การนำนโยบายภาษีมูลค่าเพิ่มไปปฏิบัติ : การศึกษาวิเคราะห์เชิงปรากฏการณ์ในธุรกิจโรงแรม
Publisher
Issued Date
1993
Issued Date (B.E.)
2536
Available Date
Copyright Date
Resource Type
Series
Edition
Language
tha
File Type
application/pdf
No. of Pages/File Size
ก-ณ, 482 แผ่น
ISBN
ISSN
eISSN
Other identifier(s)
Identifier(s)
Access Rights
Access Status
Rights
ผลงานนี้เผยแพร่ภายใต้ สัญญาอนุญาตครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 4.0 (CC BY-NC-ND 4.0)
Rights Holder(s)
Physical Location
สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์. สำนักบรรณสารการพัฒนา
Bibliographic Citation
Citation
กิตติ บุนนาค (1993). การนำนโยบายภาษีมูลค่าเพิ่มไปปฏิบัติ : การศึกษาวิเคราะห์เชิงปรากฏการณ์ในธุรกิจโรงแรม. Retrieved from: http://repository.nida.ac.th/handle/662723737/905.
Title
การนำนโยบายภาษีมูลค่าเพิ่มไปปฏิบัติ : การศึกษาวิเคราะห์เชิงปรากฏการณ์ในธุรกิจโรงแรม
Alternative Title(s)
The implementation of value added tax policy : a phenomenal analysis of the hotel business
Author(s)
Advisor(s)
Editor(s)
item.page.dc.contrubutor.advisor
Advisor's email
Contributor(s)
Contributor(s)
Abstract
นโยบายภาษีมูลค่าเพิ่ม เป็นนโยบายภาษีใหม่ที่กรมสรรพากรนำมาใช้แทนระบบภาษีการค้าเดิม และเริ่มมีผลบังคับใช้มาตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 35 ทั้งนี้ โดยมีวัตถุประสงค์ที่สำคัญก็คือ ต้องการที่จะพัฒนาระบบการจัดเก็บภาษี ให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น มีความยุติธรรมในการจัดเก็บ ลดความซ้ำซ้อนทางภาษี อีกทั้งยังช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศโดยส่วนรวมด้วย เนื่องจากนโยบายภาษีมูลค่าเพิ่มดังกล่าว เป็นนโยบายภาษีใหม่ของกรมสรรพากร และของประเทศไทยจึงเป็นมูลเหตุจูงใจทำให้ผู้วิจัย อยากที่จะทำการศึกษาว่า ผลของการนำนโยบายภาษีมูลค่าเพิ่ม ไปปฏิบัตินั้นเป็นอย่างไรบ้าง ระบบการจัดเก็บมีประสิทธิภาพหรือไม่ ปัญหา และอุปสรรคที่เกิดขึ้นมีอะไรบ้าง และทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ตลอดจนข้อเสนอแนะเพื่อปรับปรุงแก้ไข.
