NIDA Wisdom Repository

 

Communities in DSpace

Select a community to browse its collections.

Now showing 1 - 6 of 6
Thumbnail Image

คณะและวิทยาลัย

NIDA Schools and Colleges

Thumbnail Image

สำนักงานอธิการบดี

NIDA Office of the President

Thumbnail Image

ผลงานวิชาการ

NIDA Scholars

Thumbnail Image

หน่วยงาน

NIDA Units

Thumbnail Image

วารสารวิชาการ

NIDA Academic Journals

Thumbnail Image

หนังสืออิเล็กทรอนิกส์

NIDA E-Books

Recent Submissions

Thumbnail Image
Item
การวิเคราะห์การรับฟังเสียงของลูกค้าห้องสมุดสถาบันอุดมศึกษาของรัฐที่ใช้เกณฑ์คุณภาพการศึกษาเพื่อการดำเนินการที่เป็นเลิศ (EdPEx)
สายสัมพันธ์ คีรีรัตน์ (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2024)
การจัดทำการวิเคราะห์การรับฟังเสียงของลูกค้าห้องสมุดสถาบันอุดมศึกษาของรัฐที่ใช้เกณฑ์คุณภาพการศึกษาเพื่อการดำเนินการที่เป็นเลิศ (EdPEx) จัดทำขึ้นเพื่อ 1) เพื่อวิเคราะห์โครงสร้างองค์กร 2) เพื่อวิเคราะห์ช่องทางรับฟังเสียงของลูกค้า 3) เพื่อวิเคราะห์หัวข้อการสำรวจความพึงพอใจ 4) เพื่อวิเคราะห์ขั้นตอนการจัดการข้อร้องเรียน 5) เพื่อวิเคราะห์การนำผลการรับฟังเสียงของลูกค้าห้องสมุดสถาบันอุดมศึกษาของรัฐไปใช้พัฒนางาน และ 6) เพื่อเสนอแนวทางการพัฒนาการรับฟังเสียงของลูกค้าห้องสมุดสถาบันอุดมศึกษาของรัฐให้แก่สำนักบรรณสารการพัฒนา สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ โดยงานวิเคราะห์นี้ผู้ศึกษาได้รวบรวมแนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับการรับฟังเสียงของลูกค้า การจัดการข้อร้องเรียน การประเมินความพึงพอใจ และเกณฑ์คุณภาพการศึกษาเพื่อการดำเนินการที่เป็นเลิศ (EdPEx) ในหมวดลูกค้า รวมถึงได้มีการสัมภาษณ์และเก็บข้อมูลจากผู้ปฏิบัติงานโดยตรงจากห้องสมุดสถาบันอุดมศึกษาของรัฐที่เป็นประชากรครั้งนี้
Thumbnail Image
Item
แนวทางการพัฒนาระบบบริหารคุณภาพ ISO 9001:2015 ห้องสมุดมหาวิทยาลัย กรณีศึกษาสำนักบรรณสารการพัฒนา สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์
สายสัมพันธ์ คีรีรัตน์ (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2021)
แนวทางการพัฒนาระบบบริหารคุณภาพ ISO 9001:2015 ห้องสมุดมหาวิทยาลัย กรณีศึกษาสำนักบรรณสารการพัฒนา สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาการจัดทำและการดำเนินการตามระบบบริหารคุณภาพ ISO 9001:2015 ของห้องสมุดมหาวิทยาลัย 2) เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์การดำเนินการตามระบบบริหารคุณภาพ ISO 9001:2015 ของห้องสมุดมหาวิทยาลัย 3) เพื่อเสนอแนวทางการพัฒนาประสิทธิผลของการดำเนินงานห้องสมุดตามมาตรฐาน ISO 9001:2015 ให้แก่สำนักบรรณสารการพัฒนา สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ งานวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงผสมผสาน แบ่งงานวิจัยออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่ การวิจัยเชิงคุณภาพ โดยการสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth Interview) กับกลุ่มผู้บริหาร และผู้รับผิดชอบหลักที่เกี่ยวข้องกับระบบบริหารคุณภาพ ISO 9001:2015 ของห้องสมุดมหาวิทยาลัย จำนวน 4 แห่ง ได้แก่ สำนักหอสมุดกลาง มหาวิทยาลัยรามคำแหง, หอสมุดแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, สำนักงานวิทยทรัพยากร จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ สำนักบรรณสารการพัฒนา สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ ทั้งหมดจำนวน 10 ท่าน โดยการวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis) และการวิจัยเชิงปริมาณ โดยใช้แบบสอบถาม จำนวน 2 ชุด ได้แก่ แบบสอบถามสำหรับผู้ปฏิบัติงานห้องสมุดมหาวิทยาลัย และแบบสอบถามสำหรับผู้ใช้บริการสำนักบรรณสารการพัฒนา ผลการวิจัยพบว่า 1) แนวทางไปสู่ระบบบริหารคุณภาพ ISO 9001:2015 ของห้องสมุดมหาวิทยาลัย ได้ทั้งหมด 12 ขั้นตอน ดังนี้ (1) ผู้บริหารกำหนดนโยบายคุณภาพ สื่อสารกับบุคลากร จัดสรรและสนับสนุนทรัพยากร (2) การฝึกอบรมให้ความรู้ (3) ผู้บริหารแต่งตั้งคณะทำงาน (4) วิเคราะห์บริบทขององค์กร (5) กำหนดวัตถุประสงค์คุณภาพ (6) จัดทำเอกสารในระบบบริหารคุณภาพ (7) การประเมินสมรรถนะ (8) การประเมินผู้ให้บริการภายนอก (9) การตรวจติดตามภายใน (Internal Audit) (10) การทบทวนระบบบริหารคุณภาพ (Management Review) (11) การประเมินระบบบริหารคุณภาพภายนอก (External Audit) (12) ได้รับการรับรองระบบบริหารคุณภาพ ISO 9001:2015 2) ผลสัมฤทธิ์การดำเนินการตามระบบบริหารคุณภาพ ISO 9001:2015 หลักการของ Balanced Scorecard คือ (1) มิติประสิทธิผล ISO 9001:2015 เป็นการประกันคุณภาพการศึกษาตามมาตรฐานการอุดมศึกษาไทย ตามมาตรฐานสากล บรรลุวัตถุประสงค์และเป้าหมายของมหาวิทยาลัย สร้างนวัตกรรม ลดความซ้ำซ้อน การปฏิบัติงานอย่างต่อเนื่อง ปัจจัยแห่งความสำเร็จ และบทบาทของผู้บริหาร (2) มิติผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ได้แก่ ผู้ใช้บริการห้องสมุด ผู้ปฏิบัติงานห้องสมุด ผู้บริหารมหาวิทยาลัย (3) มิติการบริหารจัดการ ห้องสมุดเป็นหน่วยงานให้บริการมุ่งสร้างความพึงพอใจให้ผู้ใช้บริการ ปรับปรุงกระบวนงานสม่ำเสมอตามวงจร PDCA (4) มิติการเรียนรู้และการพัฒนา พัฒนาความรู้ความสามารถผู้ปฏิบัติงานห้องสมุดโดยจัดหลักสูตรตรงต่อความต้องการ และจัดการความรู้ 3) แนวทางการพัฒนาประสิทธิผลของการดำเนินงานห้องสมุดตามมาตรฐาน ISO 9001:2015 ให้แก่สำนักบรรณสารการพัฒนา สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ ควรจัดตั้งหน่วยงานรับรองมาตรฐานสากลที่มีบทบาทส่งเสริมและสนับสนุนการทำงานระบบบริหารคุณภาพ ISO และสนับสนุนการสร้างเครือข่ายความร่วมมือด้านประกันคุณภาพตามมาตรฐาน ISO 9001:2015 ของห้องสมุดมหาวิทยาลัย ควรเสริมสร้างค่านิยมการมีส่วนร่วมในการปฏิบัติงาน ผู้บริหารควรสนับสนุนให้มีการจัดประชุม สัมมนา ศึกษาดูงาน ฝึกอบรมอย่างสม่ำเสมอ สำนักบรรณสารการพัฒนาต้องมีการสำรวจความพึงพอใจและความต้องการของผู้ใช้บริการ และสนับสนุนการจัดการความรู้ รวมถึงสร้างความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภายในสถาบัน
