Communities in DSpace
Select a community to browse its collections.
Recent Submissions
แนวทางการพัฒนาห้องค้นคว้าเพื่อการเรียนรู้ในยุคที่สร้างความพลิกผันทางเทคโนโลยี
อติกานต์ ม่วงเงิน; กนกวรรณ จันทร; ธิดารัตน์ แซ่หยี (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2021)
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินประสิทธิผลการให้บริการห้องค้นคว้า วิเคราะห์ช่องว่างในการพัฒนาการให้บริการห้องค้นคว้า และเสนอแนวทางที่เหมาะสมของการพัฒนาการให้บริการห้องค้นคว้าในยุคที่สร้างความพลิกผันทางเทคโนโลยี ตามหลักการบริหารเชิงดุลยภาพ (Balanced Scorecard) ซึ่งเป็นการวิจัยเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ โดยได้มีการสัมภาษณ์ผู้บริหารและผู้ปฏิบัติงานห้องสมุดมหาวิทยาลัย ในเครือข่ายคณะทำงานความร่วมมือระหว่างห้องสมุดสถาบันอุดมศึกษา ฝ่ายเทคโนโลยีสารนิเทศ จำนวน 7 แห่ง มีการเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถามจำนวน 381 คน โดยการสุ่มตัวอย่างแบบง่าย โดยมีการคำนวณขนาดกลุ่มตัวอย่าง จากสูตรของ Yamane (1967, อ้างถึงใน ธานินทร์ ศิลป์จารุ, 2549, น. 47) จากนักศึกษาที่เข้ามาใช้บริการห้องค้นคว้าของสำนักบรรณสารการพัฒนา สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ เพื่อให้ความคิดเห็นต่อการเป็นห้องค้นคว้า วิเคราะห์ข้อมูลแบบสัมภาษณ์ด้วยวิธีสังเคราะห์เนื้อหา โดยจับประเด็นจากข้อมูลที่สัมภาษณ์ จัดหมวดหมู่ และสรุปสาระสำคัญจากการสัมภาษณ์ในประเด็นที่ศึกษา วิเคราะห์ข้อมูลแบบสอบถามด้วยสถิติเชิงพรรณนา ใช้การแจกแจงความถี่ ร้อยละ ส่วนรายด้าน และโดยรวมจะเปรียบเทียบเป็นค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัย พบว่า เมื่อนำการบริหารเชิงดุลยภาพมาประยุกต์ใช้ในการประเมินผลการให้บริการห้องค้นคว้า มีแนวทางที่เหมาะสมต่อการบริหารจัดการห้องค้นคว้า ดังนี้ 1) มุมมองด้านประสิทธิผลการให้บริการ พบว่า ผู้ใช้บริการเข้ามาใช้งานห้องค้นคว้าเพื่อการศึกษา การค้นคว้า การอบรม การวิจัย การเรียนรู้ตามอัธยาศัย เพิ่มพูนความรู้
เพิ่มทักษะการคิดอย่างสร้างสรรค์ แลกเปลี่ยนเรียนรู้เป็นกลุ่ม การนำเสนองาน การสร้างแรงบันดาลใจจากการชมภาพยนตร์ และการศึกษารูปแบบใหม่ผ่านการเล่นบอร์ดเกม 2) มุมมองด้านผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย พบว่า ผู้ใช้บริการห้องค้นคว้า มีความคิดเห็นต่อการเป็นห้องค้นคว้า ในภาพรวมอยู่ในระดับที่ไม่ต้องปรับปรุงเลยดีอยู่แล้ว 3) มุมมองด้านการบริหารจัดการภายในเพื่อการให้บริการ พบว่า (1) ด้านการวางแผน มีการนำข้อเสนอแนะ/ข้อร้องเรียนของผู้ใช้บริการมาวางแผนเพื่อดำเนินการแก้ปัญหา
มีการนำสถิติต่าง ๆ มาวางแผนในการจัดหางบประมาณการให้บริการห้องค้นคว้า (2) ด้านการดำเนินงาน มีการกำหนดค่านิยมหลักในการทำงาน การกระจายอำนาจหน้าที่ความรับผิดชอบและการตัดสินใจไปในแต่ละส่วนงาน พร้อมกับส่งเสริมให้บุคลากรทำงานเป็นทีม (3) ด้านการติดตามและประเมินผล มีการติดตามและประเมินผลความคืบหน้าของงานที่ดำเนินการตามแผน มีการประเมินความพึงพอใจของผู้ใช้บริการต่อการใช้งานห้องค้นคว้า วิเคราะห์ ตรวจสอบปัญหา และประเมินความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้น (4) ด้านการพัฒนา มีการประเมินวิเคราะห์ข้อดี ข้อเสีย พร้อมกับนำปัญหาที่เกิดขึ้นไปปรับปรุงพัฒนา และวางแผนการดำเนินงานของการให้บริการห้องค้นคว้าอย่างต่อเนื่อง
ตามข้อเสนอแนะของผู้ใช้บริการ เทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไป และศึกษาการสร้างนวัตกรรมต่าง ๆ จากห้องสมุดมหาวิทยาลัยอื่น ๆ 4) มุมมองด้านการเรียนรู้และพัฒนา พบว่า (1) ด้านระบบการเข้าใช้งานห้องค้นคว้า ผู้ใช้บริการสามารถจองห้องค้นคว้าได้หลายช่องทาง ระบบมีการแจ้งเตือนล่วงหน้าของการบริการห้องค้นคว้าผ่านแอพพลิเคชั่นและรองรับระบบปฏิบัติการที่หลากหลาย (2) ด้านสิ่งอำนวยความสะดวก มีการปรับปรุงระบบเครือข่ายให้เอื้อต่อการใช้บริการห้องค้นคว้า และภายในห้องค้นคว้ามีสิ่งอำนวยความสะดวกที่จำเป็นและตรงต่อการใช้งาน รวมถึงมีการออกแบบและตกแต่งที่ทันสมัย และมีความปลอดภัย (3) ด้านการแนะนำการใช้งานห้องค้นคว้า มีการแนะนำการใช้งานห้องค้นคว้าแก่ผู้ใช้บริการได้อย่างถูกต้อง (4) ด้านการอบรมการเข้าใช้งานห้องค้นคว้า มีการเรียนรู้และการฝึกปฏิบัติงานไปพร้อมการทำงานจริง (On Job Training: OJT) และมีการส่งเสริมให้ห้องค้นคว้ามีความเป็นวัฒนธรรมสีเขียว เป็นวัฒนธรรมที่ประหยัดพลังงาน
การสื่อสารเพื่อการสืบทอดและการเปลี่ยนแปลงคุณค่าประเพณีแห่น้ำช้าง ตำบลนาพูน อำเภอวังชิ้น จังหวัดแพร่
อมรรัตน์ แปงนา; อุบลวรรณ เปรมศรีรัตน์ (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2015)
การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาประวัติประเพณีแห่น้ำช้างถึงรูปแบบพิธีกรรม บทบาท องค์ประกอบ หน้าที่ ของประเพณีแห่น้ำช้าง 2) เพื่อศึกษากระบวนการสืบทอดในการจัดพิธีแห่น้ำช้าง ของชุมชนตำบลนาพูน จังหวัดแพร่ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน 3) เพื่อศึกษาลักษณะการเปลี่ยนแปลงรูปแบบพิธีกรรม บทบาท องค์ประกอบ หน้าที่ และปัจจัยที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงรูปแบบพิธีกรรม บทบาท องค์ประกอบ หน้าที่ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน 4) เพื่อศึกษาแนวทางในการฟื้นฟูอนุรักษ์ประเพณีแห่น้ำข้างให้คงอยู่สืบไป โดยใช้วิธีการวิเคราะห์เอกสารที่เกี่ยวข้อง การสัมภาษณ์แบบเจาะลึก การสังเกตการณ์แบบมีส่วนร่วมและไม่มีส่วนร่วม การสัมภาษณ์แบบกลุ่ม กลุ่มเป้าหมายในการศึกษา ได้แก่ กลุ่มผู้ประกอบพิธีกรรมประเพณีแห่น้ำช้างกลุ่มผู้สูงอายุในชุมชน กลุ่มเยาวชน กลุ่มภายอกชุมชน ได้แก่ องค์การบริหารส่วนตำบลนาพูน
ผลการศึกษาพบว่า ประเพณีแห่น้ำช้างเป็นประเพณีที่จัดขึ้นมาเพื่อขอขมาช้างที่เคยใช้คำพูดหยาบคาย บังคับให้ใช้งาน และยังเป็นประเพณีเพื่อระลึกถึงบุญคุณของบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้ว เพื่อให้แนวทางในการเพาะปลูกพืชผลในแต่ละปี ประเพณีนี้จัดขึ้นในช่วงเดือนเมษายนของทุกปี หน้าที่ของประเพณีแห่น้ำช้างคือ ทำหน้าที่ระดมพลังชุมชน สืบทอดความเชื่อ สร้างความสามัคคีเป็นปึกแผ่น สืบทอดอัตลักษณ์ สร้างความมั่นคงในจิตใจ ความบันเทิงเป็นต้น ปัจจัยที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของประเพณีแห่น้ำช้างคือ ปัจจัยด้านเทคโนโลยี ประกอบอาชีพ การเมืองท้องถิ่น การท่องเที่ยวและวัฒนธรรม โดยมีแนวทางในการฟื้นฟูและอนุรักษ์คือ จัดทำประวัติและขั้นตอนประเพณีแห่น้ำช้างให้เป็นหนังสือแล้วนำไปไว้ในห้องสมุดโรงเรียนและเก็บไว้ยังศูนย์วัฒนธรรมจังหวัดแพร่ จัดพิธีกรรมที่ให้เยาวชนเข้าร่วมกิจกรรมได้ตามความถนัด ส่งเสริมประชาสัมพันธ์ให้แก่ชุมชนอื่นๆ เข้ามาร่วมประเพณีและนำไปเป็นตัวอย่างประเพณีชุมชนชนอื่นๆ
กระบวนการสร้างสรรค์การสื่อสารด้วยแสง ในบริบทงานเปิดตัวผลิตภัณฑ์ในประเทศไทย
พิชากร บำรุงวงค์ (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2015)
กระบวนการสร้างสรรค์การสื่อสารด้วยแสง เป็นองค์ประกอบหนึ่งที่สำคัญในการสื่อสารเชิงอวัจนภาษา ที่ช่วยให้งานเปิดตัวผลิตภัณฑ์ บรรลุวัตถุประสงค์ภายใต้โจทย์และข้อจำกัดของงาน โดยงานวิจัยนี้มุ่งศึกษาเพื่อ 1) เพื่อให้ทราบถึงเทคนิค วิธีการ และกระบวนการความคิดสร้างสรรค์ในการออกแสง ในการสื่อสารสำหรับงานเปิดตัวผลิตภัณฑ์ (Product Launch Even)) โดยนักออกแบบแสง (Lighting Designer) 2) เพื่อให้ทราบถึงวิธีการสื่อความหมายผ่านศิลปะการออกแบบแสง ภายใต้โจทย์ทางการตลาดและข้อจำกัดของงานเปิดตัวผลิตภัณฑ์ (Product Launch Event) ในบริบทของนักออกแบแสง (Lighting Designer) และ 3) นักออกแบบแสงรุ่นชำนาญงานพิเศษกับนักออกแบบแสงรุ่นใหม่ในประเทศไทย มีเทคนิค วิธีการ และกระบวนการความคิดสร้างสรรค์ในการออกแบบแสง รวมถึงวิธีการสื่อความหมายผ่านศิลปะการออกแบบแสงภายใต้โจทย์ทางการตลาดและข้อจำกัดของงานแตกต่างกันหรือไม่ โดยใช้การสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth Interview) ผ่านแนวคิดของของผู้ให้ข้อมูลหลักคือนักออกแบบแสงในงานเปิดตัวผลิตภัณฑ์ในประเทศไทย 10 ท่าน และผู้ให้ข้อมูลรองคือผู้ควบคุมการผลิตงานกิจกรรมและควบคุมลำดับคิวการแสดง 7 ท่าน ผ่านการตอบแบบสอบถามและเครื่องบันทึเสียง เป็นเครื่องมือวิจัย
ผลการศึกษาในส่วนที่ 1 พบว่า "แสง" ในงานเปิดตัวผลิตภัณฑ์ พัฒนาความคู่ไปกับเทคโนโลยีที่ทันสมัย ทำให้นักออกแบบแสงจำเป็นจะต้องเรียนรู้วิธีการใช้อุปกรณ์และเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อนำไปปรับประยุกต์ในการเลือกไช้เทคนิค และวิธีการ ในการออกแบแสงคงควบคู่ไปกับความรู้ ร่วมกับประสบการณ์ที่ได้สั่งสมมา เพราะในงานเปิดตัวผลิตภัณฑ์แต่ละงานจะมีโจทย์และข้อกำหนดที่แตกต่างกัน ในงานเปิดตัวผลิตภัณฑ์แต่ละงาน นักออกแบบแสงเองต้องทำงานร่วมกับ ทีมอื่นๆ เสมอ ดั้งนั้นนักออกแบบแสงจึงต้องมีทักษะทั้งทางด้านการแก้ไขปัญหา และด้านความคิดสร้างสรรค์ควบคู่ไปกับสุนทรียะในการออกแบบแสง เพื่อทำให้การสื่อสารภายใต้โจทย์และข้อจำกัด และเกิดการยอมรับในผลงาน สอดคล้องกับกระบวนการคิดสร้างสรรค์ (A Systemm Model of Creativity) ของ Csikszentmihalyi (1996) รวมถึงผลสรูปที่ว่าเทคนิค และวิธีการออกแบบแสงเมื่อต้นสามารถสอนกันได้ (Exolicit Knowedge) ส่วนเรื่องของรสนิยม ความคิดสร้างสรรค์ และการพลิกแพลงเลือกใช้เทคนิคในเวลาที่เหมาะสม เป็นสิ่งที่นักออกแบบแสงแต่ละคนต้องเรียนรู้และฝึกฝนทักษะ (Tacit Knowledge) เพื่อให้เป็นลายเซ็นหรือลักษณะเฉพาะบุคคลรวมถึงเป็นส่วนประกอบที่จะทำให้งานออกแบบแสงประสบความสำเร็จในแง่การสื่อสารผ่านแสงในงานเปิดตัวผลิตภัณฑ์กับทั้งผู้ร่วมงานและเจ้าของงานอีกด้วย