การวิจัยครั้งนี้ เป็นการวิจัยแบบบุกเบิกในเชิงคุณภาพโดยทำการศึกษาปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในธุรกิจโรงแรม ภายใต้การสังเกตการณ์แบบอำพรางตัว และการสัมภาษณ์แบบเจาะลึก กับกลุ่มตัวอย่างที่สำคัญสามกลุ่ม ก็คือ กลุ่มเจ้าหน้าที่สรรพากร กลุ่มผู้ประกอบการ และกลุ่มประชาชนผู้ใช้บริการ ซึ่งระดับความร่วมมือของบุคคลทั้งสามกลุ่มนี้ จะมีบทบาทอันสำคัญยิ่งต่อความสำเร็จหรือไม่สำเร็จของการนำนโยบายภาษีมูลค่าเพิ่มไปปฏิบัติ
จากการศึกษาและวิจัยครั้งนี้ พบว่ารูปแบบพฤติกรรมของผู้ปฏิบัติในระดับล่าง (front-line implementors) ยังไม่ได้ให้ความร่วมมือต่อนโยบายภาษีมูลค่าเพิ่มเท่าที่ควร และการที่ระดับความร่วมมือของผู้ปฏิบัติระดับล่างมีค่อนข้างน้อย ก็เพราะว่า ผู้ปฏิบัติระดับล่างทุกกลุ่ม ต่างมีปัญหาและอุปสรรคเกิดขึ้นภายในกระบวนการของการนำนโยบายภาษีมูลค่าเพิ่มไปปฏิบัติโดยทางด้านเจ้าหน้าที่สรรพากรก็พบปัญหาความไม่ชัดเจนของเป้าหมายและวัตถุประสงค์ของนโยบาย ความไม่เหมาะสมของการกำหนดภารกิจ และการมอบหมาย ความไม่เหมาะสมของมาตรการควบคุม ประเมินผล และการกระตุ้นส่งเสริมอีกทั้งสมรรถนะของหน่วยปฏิบัติก็ยังขาดแคลนทรัพยกรทางด้านต่าง ๆ อีกด้วย ส่วนทางด้านผู้ประกอบการและประชาชนก็พบปัญหาการประชาสัมพันธ์ที่ล้มเหลวของกรมสรรพากร และขาดแรงจูงใจที่ดี สิ่งเหล่านี้เป็นปัญหา และอุปสรรคอันสำคัญที่กรมสรรพากรจะต้องรับไปพิจารณา ปรับปรุงแก้ไขต่อไป.
แม้ว่าที่ผ่านมา กรมสรรพากรจะมีการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือแนวปฏิบัติต่าง ๆ บ้างก็ตาม แต่การปรับปรุงแก้ไขเหล่านั้นล้วนแล้วแต่เป็นการแก้ไขปัญหาที่ปลายเหตุทั้งสิ้น หรือแก้ไขเป็นบางจุดเท่านั้น ที่ไม่ได้ตรงกับความต้องการของผู้ปฏิบัติระดับล่าง และจากการวิจัยในครั้งนี้ได้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า กรมสรรพากรเน้นการปรับปรุงแก้ไขเฉพาะแต่จุดย่อย ๆ เท่านั้น โดยยังไม่ได้เข้าไปปรับปรุงแก้ไขปัญหาและอุปสรรคที่เกิดขึ้นในกระบวนการของการนำนโยบายไปปฏิบัติอย่างแท้จริง.
จากการวิจัยในครั้งนี้ ทำให้ผู้วิจัยสามารถเสนอแนะแนวทางแก้ไขปรับปรุงเกี่ยวกับปัจจัยด้านต่าง ๆ เพื่อยกระดับผลของการนำนโยบายภาษีมูลค่าเพิ่มไปปฏิบัติให้สูงขึ้น โดยแยกเป็น 20 แผนงาน 37 โครงการ และ 103 แนวปฏิบัติ (ดังรายละเอียดที่นำเสนอไว้ในบทสุดท้าย) ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความเป็นรูปธรรมในทางปฏิบัติ ซึ่งข้อเสนอแนะดังกล่าวมุ่งที่จะพัฒนาเป้าหมายและวัตถุประสงค์ของนโยบายให้มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น ยกระดับสมรรถนะของหน่วยปฏิบัติให้ดีขึ้นกว่าเดิม