Thumbnail Image
Item
การศึกษาการรับรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรมเกี่ยวกับความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมของประชากรสองช่วงวัย
สิทธิชาติ สุชาติ; บุหงา ชัยสุวรรณ; ฆริกา คันธา (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2023)
การศึกษาวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. เพื่อศึกษาความสนใจเกี่ยวกับความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อมบน Google ในช่วงระยะเวลา 20 ปีที่ผ่านมา (พ.ศ. 2547 – พ.ศ. 2567) 2. เพื่อศึกษาการรับรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรมเกี่ยวกับความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อมเปรียบเทียบในช่วงวัย Digital Immigrants และ Digital Natives เป็นศึกษาด้วยระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) ซึ่งมีกระบวนการ 2 ขั้นตอน ได้แก่ 1) วิธีการนำข้อมูลมาตีความ (Trend Analysis) โดยการใช้ Google Trend ในการเก็บข้อมูลการค้นหาของผู้ใช้งาน และ 2) วิธีการสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth Interview) โดยการคัดเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง (Purposive Sampling) กลุ่มละ 5 ตัวอย่าง ผลการศึกษาพบว่า จากผลการศึกษาที่ผ่านมา พบว่า ผู้ใช้งาน Google Search มีความสนใจที่เกี่ยวกับความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อมตลอดช่วงเวลา 20 ปีที่ผ่านมา กล่าวคือในช่วงระยะเวลา 20 ปีที่ผ่านมาของ Google Search Engine มีการค้นหาคำที่เกี่ยวข้องกับเรื่องของความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อม ควบคู่กับการให้ความสนใจเรื่องที่มีความใกล้เคียงกับคำดังกล่าว เช่น ทรัพยากรธรรมชาติ, การพัฒนาที่ยั่งยืน หมายถึง, เศรษฐกิจพอเพียง, ภาวะโลกร้อน ฯลฯ ซึ่งกลุ่มคำดังกล่าวเป็นคำที่มีความเกี่ยวข้องกับเรื่องของความยั่งยืน และเรื่องของสิ่งแวดล้อมทั้งหมด แต่การค้นหาอาจถูกดัดแปลงชุดคำและความเกี่ยวข้องที่มีความคล้ายคลึงกัน เพื่อต่อยอดความสนใจของผู้ใช้งานต่างกันออกไป ทั้งนี้ ความสนใจของผู้ใช้งานขึ้นอยู่กับประโยชน์และความสนใจส่วนบุคคลของผู้ใช้งาน ผนวกเข้ากับช่วงเวลาที่สถานการณ์ในประเทศเป็นสิ่งกระตุ้นให้เกิดการรับรู้ในความรู้ชุดใหม่ หรือสถานกาณ์ในระดับนานาชาติที่กำลังถูกให้ความสนใจจะเป็นตัวกระตุ้นการรับรู้ ไปสู่การค้นหาข้อมูลข่าวสารที่เกี่ยวข้องต่อไป และการรับรู้เกี่ยวกับความยั่งยืนของกลุ่มตัวอย่าง ส่งผลไปสู่ทัศนคติที่แตกต่างกัน ในช่วงเวลาของการรับรู้ที่แตกต่างกัน และพฤติกรรมการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมที่มีความเคร่งครัดไม่เหมือนกัน กล่าวคือ จากการศึกษาจะเห็นว่า กลุ่มตัวอย่างมีการรับรู้ ความรู้ความเข้าใจในเรื่องของความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมที่แตกต่างกัน เมื่อชุดความรู้ความเข้าใจที่แตกต่างกัน ย่อมส่งผลไปสู่ทัศนคติที่แตกต่างกัน ซึ่งเป็นต้นกำเนิดแนวคิด ความรู้สึกต่อชุดความรู้ที่ไม่เหมือนกัน ในที่สุดการกระทำหรือพฤติกรรมของกลุ่มตัวอย่างจะแสดงออกถึงความจริงจังในการกระทำเพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อมที่แตกต่างกัน แม้ว่าช่วงเวลาของการรับรู้เรื่องของความยั่งยืนจะอยู่ใกล้เคียงกันคือ 3-9 ปีที่ผ่าน แต่ความสนใจที่จะนำไปสู่การต่อยอดของแต่ละคน สร้างระบบแนวคิดทัศนคติในการแสดงออกทางพฤติกรรมไม่เหมือนกัน
Thumbnail Image
Item
ปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (BEV) ของผู้บริโภคในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล
จิรัฏฐ์ จันต๊ะคาด; ฆริกา คันธา; วิชชุดา สร้างเอี่ยม (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2023)
การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาส่วนประสมทางการตลาดที่ส่งผลต่อการเลือกซื้อรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (2) ศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ต่อไปในอนาคตของผู้บริโภคในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล และ (3) วิเคราะห์ส่วนแบ่งทางการตลาดของผู้บริโภคต่อไปในอนาคต ผลการศึกษาพบว่า ประเทศไทยสถานการณ์ยานยนต์ไฟฟ้าของประเทศไทยที่จดทะเบียนใหม่ในปีพ.ศ. 2566 อยู่ที่ 116,335 คัน โดยกลุ่มผู้บริโภคในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลจำนวน 420 รายให้ความสำคัญกับปัจจัยด้านลักษณะทางกายภาพอยู่ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ย 4.18 (S.D. = 0.76) รองลงมาปัจจัยด้านผลิตภัณฑ์อยู่ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ย 4.16 (S.D. = 0.72) และปัจจัยด้านบุคคลอยู่ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ย 3.96 (S.D. = 0.74) และปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่นั้น พบว่า ปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจเลือกซื้อรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 มีเพียง 5 ปัจจัยที่ ได้แก่ ปัจจัยด้านลักษณะทางกายภาพ (β = 0.22) ปัจจัยด้านการส่งเสริมทางการตลาด (β = 0.14) ปัจจัยด้านบุคคล (β = 0.02) ปัจจัยด้านผลิตภัณฑ์ (β = - 0.14) และปัจจัยด้านกระบวนการให้บริการก่อนและหลัง (β = - 0.30) นอกจากนี้โครงสร้างการผลิตและลงทุนรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ในประเทศไทยในปีพ.ศ. 2566 แบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่สัญชาติจีนได้ครองส่วนแบ่งทางการตลาดร้อยละ 82.4 รองมาเป็นแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่สัญชาติสหรัฐอเมริกาส่วนแบ่งทางการตลาดร้อยละ 11.1 โดยรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ที่มีความนิยมมากส่วนใหญ่ยังเป็นรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ที่มีราคาไม่แพง และสามารถวิ่งได้ไกล อย่างไรก็ตามอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่จะมีโอกาสการเติบโตสูงจากอุปสงค์ที่กำลังเติบโตต่อเนื่อง แต่การเติบโตนั้นสูงกว่ามาก จึงอาจทำให้เกิดปัญหาสถานีอัดประจุไฟฟ้าไม่เพียงพอ จึงควรพิจารณาถึงสถานีอัดประจุไฟฟ้าและทบทวนการกำหนดอัตรา Low Priority รวมถึงการกำหนดอัตราค่าไฟฟ้าที่เหมาะสมสำหรับสถานีอัดประจุไฟฟ้าเป็นการโดยเฉพาะเพื่อใช้ในระยะยาวต่อไป
