การดำเนินนโยบายสิทธิมนุษยชนด้านสิทธิเสรีภาพในชีวิตและร่างกายกับปัญหาชาวโรฮีนจา : กรณีศึกษาจังหวัดสงขลาและระนอง
by นวิยา ยศวิไล
Title: | การดำเนินนโยบายสิทธิมนุษยชนด้านสิทธิเสรีภาพในชีวิตและร่างกายกับปัญหาชาวโรฮีนจา : กรณีศึกษาจังหวัดสงขลาและระนอง |
Other title(s): | Implementation to life liberty and human rights policy and the problem of Rohingya : case study of Songkhla and Ranong in Thailand |
Author(s): | นวิยา ยศวิไล |
Advisor: | ณัฐฐา วินิจนัยภาค |
Degree name: | รัฐประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต |
Degree level: | Master's |
Degree department: | คณะรัฐประศาสนศาสตร์ |
Degree grantor: | สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ |
Issued date: | 2016 |
Digital Object Identifier (DOI): | 10.14457/NIDA.the.2016.156 |
Publisher: | สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ |
Abstract: |
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ คือ 1) เพื่อศึกษาและเข้าใจถึงการดำเนินการตามนโยบายของ รัฐบาลไทยที่มีต่อการแก้ปัญหาเกี่ยวกับชาวโรฮีนจาภายใต้กรอบข้อตกลงระหว่างรัฐบาลอาเซียน ว่าด้วยสิทธิมนุษยชน 2) เพื่อศึกษาและเข้าใจถึงปัญหาของการนำนโยบายไปปฏิบัติในการแก้ไข ปัญหาชาวโรฮีนจาเรื่องสิทธิมนุษยชนด้านสิทธิและเสรีภาพในชีวิตและร่างกาย ตามปฏิญญา สากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ 3) เพื่อจัดทำข้อเสนอแนะเชิงนโยบายและเชิง ปฏิบัติการที่เป็นประโยชน์ต่อการแก้ไข และพัฒนาการบริหารจัดการและการดำเนินการต่างๆ ให้มี ประสิทธิผลและความชัดเจนยิ่งขึ้น โดยใช้รูปแบบการวิจัยเชิงคุณภาพ วิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จาก เอกสาร การสัมภาษณ์เชิงลึก และการประชุมกลุ่มย่อยในพื้นที่จังหวัดสงขลาและระนอง ผลการวิจัย พบว่า ลักษณะการปฏิบัติงานจำแนกได้เป็น 2 กรณี ได้แก่ กรณีแรก ผู้ เดินทางทั้งหมดยังไม่ถึงฝั่ง เจ้าหน้าที่รัฐจะทำหน้าที่สกัดกั้นไม่ให้ชาวโรฮีนจารุกล้ำน่านน้ำไทย แต่ละขั้นตอนเป็นไปในลักษณะให้การช่วยเหลือเบื้องต้นตามหลักสิทธิมนุษยชนและพันธกรณี ระหว่างประเทศ กรณีที่สอง หากผู้เดินทางเหล่านั้นขึ้นฝั่งแล้ว เจ้าหน้าที่รัฐจะดำเนินการภายใต้ กฎหมายไทย โดยการจับกุม พร้อมกับให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมเบื้องต้น การวิเคราะห์ปัญหาของการนำนโยบายไปปฏิบัติในครั้งนี้อาศัยตัวแบบสหการของ Donald Van Meter และ Carl Van Horn ซึ่งเกิดขึ้นจากปัจจัยต่างๆ อันได้ แก่ 1) มาตรฐาน นโยบาย เจ้าหน้าที่รัฐต่างมีความเข้าใจในวัตถุประสงค์และเป้าหมายของนโยบายเป็นอย่างดี ขณะที่แนวทางการดำเนินการขาดความชัดเจนและขัดแย้งกับสภาพความเป็นจริงในระยะสั้น เพราะความไม่เข้าใจในพันธกรณีระหว่างประเทศ แต่ความจริงจังของเจ้าหน้าที่รัฐในการแก้ปัญหา จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับนานาชาติในระยะยาวได้ โดยทั้งหมดนี้ต่างส่งผลกระทบต่อการสื่อข้อความและการบังคับใช้กฎหมายตามมา 2) ทรัพยากรนโยบาย ซึ่งงบประมาณและสถานที่ของ องค์การภาครัฐไม่เพียงพอที่จะรองรับชาวโรฮีนจาที่ถูกจับกุมทั้งหมด ขณะที่องค์การภาครัฐขาด บุคลากรที่มีทักษะภาษาในการปฏิบัติงาน อย่างไรก็ตาม ทุกฝ่ายพยายามปรับปรุงการใช้ ทรัพยากรให้ตรงกับวัตถุประสงค์ของนโยบายให้เป็นไปตามหลักสิทธิมนุษยชน แต่ทั้งหมดนี้ส่งผล