มีการกำหนดภารกิจและการมอบหมายงานให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริงในทางปฏิบัติ ปรับปรุงมาตรการควบคุม ประเมินผล และการกระตุ้นส่งเสริม เพื่อยกระดับคุณภาพของการปฏิบัติงานให้สูงขึ้น พัฒนาการประชาสัมพันธ์ เพื่อให้เกิดกระบวนการสื่อสารข้อความที่ชัดเจน ตลอดจนการพัฒนาการสร้างแรงจูงใจให้แก่ ผู้ประกอบการ และประชาชน เพื่อให้เกิดการมีส่วนร่วมมากยิ่งขึ้น
อนึ่ง แม้ว่าจะนำข้อเสนอแนะดังกล่าวข้างต้น ไปใช้ในการแก้ไขปัญหาแล้ว ก็อาจจะไม่ได้หมายความว่า ปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในกระบวนการของการนำนโยบายไปปฏิบัติจะหมดไป ทั้งนี้เพราะยังมีปัญหาที่เกิดจากสภาพแวดล้อมภายนอก ซึ่งยากแก่การที่กรมสรรพากรจะเข้าไปควบคุมและจัดการได้ ซึ่งได้แก่ สภาพทางสังคมเศรษฐกิจ การเมือง และวัฒนธรรม ลำพังกรมสรรพากรเอง ซึ่งเป็นหน่วยงานหนึ่งของกระทรวงการคลังเท่านั้น ก็คงที่จะแก้ไขปัญหาทั้งหมดได้ยาก ดังนั้น กลไกที่เกี่ยวข้องทั้งในภาครัฐและภาคเอกชน และสังคม โดยส่วนรวมทั้งหมด ตลอดจนประชาชนผู้เสียภาษีอากร ควรเข้ามามีบทบาทให้ความช่วยเหลือ กรมสรรพากรให้มากขึ้น เพื่อทำให้การนำนโยบายทางด้านนี้ไปปฏิบัติให้ประสบความสำเร็จอย่างแท้จริง.
การวิจัยครั้งนี้ เป็นการวิจัยแบบบุกเบิกในเชิงคุณภาพโดยทำการศึกษาปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในธุรกิจโรงแรม ภายใต้การสังเกตการณ์แบบอำพรางตัว และการสัมภาษณ์แบบเจาะลึก กับกลุ่มตัวอย่างที่สำคัญสามกลุ่ม ก็คือ กลุ่มเจ้าหน้าที่สรรพากร กลุ่มผู้ประกอบการ และกลุ่มประชาชนผู้ใช้บริการ ซึ่งระดับความร่วมมือของบุคคลทั้งสามกลุ่มนี้ จะมีบทบาทอันสำคัญยิ่งต่อความสำเร็จหรือไม่สำเร็จของการนำนโยบายภาษีมูลค่าเพิ่มไปปฏิบัติ
จากการศึกษาและวิจัยครั้งนี้ พบว่ารูปแบบพฤติกรรมของผู้ปฏิบัติในระดับล่าง (front-line implementors) ยังไม่ได้ให้ความร่วมมือต่อนโยบายภาษีมูลค่าเพิ่มเท่าที่ควร และการที่ระดับความร่วมมือของผู้ปฏิบัติระดับล่างมีค่อนข้างน้อย ก็เพราะว่า ผู้ปฏิบัติระดับล่างทุกกลุ่ม ต่างมีปัญหาและอุปสรรคเกิดขึ้นภายในกระบวนการของการนำนโยบายภาษีมูลค่าเพิ่มไปปฏิบัติโดยทางด้านเจ้าหน้าที่สรรพากรก็พบปัญหาความไม่ชัดเจนของเป้าหมายและวัตถุประสงค์ของนโยบาย ความไม่เหมาะสมของการกำหนดภารกิจ และการมอบหมาย ความไม่เหมาะสมของมาตรการควบคุม ประเมินผล และการกระตุ้นส่งเสริมอีกทั้งสมรรถนะของหน่วยปฏิบัติก็ยังขาดแคลนทรัพยกรทางด้านต่าง ๆ อีกด้วย ส่วนทางด้านผู้ประกอบการและประชาชนก็พบปัญหาการประชาสัมพันธ์ที่ล้มเหลวของกรมสรรพากร และขาดแรงจูงใจที่ดี สิ่งเหล่านี้เป็นปัญหา และอุปสรรคอันสำคัญที่กรมสรรพากรจะต้องรับไปพิจารณา ปรับปรุงแก้ไขต่อไป.