Thumbnail Image
Item
การจัดการขยะเพื่อเสริมสร้างจิตสำนึกและทักษะความรู้สู่เป้าหมายการลดปริมาณขยะได้อย่างยั่งยืน กรณีศึกษาการจัดการขยะในระยะก่อสร้างของบริษัทจัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก จำกัด (EastWater)
นรินทร์ วิมลอักษร; ภัคพงศ์ พจนารถ (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2024)
การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาการจัดการขยะ และพฤติกรรมการลดปริมาณขยะในระยะก่อสร้างของบริษัทจัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออกจำกัด 2) ศึกษาการเสริมสร้างจิตสำนึกและทักษะความรู้ของบริษัทจัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออกจำกัดในระยะก่อสร้างโดยใช้วิธีการศึกษาเชิงปริมาณ (Quantitative Research) และใช้การวิจัยแบบสำรวจ (Survey Research) โดยใช้แบบสอบถาม (Questionnaire) เพื่อรวบรวมข้อมูลปฐมภูมิจากกลุ่มตัวอย่าง คือ โดยใช้แบบสอบถามกับกลุ่มตัวอย่างที่เป็นพนักงานของ บริษัท จัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก จำกัด จำนวน 60 คน และ บริษัทผู้รับเหมาร่วม จำนวน 20 คน ทั้งหมด จำนวน 80 คน รวมถึงการศึกษาจากข้อมูลเอกสาร (Documentary Research) ที่เกี่ยวข้อง ผลการศึกษา จากการศึกษาตามวัตถุประสงค์ 1) ปัจจัยส่วนบุคคลของพนักงานที่ต่างกันนั้น ไม่ส่งผลต่อการเสริมสร้างจิตสำนึกและทักษะความรู้ของบริษัทจัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออกจำกัดที่แตกต่างกัน 2) การจัดการขยะในระยะก่อสร้างส่งผลต่อการเสริมสร้างจิตสำนึกและทักษะความรู้ของบริษัทจัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออกจำกัด คือ บริษัทมีการฝึกอบรมใช้ความรู้การจัดการขยะที่ยั่งยืน 3) พฤติกรรมการลดปริมาณขยะในระยะก่อสร้างส่งผลต่อการเสริมสร้างจิตสำนึกและทักษะความรู้ของบริษัทจัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออกจำกัด ด้านพฤติกรรมการลดปริมาณขยะในระยะก่อสร้าง คือ พนักงานมีพฤติกรรมที่มีความยินดีที่จะช่วยคัดแยกขยะ ลดปริมาณขยะไว้ขายเพื่อแปรรูปใหม่อย่างสม่ำเสมอ และด้านความรู้ความเข้าใจและข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับขยะในระยะก่อสร้าง ซึ่งส่งผลทุกข้อ คือ 1) บริษัทให้ความรู้ข้อมูลเกี่ยวกับการลดปริมาณและการจัดการขยะ 2) พนักงานทราบเกี่ยวกับข้อกำหนดการทิ้งขยะของบริษัท 3) พนักงานรับรู้ข่าวสารด้านการจัดการขยะของบริษัท 4) พนักงานมีความรู้เกี่ยวกับการจัดการขยะของบริษัท 5) พนักงานทราบแนวทางการบริหารจัดการขยะมูลฝอยของบริษัท 6) พนักงานทราบเกี่ยวกับขยะสามารถทำให้สิ่งแวดล้อมเสื่อมโทรม บริษัทไม่เป็นระเบียบเรียบร้อย และเป็นแหล่งเพาะพันธุ์เชื้อโรค
Thumbnail Image
Item
การศึกษาข้อจำกัดในการบังคับใช้กฎหมายพระราชบัญญัติคอมพิวเตอร์ กรณีการกระทำความผิดเกี่ยวกับ คอมพิวเตอร์ในการคัดลอก ทำสำเนา และถ่ายโอนข้อมูล
กษิดิศ ดิลกคุณานันท์; นิธินันท์ ธรรมากรนนท์ (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2023)
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาขอบเขตของการบังคับใช้ของพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2560 ในกรณีการคัดลอก ทำสำเนา และถ่ายโอนข้อมูล จากนั้นทำการ วิเคราะห์ปัญหาอุปสรรคในการบังคับใช้กฎหมายว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ และเสนอแนะแนวทางการปรับปรุงกฎหมายให้มีความเหมาะสมกับพฤติกรรมการกระทำความผิดที่มีรูปแบบอื่นที่เกี่ยวข้อง เนื่องจากการพัฒนาเทคโนโลยีของระบบสื่อสารจากยุคอนาล็อก(analog) มาสู่ยุคดิจิทัล(digital) ได้มีส่วนสำคัญในการพัฒนาระบบต่างๆในภาคธุรกิจ อุตสาหกรรม รัฐวิสาหกิจ รวมไปถึงภาครัฐที่ต้องมีการปรับตัว เพื่อให้สอดรับ กับความต้องการในด้านการบริการของประชาชน การพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ในยุคดิจิทัล ไม่เพียงแต่เป็นการพัฒนารูปแบบการทำงานของคอมพิวเตอร์ให้ไวยิ่งขึ้น หรือเทคโนโลยีที่ตอบสนองต่อความต้องการมนุษย์ที่มากขึ้นเพียง เท่านั้น แต่ยังเป็นการช่วยพัฒนารูปแบบในการกระทำความผิดให้มีรูปแบบหลากหลาย และซับซ้อนมากยิ่งขึ้น ซึ่งในบางครั้งการกระทำความผิดอาจอยู่ในรูปแบบของการรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ไม่ได้ตระหนักรู้ถึงการนำข้อมูลต่างๆที่พบเจอในสื่อโซเซียลมีเดียมาใช้งาน การนำช่องว่างของกฎหมายมาใช้งาน เพื่อที่จะทำให้เกิดการพัฒนา สร้างกำไรในธุรกิจของตนเอง โดยไม่ได้คำนึงถึงแหล่งที่มาของการนำข้อมูลนั้นมาใช้งาน ดัดแปลง หรือแก้ไขจนเกิดความเสียหายแก่เจ้าของข้อมูลคอมพิวเตอร์ ซึ่งผลการวิจัยของการวิจัยนี้สามารถนำไปเป็นข้อมูลหรือแนวทางให้กับผู้ที่ต้องการศึกษาเกี่ยวกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ในรูปแบบอื่นๆ นอกเหนือจากกรณีในอนาคตต่อไป
Thumbnail Image
Item
Effects of Transformational Leadership on Firm & Sustainability Performance: The Case of Public Relations Agencies
Prangthong Jitcharoenkul; Pornprom Suthatorn (National Institute of Development Administration, 2023)
This study aims to (1) examine the direct relationship between transformational leadership and sustainability performance and (2) investigate the indirect relationship between transformational leadership and sustainability performance through perceptions of corporate greenwashing and firm performance. Data collection was conducted within the context of public relations (PR) professionals working at PR agencies across Thailand and the ASEAN region. A self-administered questionnaire survey is distributed using a snowball sampling technique to reach a diverse pool of PR professionals. The questionnaire utilizes a Likert scale to measure the respondents’ views on transformational leadership, sustainability performance, corporate greenwashing, and firm performance. The data will be examined by