กระทบต่อการบังคับใช้กฎหมายและทัศนคติของผู้ปฏิบัติงาน 3) การสื่อข้อความ ปัญหาชาวโรฮีน จาเป็นที่สนใจของสื่อมวลชน การเผยแพร่ข่าวสารส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของเจ้าหน้าที่รัฐ ส่วนการประสานงานฝ่ายต่างๆ และองค์การร่วมรับผิดชอบเป็นไปอย่างถูกต้องตามภารกิจ ความสามารถในการประสานงานระหว่างฝ่ ายต่างๆ นี้ย่อมมีอิทธิพลต่อความยินดีหรือเต็มใจใน การปฏิบัติงาน 4) การบังคับใช้ กฎหมาย สะท้อนถึงปัญหาที่เกิดจากเงื่อนไขทางการเมือง คุณลักษณะของหน่วยปฏิบัติ มาตรฐานและทรัพยากรของนโยบาย เนื่องจากเจ้าหน้าที่รัฐบางส่วน ขาดความเคร่งครัดในการบังคับใช้กฎหมาย กอปรกับกฎหมายที่เกี่ยวข้องไม่มีการปรับปรุงให้เท่า ทันกับการเปลี่ยนแปลงของยุคปัจจุบัน ทั้งหมดนี้ส่งผลกระทบต่อทัศนคติของผู้ปฏิบัติงานและ คุณลักษณะของหน่วยปฏิบัติ 5) คุณลักษณะของหน่วยปฏิบัติ องค์การภาครัฐที่เกี่ยวข้องมีขนาด ใหญ่และซับซ้อนสูง การปฏิบัติงานเป็นไปตามขั้นตอน แบ่งงานตามความเชี่ยวชาญ ทั้งนี้ ทุกองค์การภาครัฐที่เกี่ยวข้องได้ใช้ระบบคณะกรรมการในการปฏิบัติงานร่วมกันและดำเนินการใน ลักษณะขององค์การเครือข่าย ซึ่งแต่ละองค์การกลับปกปิ ดข้อมูลหรือข้อผิดพลาดของตนเอง ส่งผลต่อการบังคับใช้กฎหมาย 6) เงื่อนไขทางการเมือง การเมืองทั้งเมียนมา มาเลเซีย และไทย กำลังประสบกับการเปลี่ยนผ่านและการเคลื่อนไหวจากภาคประชาชน โดยที่รัฐบาลแต่ละประเทศ ต่างพยายามแก้ปัญหาชาวโรฮีนจานี้ภายใต้การจับตามองจากทั่วโลก ซึ่งเงื่อนไขทางการเมืองมี ความเชื่อมโยงกับเงื่อนไขทางสังคมและเศรษฐกิจ ทัศนคติของผู้ปฏิบัติงานและผลการนำนโยบายนี้ไปปฏิบัติ7) เงื่อนไขทางสังคมและเศรษฐกิจ สภาพความยากจนทางเศรษฐกิจและกระแสการต่อต้านของเมียมากลายเป็นแรงผลักดันให้ชาวโรฮีนจาหลบหนีออกนอกประเทศ ผ่านมายังไทยที่มี ลักษณะสังคมพหุวัฒนธรรม เพื่อไปยังมาเลเซียที่มีความเชื่อทางศาสนาเหมือนกันและสภาพ เศรษฐกิจดีกว่าประเทศตนเอง กล่าวได้ว่า เงื่อนไขทางสังคมและเศรษฐกิจมีความสัมพันธ์กับ เงื่อนไขทางการเมือง และมีผลต่อการนำนโยบายไปปฏิบัติ 8) ทัศนคติของผู้ปฏิบัติงาน เป็นผล สะท้อนจากการสื่อข้อความ การบังคับใช้กฎหมาย คุณลักษณะของหน่วยปฏิบัติ และเงื่อนไข ทางการเมือง ขณะที่เจ้าหน้าที่รัฐส่วนใหญ่ยอมรับวัตถุประสงค์และเป้าหมายของนโยบาย แต่เจ้าหน้าที่รัฐในพื้นที่บางส่วนไม่เต็มใจปฏิบัติงาน และด้วยข้อจำกัดด้านทรัพยากร จึงทำให้ เจ้าหน้าที่รัฐส่วนกลางและในพื้นที่ต่างมีแนวคิดในการแก้ปัญหาแตกต่างกันในการปฏิบัติตาม กฎหมายที่กำหนดไว้ |
Description: |
วิทยานิพนธ์ (รป.ม.)--สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2559 |
Subject(s): | สิทธิมนุษยชน
โรฮีนจา |
Resource type: | วิทยานิพนธ์ |
Extent: | 305 แผ่น |
Type: | Text |
File type: | application/pdf |
Language: | tha |
Rights: | ผลงานนี้เผยแพร่ภายใต้ สัญญาอนุญาตครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 4.0 (CC BY-NC-ND 4.0) |
URI: | https://repository.nida.ac.th/handle/662723737/5273 |
Files in this item (CONTENT) |
|
View ทรัพยากรสารสนเทศทั้งหมดในคลังปัญญา ใช้เพื่อประโยชน์ทางการเรียนการสอนและการค้นคว้าเท่านั้น และต้องมีการอ้างอิงแหล่งที่มาทุกครั้งที่นำไปใช้ ห้ามดัดแปลงเนื้อหา และทำสำเนาต่อ รวมถึงไม่ให้อนุญาตนำไปใช้ประโยชน์เพื่อการค้า ไม่ว่ากรณีใด ๆ ทั้งสิ้น
|
This item appears in the following Collection(s) |
|
|