แม้ว่าที่ผ่านมา กรมสรรพากรจะมีการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือแนวปฏิบัติต่าง ๆ บ้างก็ตาม แต่การปรับปรุงแก้ไขเหล่านั้นล้วนแล้วแต่เป็นการแก้ไขปัญหาที่ปลายเหตุทั้งสิ้น หรือแก้ไขเป็นบางจุดเท่านั้น ที่ไม่ได้ตรงกับความต้องการของผู้ปฏิบัติระดับล่าง และจากการวิจัยในครั้งนี้ได้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า กรมสรรพากรเน้นการปรับปรุงแก้ไขเฉพาะแต่จุดย่อย ๆ เท่านั้น โดยยังไม่ได้เข้าไปปรับปรุงแก้ไขปัญหาและอุปสรรคที่เกิดขึ้นในกระบวนการของการนำนโยบายไปปฏิบัติอย่างแท้จริง.
จากการวิจัยในครั้งนี้ ทำให้ผู้วิจัยสามารถเสนอแนะแนวทางแก้ไขปรับปรุงเกี่ยวกับปัจจัยด้านต่าง ๆ เพื่อยกระดับผลของการนำนโยบายภาษีมูลค่าเพิ่มไปปฏิบัติให้สูงขึ้น โดยแยกเป็น 20 แผนงาน 37 โครงการ และ 103 แนวปฏิบัติ (ดังรายละเอียดที่นำเสนอไว้ในบทสุดท้าย) ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความเป็นรูปธรรมในทางปฏิบัติ ซึ่งข้อเสนอแนะดังกล่าวมุ่งที่จะพัฒนาเป้าหมายและวัตถุประสงค์ของนโยบายให้มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น ยกระดับสมรรถนะของหน่วยปฏิบัติให้ดีขึ้นกว่าเดิม มีการกำหนดภารกิจและการมอบหมายงานให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริงในทางปฏิบัติ ปรับปรุงมาตรการควบคุม ประเมินผล และการกระตุ้นส่งเสริม เพื่อยกระดับคุณภาพของการปฏิบัติงานให้สูงขึ้น พัฒนาการประชาสัมพันธ์ เพื่อให้เกิดกระบวนการสื่อสารข้อความที่ชัดเจน ตลอดจนการพัฒนาการสร้างแรงจูงใจให้แก่ ผู้ประกอบการ และประชาชน เพื่อให้เกิดการมีส่วนร่วมมากยิ่งขึ้น
อนึ่ง แม้ว่าจะนำข้อเสนอแนะดังกล่าวข้างต้น ไปใช้ในการแก้ไขปัญหาแล้ว ก็อาจจะไม่ได้หมายความว่า ปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในกระบวนการของการนำนโยบายไปปฏิบัติจะหมดไป ทั้งนี้เพราะยังมีปัญหาที่เกิดจากสภาพแวดล้อมภายนอก ซึ่งยากแก่การที่กรมสรรพากรจะเข้าไปควบคุมและจัดการได้ ซึ่งได้แก่ สภาพทางสังคมเศรษฐกิจ การเมือง และวัฒนธรรม ลำพังกรมสรรพากรเอง ซึ่งเป็นหน่วยงานหนึ่งของกระทรวงการคลังเท่านั้น ก็คงที่จะแก้ไขปัญหาทั้งหมดได้ยาก ดังนั้น กลไกที่เกี่ยวข้องทั้งในภาครัฐและภาคเอกชน และสังคม โดยส่วนรวมทั้งหมด ตลอดจนประชาชนผู้เสียภาษีอากร ควรเข้ามามีบทบาทให้ความช่วยเหลือ กรมสรรพากรให้มากขึ้น เพื่อทำให้การนำนโยบายทางด้านนี้ไปปฏิบัติให้ประสบความสำเร็จอย่างแท้จริง.
Table of contents
Description
วิทยานิพนธ์ (พบ.ด. (การบริหารการพัฒนา))--สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2536.