วัฒนธรรมการมีส่วนร่วมทางการเมืองของวัยรุ่นในสังคมพหุวัฒนธรรม: กรณีศึกษา อำเภอเทพา จังหวัดสงขลา
Files
Publisher
Issued Date
2017
Available Date
Copyright Date
Resource Type
Series
Edition
Language
tha
File Type
application/pdf
No. of Pages/File Size
121 แผ่น
ISBN
ISSN
eISSN
Other identifier(s)
b201432
Identifier(s)
Access Rights
Access Status
Rights
ผลงานนี้เผยแพร่ภายใต้ สัญญาอนุญาตครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 4.0 (CC BY-NC-ND 4.0)
Rights Holder(s)
Physical Location
สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์. สำนักบรรณสารการพัฒนา
Bibliographic Citation
Citation
เปรมศักดิ์ แก้วมรกฎ (2017). วัฒนธรรมการมีส่วนร่วมทางการเมืองของวัยรุ่นในสังคมพหุวัฒนธรรม: กรณีศึกษา อำเภอเทพา จังหวัดสงขลา. Retrieved from: https://repository.nida.ac.th/handle/662723737/5895.
Title
วัฒนธรรมการมีส่วนร่วมทางการเมืองของวัยรุ่นในสังคมพหุวัฒนธรรม: กรณีศึกษา อำเภอเทพา จังหวัดสงขลา
Alternative Title(s)
Political participation culture of youths in multicutural society : a case study of Thepha District Songkhla Province
Author(s)
Editor(s)
Advisor(s)
Advisor's email
Contributor(s)
Contributor(s)
Abstract
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาลักษณะการมีส่วนร่วมทางการเมืองของวัยรุ่นใน
สังคมพหุวัฒนธรรม เพื่อศึกษาทัศนะของวัยรุ่นต่อลักษณะการมีส่วนร่วมทางการเมืองที่พึงประสงค์
และเพื่อศึกษาแนวทางการเสริมสร้างการมีส่วนร่วมทางการเมืองของวัยรุ่น โดยใช้วิธีการวิจัยเชิง
คุณภาพ (Qualitative Research) เป็นหลักโดยอาศัยกระบวนการและวิธีการสัมภาษณ์แบบเจาะลึก
(In-depth Interview) กับผู้รู้หรือผู้ให้ข้อมูลที่สำคัญ (Key-Informant)และทำการตรวจสอบข้อมูล
โดยใช้เทคนิคสามเส้า (Triangulation Technique)
ผลการวิจัยพบว่า ผู้ให้ข้อมูลสำคัญส่วนใหญ่มีภูมิลำเนาเดิมและอาศัยอยู่ในอำเภอเทพา จังหวัดสงขลา ตั้งแต่เกิด เกินครึ่งหนึ่งเป็นเพศชาย ศาสนาอิสลาม มีอาชีพเป็นนักศึกษา การศึกษา ปริญญาตรี อายุเฉลี่ย 22 ปี สถานะภาพโสด ด้านลักษณะการเข้าไปมีส่วนร่วมทางการเมืองของ วัยรุ่นจะเป็นไปในรูปแบบของการพูดคุยเรื่องการเมืองโดยส่วนใหญ่มีการพูดคุยประเด็นการเมือง บ่อยครั้ง ชักชวนบุคคลอื่นไปเลือกตั้ง แต่ที่เป็นหลักคือการไปเลือกตั้งโดยส่วนใหญ่ไปใช้สิทธิ เลือกตั้งเพราะมีความตั้งใจ และเห็นวาเป็นหน้าที่ที่สำคัญ ด้านบรรยากาศทางการเมืองมีส่วนสำคัญ ที่จะส่งผลต่อการมีส่วนร่วมทางการเมือง ถ้าสถานการณ์บ้านเมืองปรกติ สงบ จะส่งผลให้เกิดการมี ส่วนร่วมมาก แต่ในปัจจุบันสถานการณ์บ้านเมืองไม่ได้เป็นไปตามระบอบประชาธิปไตย ทำให้ ประชาชนขาดการมีส่วนร่วม ด้านลักษณะการมีส่วนร่วมทางการเมืองที่วัยรุ่นพึงประสงค์ได้แก่ 1) ต้องการพื้นที่เพื่อใช้ในการแสดงออกทางการเมือง เช่น เปิดเวทีให้วัยรุ่นมาเสวนาเกี่ยวกับ การเมือง 2) การเลือกตั้งเพราะวันรุ่นเชื่อว่าการเลือกตั้งเป็นการมีส่วนร่วมที่สำคัญของระบอบ ประชาธิปไตย 3) มีส่วนร่วมในการเลือกผู้ปกครองระดับท้องถิ่นด้วยตนเอง เช่นเลือกนายอำเภอ ผู้วาราชการจังหวัด แนวทางการเสริมสร้างการมีส่วนร่วมทางการเมืองของวัยรุ่น ได้แก่1)ครอบครัว
สถาบนัครอบครัวมีมีส่วนอย่างมากที่ได้ช่วยในการสร้างจิตสำนึกทางการเมืองให้กับสมาชิกจึงควร ปลูกฝังให้วัยรุ่นเห็นความสำคัญของการเมือง โดยผ่านทางบุคคลในครอบครัว 2)โรงเรียนมีส่วน ในการให้ความรู้และควรจะบรรจุเนื้อหาเกี่ยวกับการเมืองลงไปในหลักสูตรตั้งแต่ระดับพื้นฐานเพื่อ จะได้ซึมซับ 3) ชุมชนยังมีส่วนสนับสนุนค่อนข้างน้อยจึงจำเป็นที่จะต้องสร้างวัฒธรรมทางการ เมืองขึ้นมา เพื่อให้เกิดค่านิยมให้วัยรุ่นในการหวงแหนสิทธิของตน 4) ศาสนา มีส่วนสนับสนุน ค่อนข้างต่าง จำเป็นต้องปลูกฝังเรื่องความดีหรือสิ่งที่ควรประพฤติปฎิบัติเพื่อเป็นบรรทัดฐานในการ เลือกผู้นำที่ดี 5) หน่วยงานทางการปกครองมีส่วนสำคัญในการเสริมสร้าง เพราะเป็นหน่วยงานที่ รับผิดชอบโดยตรงและต้องทำอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจจะผ่านทางนโยบายต่างๆ ปัญหาและอุปสรรค ในการมีส่วนร่วมทางการเมืองของวัยรุ่น ได้แก่ 1) การศึกษา ที่ยังไม่ทั่วถึงโดยเฉพาะในหมู่บ้านที่ ห่างไกลวัยรุ่นยังขาดความเข้าใจเรื่องการเมือง 2) ยาเสพติด การดื่มน้ำใบกระท่อมในหมู่วัยรุ่นขาด ความกระตือรือร้น ทำให้ทำตัวนิ่งเฉยจนขาดความสนใจในเรื่องบ้านเมือง 3) สภาพเศรษฐกิจ ครอบครัวรายได้ไม่พอเลี้ยงชีพทำให้วัยรุ่นสนใจแต่เรื่องปากท้องและทำงาน 4) การพนันฟุตบอล แพร่หลาย 5) เกรงกลัวอันตรายจนไม่กล้าเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับกิจกรรมต่างๆ ทางการเมือง เพราะกลัว จะต้องเป็นเป้าหมายของฝ่ายตรงข้าม
