การคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของผู้ต้องหาหรือจำเลยจากการดักฟังทางโทรศัพท์และการได้มาซึ่งข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ตามมาตรา 14 จัตวา แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามยาเสพติด พ.ศ. 2519
Publisher
Issued Date
2013
Issued Date (B.E.)
2556
Available Date
Copyright Date
Resource Type
Series
Edition
Language
tha
File Type
application/pdf
No. of Pages/File Size
69 แผ่น
ISBN
ISSN
eISSN
DOI
Other identifier(s)
b185728
Identifier(s)
Access Rights
Access Status
Rights
ผลงานนี้เผยแพร่ภายใต้ สัญญาอนุญาตครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 4.0 (CC BY-NC-ND 4.0)
Rights Holder(s)
Physical Location
สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์. สำนักบรรณสารการพัฒนา
Bibliographic Citation
Citation
นิทธันต์ ขันธรูจี (2013). การคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของผู้ต้องหาหรือจำเลยจากการดักฟังทางโทรศัพท์และการได้มาซึ่งข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ตามมาตรา 14 จัตวา แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามยาเสพติด พ.ศ. 2519. Retrieved from: http://repository.nida.ac.th/handle/662723737/3658.
Title
การคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของผู้ต้องหาหรือจำเลยจากการดักฟังทางโทรศัพท์และการได้มาซึ่งข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ตามมาตรา 14 จัตวา แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามยาเสพติด พ.ศ. 2519
Alternative Title(s)
Protection of the rights of the accused or defendant intercepted telephone and data acquisition electronics knicks under section 14 of laws in pursuance to the narcotics control Act, B.E. 2519 (1976)
Author(s)
Advisor(s)
Editor(s)
item.page.dc.contrubutor.advisor
Advisor's email
Contributor(s)
Contributor(s)
Abstract
ในการก่ออาชญากรรมในคดียาเสพติดล้วนแล้วแต่มีผลประโยชน์มหาศาลมาเกี่ยวข้องทำให้การวางแผนการในการกระทำความผิดมีความซับซ้อนมีกิจกรรมในองค์กรหลายลักษณะ ฉะนั้นองค์กรในกระบวนการยุติธรรมทางอาญาจึงจำเป็นต้องพัฒนารูปแบบในการแสวงหาข้อเท็จจริงตลอดจนพยานหลักฐานในการที่จะนำตัวผู้กระทำความผิดมาลงโทษให้ได้ มิเช่นนั้นสังคมก็จะดำรงอยู่ไม่ได้ เพราะเหตุนี้เองในพฤติการณ์พิเศษในบางกรณีเจ้าพนักงานของรัฐจำเป็นต้องนำมาตรการสืบสวนวิธีพิเศษสมัยใหม่ให้มีความทันสมัยต่อเทคโนโลยีและการพัฒนารูปแบบของการกระทำความผิด วิธีการสืบสวนสอบสสวนที่เคยใช้อยู่เดิมจึงไม่อาจนำตัวผู้กระทำความผิดมาลงโทษได้ ดังนั้น การดักฟังทางโทรศัพท์และการได้มาซึ่งข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ในคดียาเสพติดนั้นตามมาตรา 14 จัตวาแห่งพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามยาเสพติด พ.ศ.2519 มีผลกระทบต่อสิทธิส่วนบุคคลเป็นอย่างมากผู้ที่บังคับใช้มาตรการดังกล่าวต้องมีความละเอียดอ่อนการบังคับใช้ เนื่องจากมาตรการดังกล่าวมีข้อจำกัด ในประเด็นปัญหานี้แม้ในปัจจุบันอาชญากรรมในความผิดบางประเภทที่รัฐมีความจำเป็นที่จะต้องใช้เทคโนโลยีในการดักฟังโทรศัพท์เพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูลอันเป็นประโยชน์ต่อการดำเนินคดี แต่ในขณะเดียวกัน หารการใช้อำนาจรัฐในการดักฟังโทรศัพท์เป็นไปโดยไม่มีหลักเกณฑ์หรือหลักประกันในการควบคุมการใช้อำนาจนั้นแล้ว สิ่งที่เป็นปัญหาซึ่งอาจตามมาก็คือ การใช้อำนาจรัฐก็จะเป็นไปตามอำเภอใจของเจ้าพนักงานผู้ใช้อำนาจนั้นเสียเอง อันอาจส่งผลกระทบต่อประชาชนที่มิได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการประกอบอาชญากรรมให้ต้องได้รับความเสียหายได้