partial least squares structural modeling (PLS-SEM). The results from 147 PR professionals indicated that both the direct and indirect relationships between transformational leadership and sustainability performance, with a focus on the role of corporate greenwashing perceptions and firm performance. The analysis reveals that all proposed hypotheses are statistically supported. Specifically, higher levels of transformational leadership are positively associated with improved sustainability performance and reduced corporate greenwashing. By demonstrating how transformational leadership can drive sustainability performance, particularly in the PR industry in Thailand and within Southeast Asia, this study contributes to both academic literature and practical applications, as well as provide valuable insights for PR agencies seeking to improve their sustainability strategies and reduce the risk of being perceived as engaging in greenwashing.
Thumbnail Image
Item
คู่มือการปฏิบัติงานวารสารและหนังสือพิมพ์
หทัยกานต์ วงศ์สวัสดิ์ (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2013)
คู่มือการปฏิบัติงานวารสารและหนังสือพิมพ์จัดทำขึ้นเพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติงานของงานเทคนิค สำนักบรรณสารการพัฒนา เนื้อหาของเอกสารนี้ประกอบไปด้วย ขั้นตอนการจัดหาวารสารและหนังสือพิมพ์ การจัดทำรายการบรรณานุกรมวารสารใหม่ด้วยโปรแกรมระบบห้องสมุดอัตโนมัติ Horizon การลงทะเบียนวารสาร การติดตามทวงถามวารสารและหนังสือพิมพ์ที่ไม่ได้รับตามกำหนด การเตรียมตัวเล่มก่อนออกให้บริการ การจัดทำและปรับปรุงรายการวารสารอิเล็กทรอนิกส์โดยทำรายการเชื่อมโยงเพื่อให้ผู้ใช้เรียกดูฉบับเต็มได้จากหน้า OPAC รวมไปถึงการให้บริการวารสารแก่ผู้ใช้เมื่อมีการร้องขอวารสารที่จัดเก็บสำรองไว้ที่ชั้น 6
Thumbnail Image
Item
การสร้างคุณค่าที่ยั่งยืนผ่านเศรษฐกิจหมุนเวียนในธุรกิจเสื้อผ้ามือสอง
วศินี ธัญสิริโภคิน; วิชชุดา สร้างเอี่ยม (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2024)
ธุรกิจเสื้อผ้ามือสองในประเทศไทยเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพในการสร้างคุณค่าเพิ่มตามแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) อย่างไรก็ตาม กระบวนการดำเนินงานของธุรกิจในปัจจุบันยังขาดแนวทางในการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ และไม่สามารถจับคุณค่าที่สูญเสียไปได้ การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและวิเคราะห์คุณค่าที่จับได้ (Value Captured) และคุณค่าที่เสียไป (Value Uncaptured) ตามแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) เพื่อเสนอแนะโอกาสในการสร้างคุณค่า (Value Opportunity) ให้กับธุรกิจเสื้อผ้ามือสองของประเทศไทย ผ่านการใช้เครื่องมือวิเคราะห์คุณค่ายั่งยืน (Sustainable Value Analysis Tool: SVAT) งานวิจัยนี้นำเสนอข้อมูลเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) โดยใช้การสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง (Semi-structured Interview) กับผู้ประกอบการธุรกิจเสื้อผ้ามือสองที่มีการดำเนินธุรกิจในลักษณะและแนวทางที่แตกต่างกัน และวิเคราะห์วงจรชีวิตของผลิตภัณฑ์ในแต่ละขั้นตอน ตั้งแต่การจัดหา การคัดเลือกสินค้า การบำรุงรักษา ไปจนถึงการจัดจำหน่ายและการจัดการของเสีย เพื่อระบุโอกาส ในการปรับปรุงกระบวนการและเพิ่มคุณค่าให้กับธุรกิจ ผลการศึกษาพบว่าธุรกิจเสื้อผ้ามือสองในประเทศไทยมีการจัดการที่ยังไม่สามารถสอดรับ กับหลักการเศรษฐกิจหมุนเวียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้เกิดคุณค่าที่เสียไปในหลายมิติ โดยเฉพาะคุณค่าที่พลาดไป (Value Missed) เนื่องจากการขาดความเข้าใจในแนวโน้มตลาด การตอบสนองความต้องการของลูกค้า และการขาดแผนในการจัดการสินค้าค้างสต็อก รวมถึง การไม่ได้นำของเหลือใช้มาสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ ทั้งนี้ยังพบคุณค่าที่ถูกทำลาย (Value Destroyed) จากการดำเนินธุรกิจที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เช่น การใช้ทรัพยากรอย่างไม่คุ้มค่า และการสร้างของเสียจากกระบวนการผลิต อย่างไรก็ตาม คุณค่าที่เกินความจำเป็น (Value Surplus) และ คุณค่าที่ขาดหายไป (Value Absence) มีความสำคัญรองลงมาในบริบทของธุรกิจเสื้อผ้ามือสอง ธุรกิจเสื้อผ้ามือสองมีโอกาสในการสร้างคุณค่าใหม่ตามแนวทางเศรษฐกิจหมุนเวียน ดังนั้นการดำเนินธุรกิจเสื้อผ้ามือสองตามแนวทางเศรษฐกิจหมุนเวียนไม่เพียงช่วยลดการสูญเสียทรัพยากร แต่ยังสร้างคุณค่าเพิ่มให้กับธุรกิจในระยะยาว ทั้งนี้การนำแนวคิดดังกล่าวมาใช้ควรได้รับการสนับสนุนจาก ภาคธุรกิจและนโยบายของภาครัฐ เพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับอุตสาหกรรมแฟชั่น และขับเคลื่อนสังคมสู่การใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าและมีประสิทธิภาพสูงสุดในอนาคต
Thumbnail Image
Item
การเปรียบเทียบประสิทธิภาพของเครื่องมือตรวจวัดฝุ่นละอองขนาดเล็ก 2.5 ไมครอน (PM2.5) ในบรรยากาศโดยรอบ : เครื่องตรวจวัดแบบการกระเจิงแสงและเครื่องเก็บตัวอย่างอากาศแบบไดโคโตมัส
ณัฐวัตร สิบแก้ว; ภัคพงศ์ พจนารถ (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2024)
การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาการเปรียบเทียบประสิทธิภาพของเครื่องมือตรวจวัดฝุ่นละอองขนาดเล็ก 2.5 ไมครอน (PM2.5) ในบรรยากาศโดยรอบ ที่ตรวจวัดด้วยวิธีกระเจิงแสง (light scattering) และวิธีเชิงน้ำหนักด้วยเครื่องเก็บตัวอย่างอากาศแบบไดโคโตมัส (dichotomous air sampler) ตั้งเครื่องมือเก็บตัวอย่างทั้ง 2 ประเภท ไว้ในสถานที่เดียวกันเพื่อเปรียบเทียบผลการตรวจวัดที่ได้จากวิธีทั้งสอง ในการศึกษานี้ได้ทำการตรวจวัดเป็นระยะเวลา 30 วัน ตั้งแต่วันที่ 29 มิถุนายน ถึง 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2567 จุดตรวจวัดในพื้นที่หมู่บ้านในฝันเคหะธานี แขวงท่าแร้ง เขตบางเขน กรุงเทพมหานคร โดยค่าเฉลี่ยราย 24 ชั่วโมงจะถูกนำมาวิเคราะห์เชิงสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลความเข้มข้นของฝุ่นที่ได้จากแต่ละวิธี ประกอบด้วย Paired sample T-Test (Two tailed) สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ (Correlation) และวิเคราะห์สมการถดถอยแบบเส้นตรง (Linear Regression) ผลการทดสอบการกระจายของข้อมูลที่ได้จากเครื่องมือทั้งสองชนิดพบว่ามีการกระจายแบบปกติ ความสัมพันธ์กันระหว่างเครื่อง Particles plus Model 10,000 และเครื่อง Thermo Partisol™ 2000-FRM Ambient Particulate Sampler, AMS Analitica Model DustCheck DPM-1 และเครื่อง Junray Model ZR-3930B Environmental Analysis Automatic Sampler มีค่าเท่ากับ 0.8746, 0.8652 และ 0.8531 ตามลำดับ พบว่าตัวแปรทั้งสองมีความสัมพันธ์กันและมีความสัมพันธ์ไปในทิศทางเดียวกัน และเมื่อวิเคราะห์ความแม่นยําหรือ (R2) พบว่ามีความแม่นยําอยู่ในช่วงระหว่าง 72.78 - 76.05% อย่างไรก็ตาม หากต้องการใช้เครื่องมือวัดแบบ Light scattering ควรใช้ด้วยความระมัดระวัง หรือใช้เพื่อดูแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงความเข้มข้นของฝุ่นละออง
Thumbnail Image
Item
การประเมินความเสี่ยงด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ของบุคคล
กิตติพงษ์ ขำบุญ; นิธินันท์ ธรรมากรนนท์ (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2023)
งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพ่ือศึกษาเกี่ยวกับความรู้ความสามารถของบุคคลทั่วไป ในการ รับมือกับภัยทางไซเบอร์ และการประเมินความเสี่ยงด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ และได้รับทราบ ถึงสิ่งที่ควรจะต้องทําการศึกษาหรือพัฒนาทักษะความรู้ เพื่อให้เท่าทันภัยทางไซเบอร์ที่มาในรูปแบบ ต่างๆหรือช่องทางต่างๆ การศึกษาและวิจัยนี้ได้รวบรวมข้อมูลที่เป็นกรณีศึกษาจากต่างประเทศ การวิเคราะห์เกณฑ์ มาตรฐานสากลที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันภัยทางไซเบอร์ เพื่อนํามาใช้ในการประเมิน ให้ครอบคลุมภัย ทางไซเบอร์ของแต่ละบุคคล ผลการวิจัยและสํารวจจากกลุ่มตัวอย่าง พบว่าความรู้ในการป้องกันภัยทาง โซเชียลมีเดีย (Social Media), การใช้งานอินเตอร์เน็ต (Internet Use), ความปลอดภัยทางด้านอีเมล์ (Email Security), และ การใช้งานอุปกรณ์เคลื่อนที่ (Mobile Devices) ยังคงเป็นสิ่งที่ต้องได้รับการพัฒนา ให้ความรู้อย่างต่อเนื่องให้เท่าทันภัยกับภัยทางไซเบอร์ที่อาจเกิดขึ้น
Thumbnail Image
Item
การจัดทำทะเบียนความเสี่ยงด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างผู้ให้บริการภายนอกด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ของผู้ประกอบธุรกิจบริการการชำระเงินที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน: กรณีศึกษา บริษัท XYZ จำกัด
ปฏิภาณ จันทร์ชาตรี; นิธินันท์ ธรรมากรนนท์ (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2023)
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาทะเบียนความเสี่ยงด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างผู้ให้บริการภายนอกด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ สำหรับผู้ประกอบธุรกิจบริการการชำระเงินที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน โดยใช้บริษัท XYZ จำกัด เป็นกรณีศึกษา การวิจัยมุ่งตอบคำถามว่าองค์กรขนาดเล็กสามารถระบุและจัดการความเสี่ยงด้านไซเบอร์ในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างได้อย่างมีประสิทธิภาพอย่างไร วิธีดำเนินการวิจัยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ ประกอบด้วยการทบทวนวรรณกรรม การวิเคราะห์เนื้อหาจากเอกสารที่เกี่ยวข้อง และการสัมภาษณ์เชิงลึกผู้บริหารและพนักงานจำนวน 60% ของบุคลากรทั้งหมดในองค์กร เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูลคือแบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง ข้อมูลที่ได้ถูกนำมาวิเคราะห์เชิงเนื้อหาเพื่อระบุประเด็นสำคัญ ผลการวิจัยพบว่า การพัฒนาทะเบียนความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพต้องประกอบด้วย การระบุทรัพย์สินสารสนเทศที่สำคัญ การวิเคราะห์และระบุภัยคุกคามและช่องโหว่ และการประเมินความเสี่ยงตามขั้นตอนการจัดซื้อจัดจ้าง โดยคำนึงถึงข้อจำกัดด้านทรัพยากรและความเชี่ยวชาญขององค์กร การวิจัยได้นำเสนอแนวทางการตรวจสอบและแนวปฏิบัติที่ดีตามมาตรฐานสากล ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยง ผลการศึกษานี้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการพัฒนาแนวทางการบริหารความเสี่ยงด้านไซเบอร์สำหรับผู้ประกอบการขนาดเล็กในอุตสาหกรรมการชำระเงิน อย่างไรก็ตาม ข้อจำกัดของการวิจัยคือการเข้าถึงข้อมูลที่มีความอ่อนไหวและความรู้ความเข้าใจขององค์กรเกี่ยวกับกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง สำหรับการวิจัยในอนาคต ควรขยายขอบเขตการศึกษาให้ครอบคลุมผู้ประกอบการที่หลากหลายมากขึ้น และติดตามการเปลี่ยนแปลงของกฎหมายและเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง
Thumbnail Image
Item
การสร้างความตระหนักรู้โดยแสดงให้เห็นถึงประโยชน์ที่ผู้ประกอบธุรกิจจะได้รับจากการถูกกำกับด้วยเกณฑ์การควบคุมด้านการปฏิบัติงานเทคโนโลยีสารสนเทศของสำนักงาน ก.ล.ต.
ปวเรศ มาตร์มงคล; นิธินันท์ ธรรมากรนนท์ (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2023)
ในปัจจุบัน เทคโนโลยีสารสนเทศมีบทบาทสำคัญยิ่งต่อการดำเนินธุรกิจและการให้บริการ ส่งผลให้การรักษาความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูลและระบบเป็นสิ่งจำเป็นสูงสุด โดยเฉพาะสำหรับธุรกิจในภาคการเงินและตลาดทุน ซึ่งต้องปฏิบัติตามมาตรการควบคุมด้านเทคโนโลยีสารสนเทศอย่างเคร่งครัด งานวิจัยนี้มุ่งสร้างความตระหนักให้ผู้ประกอบธุรกิจให้เห็นถึงความสำคัญของการปฏิบัติตามเกณฑ์กำกับดูแลด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ซึ่งจะช่วยให้องค์กรประสบความสำเร็จในการรักษาความมั่นคงปลอดภัยข้อมูลในยุคดิจิทัล โดยนำเสนอแนวทางตามหลักเกณฑ์ของคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ผลการศึกษาประกอบด้วยคู่มือแสดงประโยชน์ของการปฏิบัติตามเกณฑ์ และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะช่วยให้ผู้ประกอบธุรกิจได้เห็นถึงความสำคัญ จนเกิดความความตระหนัก ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงจากภัยคุกคามทางไซเบอร์ได้อย่างมีนัยสำคัญ