ประกอบกับผลการศึกษาในส่วนที่ 2 พบว่า "แสง" คือองค์ประกอบหนึ่งในการสื่อสารในงานเปิดตัวผลิตภัณฑ์ เพราะแสงทำให้การมองเห็นผลิตภัณฑ์ และช่วยสร้างบรรยากาศงานให้เป็นไปตามแนวคิดหลักของงาน โดยวัตถุประสงค์ของการใช้แสงเพื่อเป็นการดึงดูดสายตา และสร้างความโดดเด่น หรือเป็นไปเพื่อการเน้นย้ำถึงลักษณะเฉพาะและอัตลักษณ์ขององค์กรของผลิตภัณฑ์นั้นๆ สามารถสร้างความตื่นตาตื่นใจให้เกิดภาพจำในช่วงการเปิดตัวผลิตภัณฑ์อีกด้วยโดยการสร้างสรรค์รูปแบบงานเปิดตัวผลิตภัณฑ์ เกิดขึ้นจากโจทย์ทางการตลาดของสินค้าที่เป็นตัวกำหนดสาร (Message) ที่เจ้าของผลิตภัณฑ์ต้องการจะสื่อสาร ดังนั้นการออกแบบแสงในงานเปิดตัวผลิตภัณฑ์ ภายใต้วัตถุประสงค์หรือแนวคิด (Concept) ของงานที่ถูกสร้างสรรค์มาเพื่อนำเสนอสารทางการตลาด จึงมีส่วนสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกัน นอกจากนั้นการออกแบบแสงยังต้องสัมพันธ์กับข้อจำกัดอื่นๆ ทั้งเรื่องสิ่งแวดล้อม, เทคโนโลยี, ศิลปะและความรู้ทางด้านวิศวกรรม ซึ่งองค์ประกอบเหล่านี้ นักออกแบบแสงจะต้องคำนึงถึงร่วมกับการตีความหมายเพื่อเลือกใช้อุปกรณ์ในการสร้างสรรค์การออกแบบแสงเพื่อสื่อความหมายให้บรรลุวัตถุประสงค์อย่างมีศิลปะ ผ่านการตีความโจทย์ของแต่ละคนด้วยประสบการณ์และสุนทรียะที่ถูกสั่งสมมาตามยุคสมัย เชื่อมโยงกับการพัฒนาของอุปกรณ์และเทคโนโลยีที่เอื้ออำนวนวยต่อการสร้างสรรค์มากขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งที่นักออกแบบแสงต้องพบเจอยู่เสมอคือการปรับเปลี่ยนหน้างาน ทั้งในรูปแบบที่สามารถแก้ไขปรับปรุงให้เสร็จสมบูรณ์ก่อนเริ่มงาน และการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกะทันหันในช่วงระหว่างงานแสดง ทำให้นักออกแบบแสงต้องมีการออกแบบและจัดเตรียมแผนสำรองไว้หลายรูปแบบ ตามประสบการณ์และการคาดการล่วงหน้าของแต่ละคน เพื่อให้งานที่เกิดขึ้นไม่สะดุดและมีความสมบูรณ์มากที่สุดตามความตั้งใจของทุกฝ่าย
กลยุทธ์การสื่อสารของสโมสรบาสเกตบอลไทย
กชมน ศรีรักษ์; กุลทิพย์ ศาสตระรุจิ (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2015)
การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษากลยุทธ์การสื่อสารของสโมสรบาสเกตบอลไทย 2) เพื่อศึกษาการบริหารจัดการสื่อของสโมสรบาสเกตบอลไทย และ 3) เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จสโมสรบาสเกตบอลไทย โดยผู้วิจัยศึกษาผ่านการวิจัยเชิงคุณภาพซึ่งใช้การวิจัยโดยการวิเคราะห์เนื้อหาจากการสืบค้นจากแหล่งข้อมูลสารสนเทศและการสัมภาษณ์ผู้ที่เกี่ยวข้องกับสโมสรบาสเกตบอลไทย จำนวน 16 ท่าน ได้แก่ สโมสรบาสเกตบอลไฮเทค สโมสรบาสเกตบอลทิวไผ่งาม และสโมสรบาสเกตบอลการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค
ผลการศึกษาพบว่า สโมสรบาสเกตบอลไทยมีกลยุทธ์การสื่อสาร ได้แก่ กลยุทธ์ด้านสารกลยุทธ์การใช้สื่อกิจกรรม และกลยุทธ์การใช้สื่อใหม่ซึ่งผ่านการบริหารจัดการสื่อ ได้แก่ สื่อมวลชนสื่อใหม่ และ ชื่อบุคคล พร้อมทั้งได้อาศัยปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จจงสโมสโมสรบาสเกตบอล
สรุปผลการศึกษาวิจัยโดยรวมคือ การผสมผสานกลยุทธ์การสื่อสารหลักของสสโมสรบาสเกตบอล เป็นการดำเนินการด้วยกลยุทธ์การใช้สื่อกิจกรรมอันเป็นกลยุทธ์ที่ทำให้เกิดการสื่อสารสองทางส่งผลให้เกิดปฏิสัมพันธ์และสร้างสัมพันธ์ระหว่างสโมสร ได้แก่ ผู้บริหารสโมสร เจ้าหน้าที่สโมสร และนักกีฬา กับผู้ชมและแฟนคลับ รวมทั้งผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการผลักดันให้เกิดกิจกรรม ได้แก่ ผู้ให้การสนับสนุน กองเชียร์ และ ผนวกเข้ากับการบริหารจัดการสื่อ ได้แก่สื่อมวลชน สื่อใหม่ และสื่อบุคคล เข้าด้วยกัน เป็นการนำประโยชน์ของแต่ละสื่อมาใช้เกิดศักยภาพในการถ่ายทอดเรื่องราวของสโมสรบาสเกตบอลไทย โดยสื่อมวลชนมีข้อได้เปรียบสำคัญ คือ ทำให้สโมสรบาสเกตบอลไทยเป็นที่รู้จักกว้างขวาง สำหรับสื่อใหม่มีข้อได้เปรียบที่สำคัญ คือ ทำให้สโมสรบาสเกตบอลไทยได้รับผลย้อนกลับโดยตรงและสื่อสารได้ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย อีกทั้งยังเป็นสื่อที่สร้างช่วยสร้างปฏิสัมพันธ์ได้อย่างทันสมัยและต่อเนื่อง และสื่อบุคคล มีข้อได้เปรียบที่สำคัญ คือ การสร้างความประทับใจและสร้างความน่าเชื่อถือแก่ผู้ชมและแฟนคลับได้อย่างเป็นที่ประจักษ์
จากผลการวิจัยทำให้ได้ข้อเสนอแนะบางประการคือ สโมสรบาสเกตบอลไทยควรใช้กลยุทธ์ด้านสารมากขึ้น อาทิเช่น การตั้งชื่อสโมสรบาสเกตบอลให้สอดคล้องกับตราสัญลักษณ์และเน้นความต่อเนื่องของกลยุทธ์สื่อใหม่เพื่อเป็นแรงเสริมให้แก่กลยุทธ์การใช้สื่อกิจกรรมมีความแข็งแกร่งในการจุดกระแสเพิ่มมากขึ้น
การประเมินประสิทธิภาพการนำเข้าแรงงานต่างด้าวสัญชาติพม่า กรณีศึกษา การเปรียบเทียบระหว่างนายจ้าง และผู้ปฏิบัติงาน
พัชราภรณ์ สุเมธาวีนันท์; วีระวัฒน์ ปันนิตามัย (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2014)