ผลการวิจัยพบว่า ผู้ให้ข้อมูลสำคัญส่วนใหญ่มีภูมิลำเนาเดิมและอาศัยอยู่ในอำเภอเทพา จังหวัดสงขลา ตั้งแต่เกิด เกินครึ่งหนึ่งเป็นเพศชาย ศาสนาอิสลาม มีอาชีพเป็นนักศึกษา การศึกษา ปริญญาตรี อายุเฉลี่ย 22 ปี สถานะภาพโสด ด้านลักษณะการเข้าไปมีส่วนร่วมทางการเมืองของ วัยรุ่นจะเป็นไปในรูปแบบของการพูดคุยเรื่องการเมืองโดยส่วนใหญ่มีการพูดคุยประเด็นการเมือง บ่อยครั้ง ชักชวนบุคคลอื่นไปเลือกตั้ง แต่ที่เป็นหลักคือการไปเลือกตั้งโดยส่วนใหญ่ไปใช้สิทธิ เลือกตั้งเพราะมีความตั้งใจ และเห็นวาเป็นหน้าที่ที่สำคัญ ด้านบรรยากาศทางการเมืองมีส่วนสำคัญ ที่จะส่งผลต่อการมีส่วนร่วมทางการเมือง ถ้าสถานการณ์บ้านเมืองปรกติ สงบ จะส่งผลให้เกิดการมี ส่วนร่วมมาก แต่ในปัจจุบันสถานการณ์บ้านเมืองไม่ได้เป็นไปตามระบอบประชาธิปไตย ทำให้ ประชาชนขาดการมีส่วนร่วม ด้านลักษณะการมีส่วนร่วมทางการเมืองที่วัยรุ่นพึงประสงค์ได้แก่ 1) ต้องการพื้นที่เพื่อใช้ในการแสดงออกทางการเมือง เช่น เปิดเวทีให้วัยรุ่นมาเสวนาเกี่ยวกับ การเมือง 2) การเลือกตั้งเพราะวันรุ่นเชื่อว่าการเลือกตั้งเป็นการมีส่วนร่วมที่สำคัญของระบอบ ประชาธิปไตย 3) มีส่วนร่วมในการเลือกผู้ปกครองระดับท้องถิ่นด้วยตนเอง เช่นเลือกนายอำเภอ ผู้วาราชการจังหวัด แนวทางการเสริมสร้างการมีส่วนร่วมทางการเมืองของวัยรุ่น ได้แก่1)ครอบครัว
สถาบนัครอบครัวมีมีส่วนอย่างมากที่ได้ช่วยในการสร้างจิตสำนึกทางการเมืองให้กับสมาชิกจึงควร ปลูกฝังให้วัยรุ่นเห็นความสำคัญของการเมือง โดยผ่านทางบุคคลในครอบครัว 2)โรงเรียนมีส่วน ในการให้ความรู้และควรจะบรรจุเนื้อหาเกี่ยวกับการเมืองลงไปในหลักสูตรตั้งแต่ระดับพื้นฐานเพื่อ จะได้ซึมซับ 3) ชุมชนยังมีส่วนสนับสนุนค่อนข้างน้อยจึงจำเป็นที่จะต้องสร้างวัฒธรรมทางการ เมืองขึ้นมา เพื่อให้เกิดค่านิยมให้วัยรุ่นในการหวงแหนสิทธิของตน 4) ศาสนา มีส่วนสนับสนุน ค่อนข้างต่าง จำเป็นต้องปลูกฝังเรื่องความดีหรือสิ่งที่ควรประพฤติปฎิบัติเพื่อเป็นบรรทัดฐานในการ เลือกผู้นำที่ดี 5) หน่วยงานทางการปกครองมีส่วนสำคัญในการเสริมสร้าง เพราะเป็นหน่วยงานที่ รับผิดชอบโดยตรงและต้องทำอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจจะผ่านทางนโยบายต่างๆ ปัญหาและอุปสรรค ในการมีส่วนร่วมทางการเมืองของวัยรุ่น ได้แก่ 1) การศึกษา ที่ยังไม่ทั่วถึงโดยเฉพาะในหมู่บ้านที่ ห่างไกลวัยรุ่นยังขาดความเข้าใจเรื่องการเมือง 2) ยาเสพติด การดื่มน้ำใบกระท่อมในหมู่วัยรุ่นขาด ความกระตือรือร้น ทำให้ทำตัวนิ่งเฉยจนขาดความสนใจในเรื่องบ้านเมือง 3) สภาพเศรษฐกิจ ครอบครัวรายได้ไม่พอเลี้ยงชีพทำให้วัยรุ่นสนใจแต่เรื่องปากท้องและทำงาน 4) การพนันฟุตบอล แพร่หลาย 5) เกรงกลัวอันตรายจนไม่กล้าเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับกิจกรรมต่างๆ ทางการเมือง เพราะกลัว จะต้องเป็นเป้าหมายของฝ่ายตรงข้าม