Thumbnail Image
Item
การวิเคราะห์ผลกระทบด้านความเป็นส่วนตัวในการทดสอบเจาะระบบ
พงศธร สิริธัญกุล; อัญธิกา ณ พิบูลย์ (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2023)
งานวิจัยนี้วิเคราะห์ผลกระทบด้านความเป็นส่วนตัวจากการทดสอบเจาะระบบ และความสอดคล้องกับกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล โดยเฉพาะ GDPR และ PDPA ของไทย ผลการศึกษาพบว่าการทดสอบอาจกระทบความเป็นส่วนตัวในหลายด้าน เช่น การเข้าถึงข้อมูลจริง การค้นพบช่องโหว่ และการจัดการข้อมูลหลังการทดสอบ งานวิจัยนำเสนอแนวทางสำหรับผู้เกี่ยวข้องหลัก เน้นการวางกรอบที่ชัดเจน ใช้ข้อมูลสมมติ และเสริมมาตรการป้องกันข้อมูล เพื่อสร้างสมดุลระหว่างความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์และการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลในยุคดิจิทัล
Thumbnail Image
Item
การประยุกต์ใช้หลักการกำกับดูแลปัญญาประดิษฐ์เพื่อปกป้องข้อมูลในธุรกิจประกันภัย
วาทิตต์ ชูโชติ; นิธินันท์ ธรรมากรนนท์ (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2023)
งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและพัฒนาแนวทางการกำกับดูแลปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อปกป้องข้อมูลในธุรกิจประกันภัย โดยเน้นการวิเคราะห์ปัญหา ความท้าทาย และกรอบแนวทางการกำกับดูแล AI ในธุรกิจประกันภัย ศึกษาแนวปฏิบัติที่ดีของต่างประเทศในการนำ AI มาใช้งานอย่างมีความรับผิดชอบ และพัฒนาต้นแบบแนวทางการกำกับดูแลการใช้ AI เพื่อปกป้องข้อมูลในธุรกิจประกันภัยของไทย การศึกษานี้ได้รวบรวมข้อมูลจากกรณีศึกษาต่างประเทศ และวิเคราะห์กฎหมาย กฎเกณฑ์ มาตรฐานสากลที่เกี่ยวข้องกับการใช้งาน AI ในธุรกิจประกันภัย โดยใช้หลักการจริยธรรมและความรับผิดชอบในการพัฒนาและใช้งาน AI นอกจากนี้ยังมีการสังเคราะห์ผลวิจัยเพื่อนำไปพัฒนาต้นแบบแนวทางการกำกับดูแล AI Governance ผลการวิจัยพบว่า การกำกับดูแล AI ในธุรกิจประกันภัยมีความสำคัญในการสร้างความโปร่งใส ยุติธรรม และรับผิดชอบ โดยการนำหลักการกำกับดูแล AI มาใช้ช่วยให้การบริหารจัดการข้อมูลและการบริการลูกค้าเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย นอกจากนี้ การกำกับดูแล AI ยังช่วยลดความเสี่ยงจากการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลและเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค การประยุกต์ใช้แนวทางการกำกับดูแล AI ในธุรกิจประกันภัยไทยเป็นไปได้ด้วยการพัฒนามาตรฐานและแนวทางที่ชัดเจน การฝึกอบรมบุคลากร และการประเมินผลการทำงานของ AI อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้เพื่อให้การใช้งาน AI เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ปลอดภัย และยั่งยืน ยิ่งไปกว่านั้น การศึกษากรณีศึกษาจากต่างประเทศพบว่าหลายบริษัท เช่น บริษัท A ในสหรัฐอเมริกา บริษัท B ในจีน และ บริษัท C ในยุโรป ได้นำ AI มาใช้ในกระบวนการต่างๆ ของธุรกิจประกันภัย เช่น การประเมินความเสี่ยง การกำหนดเบี้ยประกัน และการจัดการเคลมอย่างมีประสิทธิภาพ การนำ AI Governance มาใช้ช่วยเพิ่มความโปร่งใสและยุติธรรมในการตัดสินใจ รวมถึงลดความเสี่ยงจากการละเมิดข้อมูลและเพิ่มความเชื่อมั่นของลูกค้า คำสำคัญ: ปัญญาประดิษฐ์, การกำกับดูแล AI, การปกป้องข้อมูล, ธุรกิจประกันภัย, แนวปฏิบัติที่ดี
Thumbnail Image
Item
การวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ที่ดินที่มีผลกระทบต่อการใช้น้ำนอกภาคการเกษตรในลุ่มน้ำสาขาแม่น้ำปราจีนบุรีตอนล่าง
ณัฐวัฒน์ อิ่มสำราญรัชต์; พรพรหม สุธาทร (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2024)
การศึกษาครั้งนี้เป็นงานวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) มีวัตถุประสงค์หลัก ก) เพื่อศึกษาการเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ที่ดินในลุ่มน้ำฯ ช่วงตั้งแต่ พ.ศ. 2567-2616 โดยการประยุกต์ใช้แบบจำลอง CA_Markov Chain ร่วมกับเทคโนโลยีการสำรวจระยะไกล (RS: Remote Sensing) และการสำรวจและตรวจสอบในภาคสนาม ข) เพื่อศึกษาการเปลี่ยนแปลงการใช้น้ำนอกภาคการเกษตรในลุ่มน้ำฯ ช่วงตั้งแต่ พ.ศ. 2567-2616 ค) เพื่อวิเคราะห์ผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงการใช้ประโยชน์ที่ดินต่อปริมาณการใช้น้ำนอกภาคการเกษตรในลุ่มน้ำฯ ช่วงตั้งแต่ พ.ศ. 2567-2616 และ ง) เพื่อการกำหนดแนวทางวางแผนพัฒนาและบริหารจัดการทรัพยากรน้ำในภาพรวมนอกภาคการเกษตรในสภาพอนาคตในลุ่มน้ำฯ โดยการวิจัยเป็นการรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลทุติยภูมิจากแหล่งข้อมูลต่างๆ (เช่น เอกสาร/งานวิจัย ข้อมูลพื้นฐานจากภาครัฐและภาคเอกชน ฯลฯ) และข้อมูลปฐมภูมิจากการสำรวจและตรวจสอบในภาคสนามช่วงเดือนพฤษภาคม–ธันวาคม 2566 ผลการศึกษาวิจัยพบว่าการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการใช้ประโยชน์ที่ดินต่อรูปแบบและปริมาณความต้องการใช้น้ำนอกภาคการเกษตรในพื้นที่ลุ่มน้ำฯ จะมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นในพื้นที่ตอนกลางและพื้นที่ตอนล่างของพื้นที่ลุ่มน้ำฯ ส่วนการคาดการณ์รูปแบบการใช้ประโยชน์ที่ดินในคาบ 50 ปี (พ.ศ. 2616) ด้วยการประยุกต์ใช้แบบจำลอง CA_Markov Chain ชี้ให้เห็นว่า รูปแบบการใช้ประโยชน์ที่ดินนอกภาคการเกษตร (เฉพาะพื้นที่ชุมชนและสิ่งปลูกสร้าง) จะมีผลกระทบโดยตรงต่อรูปแบบและปริมาณการใช้น้ำนอกภาคการเกษตร แม้ว่าพื้นที่ชุมชนและสิ่งปลูกสร้างมีแนวโน้มลดลงจาก +316.22 ตารางกิโลเมตร (พ.ศ. 2566) เหลือเพียง +222.67 ตารางกิโลเมตร (พ.ศ. 2616) หรือลดลง –93.55 ตารางกิโลเมตร หรือคิดเป็นร้อยละ –4.27 ของพื้นที่ลุ่มน้ำฯ แต่ปริมาณความต้องการใช้น้ำนอกภาคการเกษตร (การอุปโภค-บริโภค ภาคอุตสาหกรรม และภาคการท่องเที่ยว) ในพื้นที่ลุ่มน้ำฯ ในสภาพอนาคต 50 ปี (พ.ศ. 2616) มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจาก +255.671 ล้านลูกบาศก์-เมตรต่อปี (พ.