ปัจจุบันองค์กรที่มีอำนาจในการตรวจสอบการใช้อำนาจในการดักฟังทางโทรศัพท์ตามมาตรา 14 จัดว่าแห่งพระราชบัญญัติการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด พ.ศ. 2519 นั้นในตามได้มาซึ่งข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ตามบทบัญญัติของกฎหมายยาเสพติดอย่างชัดเจน คือ องค์กรศาล และผู้ที่มีอำนาจอนุญาตมีเพียงคำตำแหน่งเดียว คือ อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาแต่เพียงผู้เดียว จึงเป็นประเด้นที่วิทยานิพนธ์ฉบับนี้ต้องการจะศึกษาว่าเป็นการเหมาะสม และเป็นการตรวจสอบการใช้อำนาจที่มี ความคล่องตัวแล้วหรือไม่เพียงใด ทั้งนี้ต้องคำนึงถึงการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดเป็นสำคัญ
ในมาตรา 14 จัตวา แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามยาเสพติด พ.ศ.2519 ไม่ได้มีการบัญญัติถึงกรณีร้องขอให้มีการดังฟังทางโทรศัพท์ในกรณีฉุกเฉินหรือมีเหตุจำเป็นเร่งด่วนเอาไว้แต่อย่างใด และหากศึกษาเปรรียบเทียบกับกฎหมายต่างประเทศแล้วนั้นจะมีการบัญญัติในกรณีดังกล่าวเอาไว้อย่างชัดเจน เช่น ประเทศสหรัฐอเมริกาบัญญัติว่าหากเจ้าหน้าที่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้มาตรการการดักฟังทางโทรศัพท์ กรณรที่จะเกิดการกระทำความผิดทางอาญาต่อชีวิตหรือร่างกาย หรือการสมคบกันกระทำความผิดเกี่ยวกับความมั่นของประเทศหรือองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ กฎหมายฉบับดังกล่าวจะอนุญาตให้เจ้าหน้าที่สามารถใช้มาตรการดักฟังทางโทรศัพท์ไปก่อนล่วงหน้าได้
ปัจจุบันองค์กรที่มีอำนาจในการตรวจสอบการใช้อำนาจในการดักฟังทางโทรศัพท์ตามมาตรา 14 จัดว่าแห่งพระราชบัญญัติการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด พ.ศ. 2519 นั้นในตามได้มาซึ่งข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ตามบทบัญญัติของกฎหมายยาเสพติดอย่างชัดเจน คือ องค์กรศาล และผู้ที่มีอำนาจอนุญาตมีเพียงคำตำแหน่งเดียว คือ อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาแต่เพียงผู้เดียว จึงเป็นประเด้นที่วิทยานิพนธ์ฉบับนี้ต้องการจะศึกษาว่าเป็นการเหมาะสม และเป็นการตรวจสอบการใช้อำนาจที่มี ความคล่องตัวแล้วหรือไม่เพียงใด ทั้งนี้ต้องคำนึงถึงการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดเป็นสำคัญ
ในมาตรา 14 จัตวา แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามยาเสพติด พ.ศ.2519 ไม่ได้มีการบัญญัติถึงกรณีร้องขอให้มีการดังฟังทางโทรศัพท์ในกรณีฉุกเฉินหรือมีเหตุจำเป็นเร่งด่วนเอาไว้แต่อย่างใด และหากศึกษาเปรรียบเทียบกับกฎหมายต่างประเทศแล้วนั้นจะมีการบัญญัติในกรณีดังกล่าวเอาไว้อย่างชัดเจน เช่น ประเทศสหรัฐอเมริกาบัญญัติว่าหากเจ้าหน้าที่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้มาตรการการดักฟังทางโทรศัพท์ กรณรที่จะเกิดการกระทำความผิดทางอาญาต่อชีวิตหรือร่างกาย หรือการสมคบกันกระทำความผิดเกี่ยวกับความมั่นของประเทศหรือองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ กฎหมายฉบับดังกล่าวจะอนุญาตให้เจ้าหน้าที่สามารถใช้มาตรการดักฟังทางโทรศัพท์ไปก่อนล่วงหน้าได้