การศึกษาวิจัยครั้งนี้มีจุดประสงค์เพื่อ 1) ประเมินระดับประสิทธิภาพการนำเข้าแรงงานต่างด้าวสัญชาติพม่าในปัจจุบัน 2) เพื่อค้นหาปัญหาและอุปสรรคที่ทำให้การนำเข้าแรงงานต่างด้าวสัญชาติพม่าไม่มีประสิทธิภาพ 3) เพื่อเสนอแนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพในการนำเข้าแรงงานต่างด้าวสัญชาติพม่า โดยใช้วิธีการศึกษาเชิงปริมาณเป็นหลัก ได้แก่ การเก็บข้อมูลโดยแบบสอบถามผู้ปฏิบัติงาน นายจ้าง/ตัวแทนนายจ้างทั้งหมด 413 คนประกอบไปด้วย ผู้ปฏิบัติงานเกี่ยวกับแรงงานต่างด้าว ณ สำนักบริหารแรงงานต่างด้าว กรมจัดหางานกระทรวงแรงงาน จำนวน 50 คน นายจ้าง/ตัวแทนนายจ้างที่มาธอรับบริการ ณ กรมจัดหางานจำนวน 363 คน(เก็บข้อมูล ณ สำนักงานใหญ่, สำนักงานจัดหางาน เขตพื้นที่ 7, สมุทรสาคร, สมุทรปราการ)
ผลการศึกษาพบว่า 1) ประสิทธิภาพการนำเข้าแรงงานต่างด้าวสัญชาติพม่าทั้งระบบในมุมของผู้ปฏิบัติงานและนายจ้าง พบว่า อยู่ในระดับปานกลาง โดยมีค่าเฉลี่ย 2.70 2) ทั้งผู้ปฏิบัติงานและนายจ้างมีความคิดเห็นว่า ประสิทธิภาพในด้านบริบทการนำเข้าแรงงานต่างด้าว อยู่ในระดับปานกลาง โดยมีค่าเฉลี่ย 2.80 3) ประสิทธิภาพด้านปัจจัยนำเข้าในมุมของผู้ปฏิบัติงานและนายจ้าง พบว่า ประสิทธิภาพในด้านปัจจัยนำเข้าของนโยบายของการนำเข้าแรงงานต่างด้าว อยู่ในระดับปานกลาง โดยมีค่าเฉลี่ย 2.65 4) ประสิทธิภาพด้านกระบวนการนำเข้าแรงงานต่างด้าวในมุมของผู้ปฏิบัติงานและนายจ้าง พบว่าประสิทธิภาพในด้านกระบวนการนำเข้าแรงงานต่างด้าว อยู่ในระดับปานกลาง โดยมีค่าเฉลี่ย 2.62 5) ประสิทธิภาพด้านผลผลิตในมุมของผู้ปฏิบัติงานและนายจ้าง พบว่าในภาพรวมทั้งผู้ปฏิบัติงานและนายจ้างมีความคิดเห็นว่าประสิทธิภาพในด้านผลผลิต อยู่ในระดับปานกลาง โดยมีค่าเฉลี่ย 2.56 6) ผลการทดสอบสมมติฐาน พบว่า ยอมรับสมมติฐานข้อที่ 4 คือ ระดับประสิทธิภาพด้านผลผลิตการนำเข้าแรงงานของผู้ปฏิบัติงานและนายจ้างไม่แตกต่างกัน และปฏิเสธสมมติฐานข้อที่ 1 ประสิทธิภาพการนำเข้าแรงงานต่างด้าวอยู่ในระดับดี ข้อที่ 2 ระดับประสิทธิภาพด้านบริบทการนำเช้าแรงงานต่างด้าวในมุมมองของของผู้ปฏิบัติงานและนายจ้างแตกต่างกัน ข้อที่ 3 ระดับประสิทธิภาพด้านปัจจัยนำเช้าแรงงานในมุมมองของผู้ปฏิบัติงานและนายจ้างไม่แตกต่างกันและข้อที่ 5 ระดับประสิทธิภาพด้านผลผลิตการนำเข้าแรงงานในมุมมองของผู้ปฏิบัติงานและนายจ้างไม่แตกต่างกัน
ข้อเสนอแนะที่ได้จากการศึกษาครั้งนี้ผู้ศึกษาขอเสนอปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้ประสิทธิภาพด้านบริบทเพิ่มมากขึ้นคือ ให้ผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียเข้าร่วมแสดงความคิดเห็นในการกำหนดยุทธศาสตร์ เพื่อนำปัญหาที่เกิดขึ้นจริงในการปฏิบัติงานไปปรับปรุงพัฒนาเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด มีทีมในการประเมินผลงานอย่างต่อเนื่อง และต้องมีการตรวจสอบความโปร่งใสในการปฏิบัติงาน ควรมีการประชาสัมพันธ์ ให้ความรู้กับนายจ้างหรือตัวแทนนายจ้างและ ผู้ประกอบการอย่างทั่วถึง
แนวทางในการเพิ่มประสิทธิภาพในด้านปัจจัยนำเข้าและกระบวนการคือ ผู้ปฏิบัติงานต้องการบุคลากรมาช่วยในการปฏิบัติงานเพิ่ม และต้องการเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาช่วยในการเก็บข้อมูล ด้านนายจ้างต้องการความสะดวกสบาย ความง่ายในการติดต่อและการประชาสัมพันธ์ที่เพิ่มมากขึ้น มีการประเมินผลการปฏิบัติงานอย่างต่อเนื่อง
ในการศึกษาครั้งต่อไปผู้วิจัยเสนอให้มีการศึกษาเปรียบเทียบนโยบายการนำเข้า แรงงานต่างด้าวกับนโยบายการพิสูจน์สัญชาติแรงงานต่างด้าวสัญชาติพม่า
ภาคประชาสังคมกับการขับเคลื่อนแนวคิดจังหวัดจัดการตนเอง : กรณีศึกษาจังหวัดอำนาจเจริญ
ประวิทย์ ษรสา; จันทรานุช มหากาญจนะ (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2015)
การศึกษาเรื่อง ภาคประชาสังคมกับการขับเคลื่อนแนวคิดจังหวัดจัดการตนเอง: กรณีศึกษาจังหวัดอำนาจเจริญ นี้ มีวัตถุประสงค์ 4 ประการได้แก่ 1) เพื่ออธิบายพัฒนาการและวิเคราะห์ลักษณะของภาคประชาสังคมที่เข้ามาขับเคลื่อนแนวคิดจังหวัดจัดการตนเอง 2) เพื่ออธิบายและวิเคราะห์ปัจจัยที่ทำให้ภาคประชาสังคมเข้ามามีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนแนวคิดจังหวัดจัดการตนเอง 3) เพื่ออธิบายและวิเคราะห์ยุทธวิธี กระบวนการ ในการขับเคลื่อนและบทบาทของภาคประชาสังคมในการขับเคลื่อนประเด็นแนวคิดจังหวัดจัดการตนเอง 4) เพื่ออธิบายและวิเคราะห์ผลกระทบการขับเคลื่อนแนวคิดจังหวัดจัดการตนเองต่อการบริหารงานภาครัฐในพื้นที่ โดยเก็บรวบรวมข้อมูลทั้งข้อมูล ปฐมภูมิ โดยวิธีการสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง และจากข้อมูลทุติยภูมิ ที่เป็นเอกสารจากเครือข่ายภาคประชาสังคม งานวิจัย ข่าวสารรวมไปถึงเอกสารที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ
จากผลการศึกษาพบว่า 1) พัฒนาการของภาคประชาสังคมจังหวัดอำนาจเจริญนั้นแบ่งออกเป็น 8 เวลาโดยเกณฑ์บริบทแวดล้อมและเนื้อหากิจกรรมของกลุ่มภาคประชาสังคม ประกอบด้วย ช่วงที่ 1 ความขัดแย้งทางอุดมการณ์ทางการเมืองและกึ่งประชาธิปไตย (2516-2522 ช่วงที่ 2 เริ่มก่อตัวใหม่ของภาคประชาสังคม (2523-2538) ช่วงที่ 3 เริ่มทำงานเชื่อมโยงกับองค์กรภายนอก (2539-2543) ช่วงที่ 4 เริ่มกำหนดรูปแบบการทำงานและกำหนดยุทธศาสตร์การดำเนินงานพัฒนาชุมชน (2544-2546) ช่วงที่ 5 การเชื่อมโยงและพัฒนากลไกการทำงานในระดับจังหวัดและในระดับพื้นที่ (2547-2549) ช่วงที่ 6 การปรับปรุงพัฒนาโครงสร้างการดำเนินงานภายในจังหวัดและก่อเกิดสภาองค์กรชุมชนในพื้นที่ (2550-2552) ช่วงที่ 7 การทบทวนบทบาทของภาคประชาสังคมและการรับเอาแนวคิดจังหวัดจัดการตนเอง (2553-2554) ช่วงที่ 8 การมุ่งหน้าขับเคลื่อนแนวคิดจังหวัดจัดการตนเองและน าธรรมนูญประชาชนไปสู่การปฏิบัติ (2555-ปัจจุบัน)
ส่วนลักษณะของภาคประชาสังคมที่เข้ามาขับเคลื่อนแนวคิดจังหวัดจัดการตนเอง มี 2 ลักษณะ คือ กลุ่มประชาสังคมที่มีสถานะทางกฎหมายชัดเจน และกลุ่มประชาสังคมที่มีสถานะทางกฎหมายไม่ชัดเจน ในขณะที่ปัจจัยที่ทำให้ภาคประชาสังคมเข้ามามีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนแนวคิดจังหวัดจัดการตนเอง พบว่ามี 9 ปัจจัย ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มปัจจัย คือ กลุ่มปัจจัยหลัก ประกอบด้วย (1) ปัจจัยเรื่องจิตสำนึกร่วมหรือสำนึกพลเมือง (2) ปัจจัยเรื่องการสนับสนุนจากองค์กรภายนอก (3) ปัจจัยด้านการมีเครือข่ายในพื้นที่ (4) ปัจจัยด้านโครงสร้างและกระบวนการบริหารงานภาครัฐ (5) ปัจจัยเรื่องภาวะเศรษฐกิจและสภาพสังคม กลุ่มปัจจัยสนับสนุน ประกอบด้วย (1) ปัจจัยด้านความร่วมมือหรือทัศนคติของผู้นำท้องถิ่น (2) ปัจจัยเรื่องโครงสร้างโอกาสทางการเมือง (3) ปัจจัยเรื่องผลประโยชน์ร่วม และ (4) ปัจจัยเรื่องบริบททางประวัติศาสตร์
ส่วนกระบวนการในการขับเคลื่อนของภาคประชาสังคมแบ่งได้เป็น 3 ระดับคือ (1) โครงสร้างการทำงานระดับจังหวัด (2) โครงสร้างการดำเนินงานของทีมประสานขบวนองค์กรชุมชน (3) โครงสร้างการทำงานในระดับพื้นที่ตำบล ซึ่งบทบาทของภาคประชาสังคมมีบทบาทในการกระตุ้นความคิด ชี้ให้เห็นปัญหาร่วมกัน โดยยุทธวิธีที่ภาคประชาสังคมเลือกใช้ในการขับเคลื่อนคือ ยุทธวิธีตามช่องทางปกติ (Conventional Chanel) เป็นยุทธวิธีการเคลื่อนไหวที่อยู่ในบรรทัดฐานของสังคมประชาธิปไตย
นอกจากนี้ผลกระทบต่อการบริหารงานภาครัฐในพื้นที่ สามารถแบ่งเป็น 3 กลุ่มตามข้อมูลที่ได้จากการเก็บรวบรวมของผู้วิจัย (1) หน่วยงานที่ได้รับผลกระทบมากส่วนใหญ่เป็นหน่วยงานที่มีภารกิจสอดรับกับความต้องการของภาคประชาสังคม เกิดการทำงานร่วมกันและมีแนวโน้มในการส่งเสริมธรรมาภิบาลในการบริหารงานภาครัฐ และ (2) หน่วยงานที่ได้รับผลกระทบบ้าง เป็นหน่วยงานที่มีภารกิจไม่ค่อยตรงกับวัตถุประสงค์ของภาคประชาสังคมและไม่ค่อยมีความเข้าใจในแนวคิดของภาคประชาสังคม อาจไม่มีผลต่อการเสริมสร้างธรรมาภิบาลในการบริหารงาน สุดท้าย (3) หน่วยงานที่ไม่ได้รับผลกระทบ คือหน่วยงานที่มีภารกิจที่ไม่เกี่ยวกับวัตถุประสงค์ของภาคประชาสังคม ไม่จำเป็นต้องทำงานร่วมกับภาคประชาสังคม และไม่มีความเข้าใจในแนวคิดของภาคประชาสังคมเลย แต่มีความเห็นว่าการดำเนินงานของภาคประชาสังคมเป็นสิ่งที่ดี และมีแนวโน้มว่าการเคลื่อนไหวของภาคประชาสังคมไม่มีส่วนในการสร้างเสริมธรรมาภิบาลในหน่วยงานเหล่านี้
การวิเคราะห์การรับฟังเสียงของลูกค้าห้องสมุดสถาบันอุดมศึกษาของรัฐที่ใช้เกณฑ์คุณภาพการศึกษาเพื่อการดำเนินการที่เป็นเลิศ (EdPEx)
สายสัมพันธ์ คีรีรัตน์ (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2024)
การจัดทำการวิเคราะห์การรับฟังเสียงของลูกค้าห้องสมุดสถาบันอุดมศึกษาของรัฐที่ใช้เกณฑ์คุณภาพการศึกษาเพื่อการดำเนินการที่เป็นเลิศ (EdPEx) จัดทำขึ้นเพื่อ 1) เพื่อวิเคราะห์โครงสร้างองค์กร 2) เพื่อวิเคราะห์ช่องทางรับฟังเสียงของลูกค้า 3) เพื่อวิเคราะห์หัวข้อการสำรวจความพึงพอใจ 4) เพื่อวิเคราะห์ขั้นตอนการจัดการข้อร้องเรียน 5) เพื่อวิเคราะห์การนำผลการรับฟังเสียงของลูกค้าห้องสมุดสถาบันอุดมศึกษาของรัฐไปใช้พัฒนางาน และ 6) เพื่อเสนอแนวทางการพัฒนาการรับฟังเสียงของลูกค้าห้องสมุดสถาบันอุดมศึกษาของรัฐให้แก่สำนักบรรณสารการพัฒนา สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ โดยงานวิเคราะห์นี้ผู้ศึกษาได้รวบรวมแนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับการรับฟังเสียงของลูกค้า การจัดการข้อร้องเรียน การประเมินความพึงพอใจ และเกณฑ์คุณภาพการศึกษาเพื่อการดำเนินการที่เป็นเลิศ (EdPEx) ในหมวดลูกค้า รวมถึงได้มีการสัมภาษณ์และเก็บข้อมูลจากผู้ปฏิบัติงานโดยตรงจากห้องสมุดสถาบันอุดมศึกษาของรัฐที่เป็นประชากรครั้งนี้
แนวทางการพัฒนาระบบบริหารคุณภาพ ISO 9001:2015 ห้องสมุดมหาวิทยาลัย กรณีศึกษาสำนักบรรณสารการพัฒนา สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์
สายสัมพันธ์ คีรีรัตน์ (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2021)