ศ. 2566) เป็น +703.033 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี (พ.ศ. 2616) หรือเพิ่มขึ้น +447.362 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี หรือเพิ่มขึ้นคิดเป็นร้อยละ +174.98 เนื่องจากได้รับผลกระทบโดยตรงจากการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการใช้ประโยชน์ที่ดินในพื้นที่ลุ่มน้ำฯ อย่างรวดเร็ว พร้อมกับการขยายตัวและเติบโตด้านเศรษฐกิจและสังคมอย่างรวดเร็ว และยังพบการปรับเปลี่ยนจากสภาพสังคมเกษตรดั้งเดิมไปสู่สังคมอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นประกอบกับการเพิ่มของจำนวนประชากรและประชากรแฝงในภาคอุตสาหกรรมและภาคการท่องเที่ยว และการขยายตัวเป็นชุมชนเมืองและภาคอุตสาหกรรมที่มีความเกี่ยวเนื่องกับโครงการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC: Eastern Economic Corridor) หรือพื้นที่รองรับเป็นแหล่งท่องเที่ยวพิเศษ (เช่น แหล่งมรดกโลกทางธรรมชาติ (อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่) อ่างเก็บน้ำนฤบดินทรจินดาอันเนื่องมาจากพระราชดำริ และแก่งหินเพิง ฯลฯ จึงเป็นผลกระทบโดยตรงให้เกิดความต้องการใช้น้ำเพิ่มมากขึ้น หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง (เช่น สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ กรมชลประทาน กรมทรัพยากรน้ำ กรมทรัพยากรน้ำบาดาล การประปาส่วนภูมิภาค กรมโรงงานอุตสาหกรรม กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กรมป่าไม้ และกรมพัฒนาที่ดิน ฯลฯ) ต้องกำหนดทิศทางและวางแนวทางการพัฒนาแหล่งเก็บกักน้ำขนาดเล็กจนถึงขนาดกลาง การขุดเจาะบ่อบาดาลและการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างบูรณาการในทุกภาคส่วนให้เกิดความสมดุลและให้เพียงพอกับความต้องการปริมาณการใช้น้ำในสภาพอนาคต 50 ปี (พ.ศ. 2616) และต้องมีความเหมาะสมตามศักยภาพและกิจกรรมต่างๆ ที่จำเป็นต้องมีการใช้น้ำอาจเกิดขึ้นในพื้นที่ลุ่มน้ำฯ พร้อมทั้งการกำหนดนโยบายหรือมาตรการเพื่อส่งเสริมให้ทุกภาคส่วนสามารถพัฒนาพื้นที่ดินที่ถูกปล่อยทิ้งร้างว่างเปล่า หรือพื้นที่อื่นๆ (เช่น พื้นที่เปิดโล่ง ทุ่งหญ้าธรรมชาติ พื้นที่ลุ่ม พื้นที่ไม้ละเมาะ ฯลฯ)) ที่มีศักยภาพและคุณสมบัติของทรัพยากรดินที่มีความสมบูรณ์เหมาะสมหรือตั้งอยู่ใกล้แหล่งน้ำธรรมชาติหรือแหล่งเก็บกักน้ำที่มนุษย์สร้างขึ้นสามารถนำพื้นที่ดังกล่าวมาใช้ให้เกิดมูลค่าและผลประโยชน์สูงสุด จึงเป็นการพัฒนาพื้นที่ลุ่มน้ำอย่างยั่งยืนควบคู่ไปกับการควบคุมความต้องการใช้น้ำในทุกภาคส่วนให้สอดคล้องกับปริมาณน้ำต้นทุนที่มีอยู่จริงในพื้นที่ลุ่มน้ำฯ This study is quantitative research. The main objective of this study is to; a) to study changes in land use in the basin from B.E. 2567–2616 by applying the CA_Markov Chain model together with remote sensing technology (RS: Remote Sensing) and field investigation; b) to study changes in non-agricultural water use in the basin area from B.E. 2567–2616; c) to analyze the impact of land use changes on non-agricultural water use in the basin area from B.E. 2567–2616 and d) to determine guidelines for planning the development and management of water resources in general non-agricultural sector in the future in the basin area. This research is the collection and analysis of secondary data from various sources (such as documents/research, basic data from the public and private sectors, etc.) and primary data from field investigation during May–December B.E. 2566. The results of this study found that changes in land use patterns affect the pattern and quantity of non-agricultural water demand in the basin area. There will be an increasing trend in the central and lower areas of the basin area. As for the prediction of land use patterns over 50-years period (B.E. 2616) using the CA_Markov Chain model, it is indicated that non-agricultural land use patterns (only community areas and buildings) will have a direct impact on the pattern and amount of non-agriculture water demand. Although the area of communities and buildings tends to decrease from +316.22 square kilometers (B.E. 2566) to +222.67 square kilometers (B.E. 2616) or decreases –93.55 square kilometers or equivalent to –4.27 percent of the basin area. The amount of non-agriculture water demand (water consumption, industrial sector and tourism sector) in the basin area in the future 50 years (B.E. 2616) is likely to increase from +255.671 million cubic meters per year (B.E. 2566) to +703.033 million cubic meters per year (B.E. 2616) or an increase of +447.362 million cubic meters per year or an increase of +174.98 percent. This study is indicated that being directly affected by rapid changes in land use patterns in the basin area along with rapid economic and social expansion and growth. It also found that a shift from the original agricultural society to an increasingly industrial society, along with an increase in the population and hidden populations in the industrial and tourism sectors, and expansion into urban communities and industrial sectors that are related to the Eastern Economic Corridor (EEC) development project or areas supporting special tourist attractions (such as the natural world heritage areas (Khao Yai National Park), Naruebodindrachinta Reservoir (Huai Sa-mong under the royal initiative) and Kaeng Hin Phoeng, etc., are a direct impact on the demand for water in the basin area. The relevant government agencies (such as the Office of National Water Resources, Royal Irrigation Department, Department of Water Resources, Department of Groundwater Resources, Provincial