ฉุกเฉินจังหวัดสงขลา
ผู้วิจัยได้ใช้การศึกษาวิจัยแบบผสมผสานเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณ (Mixed Methods
Approach: Qualitative and Quantitative Research Design) โด ย เก็บ รว บ รวม ข้อ มูล จ าก
เอกสาร การสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้ให้ข้อมูลหลักที่ดาเนินงานและบริหารจัดการการแพทย์ฉุกเฉิน
จังหวัดสงขลา รวมทั้งเก็บข้อมูลด้วยแบบสอบถามกับกลุ่มตัวอย่างจานวน 107 ฉบับ
ผลการศึกษา พบว่า 1) การให้บริการการแพทย์ฉุกเฉินมีที่มาจากหน้าที่ในการจัดบริการด้าน
การแพทย์ฉุกเฉินกับประชาชนในพื้นที่ตามแนวทางการจัดการปกครองสาธารณะแนวใหม่ รวมทั้งเป็น
ผลมาจากกระแสปัญหา กระแสการเมือง และกระแสนโยบายมาบรรจบกันในสภาพแวดล้อมที่
สนับสนุนและเกื้อหนุนให้เกิดการ บริการการแพทย์ฉุกเฉินในพื้นที่จังหวัดสงขลา โดยเฉพาะผู้บริหาร
ท้องถิ่นที่มีวิสัยทัศน์การบริหารงานในรูปแบบ การเมืองนานโยบาย 2) การให้บริการการแพทย์ฉุกเฉิน
ของศูนย์รับแจ้งเหตุและสั่งการการแพทย์ฉุกเฉินจังหวัดสงขลา มีกลไกหรือแบบแผนความร่วมมือ
รูปแบบเครือข่ายที่ประกอบด้วย 7 องค์ประกอบ ได้แก่ (2.1) โครงสร้างเครือข่ายความร่วมมือ (2.2)
ตัวแสดงหรือผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง (2.3) กระบวนการก่อตัวและการจัดความสัมพันธ์ระหว่างผู้มีบทบาท
ริเริ่มขับเคลื่อนความร่วมมือ (2.4) การจัดแบ่งบทบาทหน้าที่และการปฏิสัมพันธ์ในกระบวนการสร้าง
ความร่วมมือ (2.5) กิจกรรมในการขับเคลื่อนการสร้างความร่วมมือ (2.6) ทรัพยากรต่าง ๆ ที่เป็น
ปัจจัยขับเคลื่อนกระบวนการสร้างความร่วมมือ และ (2.7) กระบวนการขยายเครือข่ายการให้บริการ
การแพทย์ฉุกเฉิน ที่สนับสนุนให้การให้บริการการแพทย์ฉุกเฉินอยู่ในลักษณะเครือข่ายความร่วมมือ
ดังกรณี คณะอนุกรรมการการแพทย์ฉุกเฉินจังหวัดสงขลาและเครือข่ายการแพทย์ฉุกเฉินจังหวัด
สงขลา และ 3) ปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดการจัดการปกครองแบบร่วมมือกันหลายภาคส่วน ผลการศึกษา
พบว่า ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความสาเร็จ อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .05 มีจานวน 5 ปัจจัย โดย
เรียงลาดับจากปัจจัยที่มีอิทธิพลหรือความสัมพันธ์มากที่สุดไปหาปัจจัยที่มีอิทธิพลหรือความสัมพันธ์
น้อยสุด ได้แก่ ด้านการเห็นพ้องต้องกันในกระบวนการทางาน ด้านความเชื่อมั่นและไว้วางใจ ด้าน
ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นระหว่างทางาน ด้านการสนทนาปรึกษาหารือกัน และด้านการมีความเข้าใจตรงกัน
การวิเคราะห์ปัจจัยที่มีความสำคัญต่อการกำหนดนโยบายสิทธิมนุษยชนอย่างยั่งยืน ขององค์กรธุรกิจในกลุ่มอุตสาหกรรมโรงกลั่นน้ำมันประเทศไทย
ชยังกูร สิทธิประเวช; ฆริกา คันธา; วิชชุดา สร้างเอี่ยม (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2024)
รายงานการศึกษาค้นคว้าอิสระเรื่องการวิเคราะห์ปัจจัยที่มีความสำคัญต่อการกำหนดนโยบายสิทธิมนุษยชนอย่างยั่งยืน ขององค์กรธุรกิจในกลุ่มอุตสาหกรรมโรงกลั่นน้ำมันประเทศไทย เป็นส่วนหนึ่งของวิชา จย 9000 การค้นคว้าอิสระ ตามหลักสูตรวิทยาศาสตร์ มหาบัณฑิต (ศาสตร์และการจัดการความยั่งยืน) คณะบริหารพัฒนาสิ่งแวดล้อม สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ การศึกษาครั้งนี้ศึกษาถึงการบริหารจัดการด้านสิทธิมนุษยชนขององค์กรธุรกิจในอุตสาหกรรมโรงกลั่นน้ำมันประเทศไทย ตามหลักการชี้แนะของสหประชาชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน หรือ United Nations Guiding Principles on Business and Human Rights (UNGPs) รวมถึงค้นคว้ากรณีศึกษาขององค์กรธุรกิจในอุตสาหกรรมโรงกลั่นน้ำมันต่างประเทศ ที่มีผลการดำเนินงานด้านสิทธิมนุษยชนดีเลิศ จากการประเมินโดยองค์กรอิสระ World Benchmarking Alliance เพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติด้านสิทธิมนุษยชนแก่องค์กรธุรกิจในโรงกลั่นน้ำมันประเทศไทยและภาคอุตสาหกรรมอื่น
ทั้งนี้ผู้จัดทำขอขอบพระคุณ รศ.ดร.วิชชุดา สร้างเอี่ยม และผศ.ดร.ฆริกา คันธา อาจารย์ที่ปรึกษา ผู้คอยให้คำปรึกษา ความรู้ และแนะแนวทางสำหรับการศึกษาในครั้งนี้ให้เป็นไปได้ด้วยดี ผู้จัดทำหวังว่ารายงานการศึกษานี้จะเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่าน และผู้ที่ต้องการศึกษาในกระบวนการดำเนินงานด้านสิทธิมนุษยชนขององค์กรธุรกิจ