แนวทางการพัฒนาระบบบริหารคุณภาพ ISO 9001:2015 ห้องสมุดมหาวิทยาลัย กรณีศึกษาสำนักบรรณสารการพัฒนา สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาการจัดทำและการดำเนินการตามระบบบริหารคุณภาพ ISO 9001:2015 ของห้องสมุดมหาวิทยาลัย 2) เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์การดำเนินการตามระบบบริหารคุณภาพ ISO 9001:2015 ของห้องสมุดมหาวิทยาลัย 3) เพื่อเสนอแนวทางการพัฒนาประสิทธิผลของการดำเนินงานห้องสมุดตามมาตรฐาน ISO 9001:2015 ให้แก่สำนักบรรณสารการพัฒนา สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ งานวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงผสมผสาน แบ่งงานวิจัยออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่ การวิจัยเชิงคุณภาพ โดยการสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth Interview) กับกลุ่มผู้บริหาร และผู้รับผิดชอบหลักที่เกี่ยวข้องกับระบบบริหารคุณภาพ ISO 9001:2015 ของห้องสมุดมหาวิทยาลัย จำนวน 4 แห่ง ได้แก่ สำนักหอสมุดกลาง มหาวิทยาลัยรามคำแหง, หอสมุดแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, สำนักงานวิทยทรัพยากร จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ สำนักบรรณสารการพัฒนา สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ ทั้งหมดจำนวน 10 ท่าน โดยการวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis) และการวิจัยเชิงปริมาณ โดยใช้แบบสอบถาม จำนวน 2 ชุด ได้แก่ แบบสอบถามสำหรับผู้ปฏิบัติงานห้องสมุดมหาวิทยาลัย และแบบสอบถามสำหรับผู้ใช้บริการสำนักบรรณสารการพัฒนา ผลการวิจัยพบว่า 1) แนวทางไปสู่ระบบบริหารคุณภาพ ISO 9001:2015 ของห้องสมุดมหาวิทยาลัย ได้ทั้งหมด 12 ขั้นตอน ดังนี้ (1) ผู้บริหารกำหนดนโยบายคุณภาพ สื่อสารกับบุคลากร จัดสรรและสนับสนุนทรัพยากร (2) การฝึกอบรมให้ความรู้ (3) ผู้บริหารแต่งตั้งคณะทำงาน (4) วิเคราะห์บริบทขององค์กร (5) กำหนดวัตถุประสงค์คุณภาพ (6) จัดทำเอกสารในระบบบริหารคุณภาพ (7) การประเมินสมรรถนะ (8) การประเมินผู้ให้บริการภายนอก (9) การตรวจติดตามภายใน (Internal Audit) (10) การทบทวนระบบบริหารคุณภาพ (Management Review) (11) การประเมินระบบบริหารคุณภาพภายนอก (External Audit) (12) ได้รับการรับรองระบบบริหารคุณภาพ ISO 9001:2015 2) ผลสัมฤทธิ์การดำเนินการตามระบบบริหารคุณภาพ ISO 9001:2015 หลักการของ Balanced Scorecard คือ (1) มิติประสิทธิผล ISO 9001:2015 เป็นการประกันคุณภาพการศึกษาตามมาตรฐานการอุดมศึกษาไทย ตามมาตรฐานสากล บรรลุวัตถุประสงค์และเป้าหมายของมหาวิทยาลัย สร้างนวัตกรรม ลดความซ้ำซ้อน การปฏิบัติงานอย่างต่อเนื่อง ปัจจัยแห่งความสำเร็จ และบทบาทของผู้บริหาร (2) มิติผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ได้แก่ ผู้ใช้บริการห้องสมุด ผู้ปฏิบัติงานห้องสมุด ผู้บริหารมหาวิทยาลัย (3) มิติการบริหารจัดการ ห้องสมุดเป็นหน่วยงานให้บริการมุ่งสร้างความพึงพอใจให้ผู้ใช้บริการ ปรับปรุงกระบวนงานสม่ำเสมอตามวงจร PDCA (4) มิติการเรียนรู้และการพัฒนา พัฒนาความรู้ความสามารถผู้ปฏิบัติงานห้องสมุดโดยจัดหลักสูตรตรงต่อความต้องการ และจัดการความรู้ 3) แนวทางการพัฒนาประสิทธิผลของการดำเนินงานห้องสมุดตามมาตรฐาน ISO 9001:2015 ให้แก่สำนักบรรณสารการพัฒนา สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ ควรจัดตั้งหน่วยงานรับรองมาตรฐานสากลที่มีบทบาทส่งเสริมและสนับสนุนการทำงานระบบบริหารคุณภาพ ISO และสนับสนุนการสร้างเครือข่ายความร่วมมือด้านประกันคุณภาพตามมาตรฐาน ISO 9001:2015 ของห้องสมุดมหาวิทยาลัย ควรเสริมสร้างค่านิยมการมีส่วนร่วมในการปฏิบัติงาน ผู้บริหารควรสนับสนุนให้มีการจัดประชุม สัมมนา ศึกษาดูงาน ฝึกอบรมอย่างสม่ำเสมอ สำนักบรรณสารการพัฒนาต้องมีการสำรวจความพึงพอใจและความต้องการของผู้ใช้บริการ และสนับสนุนการจัดการความรู้ รวมถึงสร้างความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภายในสถาบัน
การศึกษาการรับรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรมเกี่ยวกับความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมของประชากรสองช่วงวัย
สิทธิชาติ สุชาติ; บุหงา ชัยสุวรรณ; ฆริกา คันธา (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2023)
การศึกษาวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. เพื่อศึกษาความสนใจเกี่ยวกับความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อมบน Google ในช่วงระยะเวลา 20 ปีที่ผ่านมา (พ.ศ. 2547 – พ.