Waterworks Authority, Department of Industrial Works, Department of National Parks, Wildlife and Plant Conservation, Royal Forest Department and Land Development Department, etc.) must determine the direction and establish guidelines for the development of small to medium sized water reservoirs, drilling artesian wells and managing water resources in an integrated manner in all sectors to create a balance and adequate water consumption needs in the future 50 years (B.E. 2616) according to potential and various activities that require the use of water may occur in the basin area. The establishing policies or measures to encourage all sectors to develop abandoned land areas or other areas (such as open spaces, natural grasslands, lowland areas, scrub areas, etc.) that have the potential and properties of soil resources that are suitable or are located near natural water sources or man-made water reservoirs can bring such areas to gain high-value and the greatest benefit. Therefore, the sustainable development of the basin area along with controlling the demand for water in all sectors in accordance with the needs and suitability of the potential and various activities that require the use of water may occur in the basin area according to actual amount of water available in the basin area.
Thumbnail Image
Item
ปัจจัยการขับเคลื่อนการเป็นเมืองน่าอยู่อย่างยั่งยืนของเทศบาลเมืองสุพรรณบุรี
ศิริลักษณ์ อัศวเมธีกุล; ณพงศ์ นพเกตุ (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2023)
การวิจัยเรื่องปัจจัยการขับเคลื่อนการเป็นเมืองน่าอยู่อย่างยั่งยืนของเทศบาลเมืองสุพรรณบุรี มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษานโยบายและแนวทางการขับเคลื่อนให้เทศบาลเมืองสุพรรณบุรีเป็นเมืองน่าอยู่อย่างยั่งยืน 2) เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการขับเคลื่อนการเป็นเมืองน่าอยู่อย่างยั่งยืนของเทศบาลเมืองสุพรรณบุรี การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) ได้ทำการเก็บข้อมูลจากประชากรกลุ่มเป้าหมายแบบเจาะจง แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม จำนวนทั้งหมด 30 คน ประกอบด้วย 1) ผู้บริหารและนักวิชาการของเทศบาลเมืองสุพรรณบุรี จำนวน 4 คน ด้วยวิธีการสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth Interview) 2) ประธานชุมชน จำนวน 16 คน และ 3) เครือข่ายสังคมภาคเอกชน จำนวน 10 คน ด้วยวิธีการตอบแบบสอบถาม ผู้วิจัยได้ประยุกต์ใช้กรอบแนวคิดของ “เมืองสิ่งแวดล้อมยั่งยืน” ทั้ง 4 องค์ประกอบ ประกอบด้วย เมืองอยู่ดี คนมีสุข สิ่งแวดล้อมยั่งยืน และเมืองแห่งการเรียนรู้และการบริหารจัดการที่ดี เพื่อนำมากำหนดปัจจัยที่มีผลต่อการขับเคลื่อนการเป็นเมืองน่าอยู่อย่างยั่งยืน ผลการศึกษาพบว่า เทศบาลเมืองสุพรรณบุรีมีแผนและการบริหารจัดการความเป็นเมืองน่าอยู่อย่างยั่งยืนที่ชัดเจนทั้ง 4 องค์ประกอบของเมืองสิ่งแวดล้อมยั่งยืน มีนโยบายและแนวทางการขับเคลื่อนให้เป็นเมืองน่าอยู่อย่างยั่งยืนจากการกำหนดวิสัยทัศน์ของผู้บริหารและอาศัยการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน ปัจจัยที่เป็นจุดแข็งในการทำให้เทศบาลเมืองสุพรรณบุรีเป็นเมืองน่าอยู่อย่างยั่งยืน คือ ปัจจัยด้านผู้นำเทศบาลมีวิสัยทัศน์ และด้านการบริหารจัดการที่ชัดเจนโดยเทศบาล ได้รับความเชื่อถือจากประชาชนภาพรวมอยู่ในระดับดีมาก และปัจจัยที่เป็นจุดอ่อน ควรต้องมีการพัฒนาให้ดีมากขึ้นเพื่อให้เกิดความสำเร็จ คือ ปัจจัยการมีส่วนร่วมของประชาชน ปัจจัยการทำงานเป็นทีม และปัจจัยการสร้างภาคีเครือข่าย ตามลำดับ ภาพรวมอยู่ในระดับดี ดังนั้น การขับเคลื่อนให้เทศบาลเมืองสุพรรณบุรีเป็นเมืองน่าอยู่อย่างมีประสิทธิภาพ ประการแรกควรเสริมสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชนทุกภาคส่วนที่มีส่วนได้ส่วนส่วนเสียทั้งทางตรงและทางอ้อมอย่างแท้จริง ตั้งแต่การจัดระบบทางความคิด สร้างความเป็นเจ้าของและความรับผิดชอบร่วมกัน โดยมีหน่วยงานรัฐเป็นผู้สนับสนุนการดำเนินงานภายใต้อัตลักษณ์ของเมือง รวมทั้งควรแก้ไขระบบการกระจายอำนาจให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสามารถกำหนดทิศทาง นโยบาย และงบประมาณให้มีเอกภาพที่ชัดเจนได้ด้วยตนเองต่อไป
Thumbnail Image
Item
คู่มือปฏิบัติงานการลงรายการบรรณานุกรมตามมาตรฐาน AACR2 และ MARC21 ของสำนักบรรณสารการพัฒนา สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์
สายสัมพันธ์ คีรีรัตน์ (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2017)
การจัดทำคู่มือปฏิบัติงานการลงรายการบรรณานุกรมตามมาตรฐาน AACR2 และ MARC21 จัดทำขึ้นเพื่อให้ 1) บรรณารักษ์งานวิเคราะห์ทรัพยากรสารสนเทศทราบถึงบทบาทหน้าที่ ความรับผิดชอบ และลักษณะงานที่ปฏิบัติ 2) บรรณารักษ์งานวิเคราะห์ทรัพยการสารสนเทศและผู้ที่เกี่ยวข้องทราบถึงวิธีปฏิบัติงาน เทคนิค แนวปฏิบัติ ขั้นตอน และวิธีการได้ถูกต้อง 3) บรรณารักษ์งานวิเคราะห์ทรัพยากรสารสนเทศมีความรู้และความเข้าใจในการลงรายการบรรณานุกรมตามมาตรฐาน AACR2 และ MARC21 4) ใช้เป็นเครื่องมือในการปฏิบัติงานวิเคราะห์ทรัพยากรสารสนเทศของสำนักบรรณสารการพัฒนา สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ 5) เผยแพร่องค์ความรู้และประสบการณ์เกี่ยวกับการปฏิบัติงานการลงรายการบรรณานุกรมตามมาตรฐาน AACR2 และ MARC21 ของงานวิเคราะห์ทรัพยากรสารสนเทศของสำนักบรรณสารการพัฒนา สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ ให้เกิดประโยชน์ต่อห้องสมุดอื่น ๆ นำไปใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาปรับปรุงการทำงาน โดยเป็นคู่มือปฏิบัติงานที่ผู้เขียนได้นำหลักเกณฑ์และทฤษฎีการลงรายการ ที่ได้รวบรวมจากตำราวิชาการ เว็บไซต์ของผู้ทรงคุณวุฒิหลากหลายท่าน พร้อมทั้งยกตัวอย่างประกอบ โดยผู้เขียนเขียนจากประสบการณ์การทำงานด้านการวิเคราะห์ทรัพยากรสารสนเทศที่ผ่านมา ประกอบกับได้รวบรวมข้อเสนอแนะ และแนวปฏิบัติถ่ายทอดลงในคู่มือ