ศ. 2567) 2. เพื่อศึกษาการรับรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรมเกี่ยวกับความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อมเปรียบเทียบในช่วงวัย Digital Immigrants และ Digital Natives เป็นศึกษาด้วยระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) ซึ่งมีกระบวนการ 2 ขั้นตอน ได้แก่ 1) วิธีการนำข้อมูลมาตีความ (Trend Analysis) โดยการใช้ Google Trend ในการเก็บข้อมูลการค้นหาของผู้ใช้งาน และ 2) วิธีการสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth Interview) โดยการคัดเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง (Purposive Sampling) กลุ่มละ 5 ตัวอย่าง ผลการศึกษาพบว่า จากผลการศึกษาที่ผ่านมา พบว่า ผู้ใช้งาน Google Search มีความสนใจที่เกี่ยวกับความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อมตลอดช่วงเวลา 20 ปีที่ผ่านมา กล่าวคือในช่วงระยะเวลา 20 ปีที่ผ่านมาของ Google Search Engine มีการค้นหาคำที่เกี่ยวข้องกับเรื่องของความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อม ควบคู่กับการให้ความสนใจเรื่องที่มีความใกล้เคียงกับคำดังกล่าว เช่น ทรัพยากรธรรมชาติ, การพัฒนาที่ยั่งยืน หมายถึง, เศรษฐกิจพอเพียง, ภาวะโลกร้อน ฯลฯ ซึ่งกลุ่มคำดังกล่าวเป็นคำที่มีความเกี่ยวข้องกับเรื่องของความยั่งยืน และเรื่องของสิ่งแวดล้อมทั้งหมด แต่การค้นหาอาจถูกดัดแปลงชุดคำและความเกี่ยวข้องที่มีความคล้ายคลึงกัน เพื่อต่อยอดความสนใจของผู้ใช้งานต่างกันออกไป ทั้งนี้ ความสนใจของผู้ใช้งานขึ้นอยู่กับประโยชน์และความสนใจส่วนบุคคลของผู้ใช้งาน ผนวกเข้ากับช่วงเวลาที่สถานการณ์ในประเทศเป็นสิ่งกระตุ้นให้เกิดการรับรู้ในความรู้ชุดใหม่ หรือสถานกาณ์ในระดับนานาชาติที่กำลังถูกให้ความสนใจจะเป็นตัวกระตุ้นการรับรู้ ไปสู่การค้นหาข้อมูลข่าวสารที่เกี่ยวข้องต่อไป และการรับรู้เกี่ยวกับความยั่งยืนของกลุ่มตัวอย่าง ส่งผลไปสู่ทัศนคติที่แตกต่างกัน ในช่วงเวลาของการรับรู้ที่แตกต่างกัน และพฤติกรรมการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมที่มีความเคร่งครัดไม่เหมือนกัน กล่าวคือ จากการศึกษาจะเห็นว่า กลุ่มตัวอย่างมีการรับรู้ ความรู้ความเข้าใจในเรื่องของความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมที่แตกต่างกัน เมื่อชุดความรู้ความเข้าใจที่แตกต่างกัน ย่อมส่งผลไปสู่ทัศนคติที่แตกต่างกัน ซึ่งเป็นต้นกำเนิดแนวคิด ความรู้สึกต่อชุดความรู้ที่ไม่เหมือนกัน ในที่สุดการกระทำหรือพฤติกรรมของกลุ่มตัวอย่างจะแสดงออกถึงความจริงจังในการกระทำเพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อมที่แตกต่างกัน แม้ว่าช่วงเวลาของการรับรู้เรื่องของความยั่งยืนจะอยู่ใกล้เคียงกันคือ 3-9 ปีที่ผ่าน แต่ความสนใจที่จะนำไปสู่การต่อยอดของแต่ละคน สร้างระบบแนวคิดทัศนคติในการแสดงออกทางพฤติกรรมไม่เหมือนกัน
ปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (BEV) ของผู้บริโภคในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล
จิรัฏฐ์ จันต๊ะคาด; ฆริกา คันธา; วิชชุดา สร้างเอี่ยม (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2023)
การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษาส่วนประสมทางการตลาดที่ส่งผลต่อการเลือกซื้อรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (2) ศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ต่อไปในอนาคตของผู้บริโภคในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล และ (3) วิเคราะห์ส่วนแบ่งทางการตลาดของผู้บริโภคต่อไปในอนาคต ผลการศึกษาพบว่า ประเทศไทยสถานการณ์ยานยนต์ไฟฟ้าของประเทศไทยที่จดทะเบียนใหม่ในปีพ.ศ. 2566 อยู่ที่ 116,335 คัน โดยกลุ่มผู้บริโภคในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลจำนวน 420 รายให้ความสำคัญกับปัจจัยด้านลักษณะทางกายภาพอยู่ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ย 4.18 (S.D. = 0.76) รองลงมาปัจจัยด้านผลิตภัณฑ์อยู่ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ย 4.16 (S.D. = 0.72) และปัจจัยด้านบุคคลอยู่ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ย 3.96 (S.D. = 0.74) และปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่นั้น พบว่า ปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจเลือกซื้อรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 มีเพียง 5 ปัจจัยที่ ได้แก่ ปัจจัยด้านลักษณะทางกายภาพ (β = 0.22) ปัจจัยด้านการส่งเสริมทางการตลาด (β = 0.14) ปัจจัยด้านบุคคล (β = 0.02) ปัจจัยด้านผลิตภัณฑ์ (β = - 0.14) และปัจจัยด้านกระบวนการให้บริการก่อนและหลัง (β = - 0.30) นอกจากนี้โครงสร้างการผลิตและลงทุนรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ในประเทศไทยในปีพ.ศ. 2566 แบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่สัญชาติจีนได้ครองส่วนแบ่งทางการตลาดร้อยละ 82.4 รองมาเป็นแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่สัญชาติสหรัฐอเมริกาส่วนแบ่งทางการตลาดร้อยละ 11.1 โดยรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ที่มีความนิยมมากส่วนใหญ่ยังเป็นรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ที่มีราคาไม่แพง และสามารถวิ่งได้ไกล อย่างไรก็ตามอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่จะมีโอกาสการเติบโตสูงจากอุปสงค์ที่กำลังเติบโตต่อเนื่อง แต่การเติบโตนั้นสูงกว่ามาก จึงอาจทำให้เกิดปัญหาสถานีอัดประจุไฟฟ้าไม่เพียงพอ จึงควรพิจารณาถึงสถานีอัดประจุไฟฟ้าและทบทวนการกำหนดอัตรา Low Priority รวมถึงการกำหนดอัตราค่าไฟฟ้าที่เหมาะสมสำหรับสถานีอัดประจุไฟฟ้าเป็นการโดยเฉพาะเพื่อใช้ในระยะยาวต่อไป
การจัดการขยะเพื่อเสริมสร้างจิตสำนึกและทักษะความรู้สู่เป้าหมายการลดปริมาณขยะได้อย่างยั่งยืน กรณีศึกษาการจัดการขยะในระยะก่อสร้างของบริษัทจัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก จำกัด (EastWater)
นรินทร์ วิมลอักษร; ภัคพงศ์ พจนารถ (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2024)
การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาการจัดการขยะ และพฤติกรรมการลดปริมาณขยะในระยะก่อสร้างของบริษัทจัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออกจำกัด 2) ศึกษาการเสริมสร้างจิตสำนึกและทักษะความรู้ของบริษัทจัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออกจำกัดในระยะก่อสร้างโดยใช้วิธีการศึกษาเชิงปริมาณ (Quantitative Research) และใช้การวิจัยแบบสำรวจ (Survey Research) โดยใช้แบบสอบถาม (Questionnaire) เพื่อรวบรวมข้อมูลปฐมภูมิจากกลุ่มตัวอย่าง คือ โดยใช้แบบสอบถามกับกลุ่มตัวอย่างที่เป็นพนักงานของ บริษัท จัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก จำกัด จำนวน 60 คน และ บริษัทผู้รับเหมาร่วม จำนวน 20 คน ทั้งหมด จำนวน 80 คน รวมถึงการศึกษาจากข้อมูลเอกสาร (Documentary Research) ที่เกี่ยวข้อง ผลการศึกษา จากการศึกษาตามวัตถุประสงค์ 1) ปัจจัยส่วนบุคคลของพนักงานที่ต่างกันนั้น ไม่ส่งผลต่อการเสริมสร้างจิตสำนึกและทักษะความรู้ของบริษัทจัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออกจำกัดที่แตกต่างกัน 2) การจัดการขยะในระยะก่อสร้างส่งผลต่อการเสริมสร้างจิตสำนึกและทักษะความรู้ของบริษัทจัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออกจำกัด คือ บริษัทมีการฝึกอบรมใช้ความรู้การจัดการขยะที่ยั่งยืน 3) พฤติกรรมการลดปริมาณขยะในระยะก่อสร้างส่งผลต่อการเสริมสร้างจิตสำนึกและทักษะความรู้ของบริษัทจัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออกจำกัด ด้านพฤติกรรมการลดปริมาณขยะในระยะก่อสร้าง คือ พนักงานมีพฤติกรรมที่มีความยินดีที่จะช่วยคัดแยกขยะ ลดปริมาณขยะไว้ขายเพื่อแปรรูปใหม่อย่างสม่ำเสมอ และด้านความรู้ความเข้าใจและข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับขยะในระยะก่อสร้าง ซึ่งส่งผลทุกข้อ คือ 1) บริษัทให้ความรู้ข้อมูลเกี่ยวกับการลดปริมาณและการจัดการขยะ 2) พนักงานทราบเกี่ยวกับข้อกำหนดการทิ้งขยะของบริษัท 3) พนักงานรับรู้ข่าวสารด้านการจัดการขยะของบริษัท 4) พนักงานมีความรู้เกี่ยวกับการจัดการขยะของบริษัท 5) พนักงานทราบแนวทางการบริหารจัดการขยะมูลฝอยของบริษัท 6) พนักงานทราบเกี่ยวกับขยะสามารถทำให้สิ่งแวดล้อมเสื่อมโทรม บริษัทไม่เป็นระเบียบเรียบร้อย และเป็นแหล่งเพาะพันธุ์เชื้อโรค
การศึกษาข้อจำกัดในการบังคับใช้กฎหมายพระราชบัญญัติคอมพิวเตอร์ กรณีการกระทำความผิดเกี่ยวกับ คอมพิวเตอร์ในการคัดลอก ทำสำเนา และถ่ายโอนข้อมูล
กษิดิศ ดิลกคุณานันท์; นิธินันท์ ธรรมากรนนท์ (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2023)
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาขอบเขตของการบังคับใช้ของพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2560 ในกรณีการคัดลอก ทำสำเนา และถ่ายโอนข้อมูล จากนั้นทำการ วิเคราะห์ปัญหาอุปสรรคในการบังคับใช้กฎหมายว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ และเสนอแนะแนวทางการปรับปรุงกฎหมายให้มีความเหมาะสมกับพฤติกรรมการกระทำความผิดที่มีรูปแบบอื่นที่เกี่ยวข้อง เนื่องจากการพัฒนาเทคโนโลยีของระบบสื่อสารจากยุคอนาล็อก(analog) มาสู่ยุคดิจิทัล(digital) ได้มีส่วนสำคัญในการพัฒนาระบบต่างๆในภาคธุรกิจ อุตสาหกรรม รัฐวิสาหกิจ รวมไปถึงภาครัฐที่ต้องมีการปรับตัว เพื่อให้สอดรับ กับความต้องการในด้านการบริการของประชาชน การพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ในยุคดิจิทัล ไม่เพียงแต่เป็นการพัฒนารูปแบบการทำงานของคอมพิวเตอร์ให้ไวยิ่งขึ้น หรือเทคโนโลยีที่ตอบสนองต่อความต้องการมนุษย์ที่มากขึ้นเพียง เท่านั้น แต่ยังเป็นการช่วยพัฒนารูปแบบในการกระทำความผิดให้มีรูปแบบหลากหลาย และซับซ้อนมากยิ่งขึ้น ซึ่งในบางครั้งการกระทำความผิดอาจอยู่ในรูปแบบของการรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ไม่ได้ตระหนักรู้ถึงการนำข้อมูลต่างๆที่พบเจอในสื่อโซเซียลมีเดียมาใช้งาน การนำช่องว่างของกฎหมายมาใช้งาน เพื่อที่จะทำให้เกิดการพัฒนา สร้างกำไรในธุรกิจของตนเอง โดยไม่ได้คำนึงถึงแหล่งที่มาของการนำข้อมูลนั้นมาใช้งาน ดัดแปลง หรือแก้ไขจนเกิดความเสียหายแก่เจ้าของข้อมูลคอมพิวเตอร์ ซึ่งผลการวิจัยของการวิจัยนี้สามารถนำไปเป็นข้อมูลหรือแนวทางให้กับผู้ที่ต้องการศึกษาเกี่ยวกับการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ในรูปแบบอื่นๆ นอกเหนือจากกรณีในอนาคตต่อไป