การวางแผนการเงินเพื่อเตรียมการเกษียณอายุงาน : ศึกษากรณีกรมพลศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ
Publisher
Issued Date
1997
Issued Date (B.E.)
2540
Available Date
Copyright Date
Resource Type
Series
Edition
Language
tha
File Type
application/pdf
No. of Pages/File Size
158 แผ่น
ISBN
ISSN
eISSN
DOI
Other identifier(s)
b76622
Identifier(s)
Access Rights
Access Status
Rights
ผลงานนี้เผยแพร่ภายใต้ สัญญาอนุญาตครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 4.0 (CC BY-NC-ND 4.0)
Rights Holder(s)
Physical Location
สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์. สำนักบรรณสารการพัฒนา
Bibliographic Citation
Citation
วินิจ เจนนพกาญจน์ (1997). การวางแผนการเงินเพื่อเตรียมการเกษียณอายุงาน : ศึกษากรณีกรมพลศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ. Retrieved from: http://repository.nida.ac.th/handle/662723737/665.
Title
การวางแผนการเงินเพื่อเตรียมการเกษียณอายุงาน : ศึกษากรณีกรมพลศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ
Alternative Title(s)
Pre-retirement financial preparation of government officials : a survey at the Physical Education Department, Ministry of Education
Author(s)
Advisor(s)
Editor(s)
item.page.dc.contrubutor.advisor
Advisor's email
Contributor(s)
Contributor(s)
Abstract
การศึกษาเรื่อง "การวางแผนการเงินเพื่อเตรียมการเกษียณอายุงาน : ศึกษาเฉพาะกรณี ข้าราชการกรมพลศึกษาในส่วนกลาง สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ" มีวัตถุประสงค์เพื่อที่จะทราบถึง
1. สถานภาพทางเศรษฐกิจก่อนการเกษียณอายุงาน และการเตรียมการเกษียณอายุงานของข้าราชการกรมพลศึกษา ที่มีช่วงอายุระหว่าง 45-55 ปี
2. ความเข้าใจและการให้ความสำคัญต่อการวางแผนการเงิน เพื่อเตรียมการเกษียณอายุงาน
3. การวางแผนการเงินเพื่อเตรียมการเกษียณอายุงาน
4. ความต้องการการสนับสนุนในด้านการวางแผนการเงิน เพื่อเตรียมการเกษียณอายุงาน
การศึกษาครั้งนี้ เป็นการศึกษาเชิงสำรวจโคยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลจากลุ่มประชากรศึกษา อันได้แก่ ข้าราชการกรมพลศึกษาในส่วนกลางที่มีช่วงอายุในระหว่าง 45-55 ปี จำนวน 130 ราย จำแนกเป็นเพศชาย 76 ราย เพศหญิง 54 ราย โดยทำการศึกษาทั้งหมด สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ให้แก่ อัตราส่วนร้อย ค่าเฉลี่ย และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการศึกษา พบว่า ประชากรศึกษาในครั้งนี้ ส่วนใหญ่เป็นเพศชาย มีอายุระหว่าง 50-55 ปี ส่วนใหญ่จบการศึกษาระดับปริญญาตรี สถานภาพทางตำแหน่งส่วนใหญ่ระดับ 5-6
ผลการศึกษา พบว่า ข้าราชการกรมพลศึกษาที่เป็นกลุ่มประชากรศึกษาในครั้งนี้มีรายได้ในช่วงระหว่าง 15,000 - 20,000 บาท ประมาณครึ่งหนึ่ง (ร้อยละ 53.2) มีรายได้
สมดุลกับรายจ่าย ส่วนที่เหลือร้อยละ 26.6 มีรายจ่ายมากกว่ารายได้และร้อยละ 20.2 มีรายได้มากกว่ารายจ่าย ในกรณีที่เกิดการเจ็บป่วยทั้งของตนเอง หรือสมาชิกในครอบครัว พบว่า ในกรณีการเจ็บป่วยปกติ ร้อยละ 54.8 ของกลุ่มประชากรศึกษาจะประสบปัญหาทางการเงิน และในกรณีการเจ็บป่วยไม่ปกติ ร้อยละ 6.50 ของกลุ่มประชากรศึกษาจะประสบปัญหาทางการเงินเนื่องจากครอบครัวมีเงินไม่เพียงพอที่จะใช้จ่ายในเรื่องของค่ารักษาพยาบาล ถึงแม้จะมีสวัสดิการจากรัฐก็ตาม ผลการศึกษา พบว่าข้าราชการกรมพลศึกษาประมาณสามในสี่ส่วน (ร้อยละ 74.2) มีพันธะหนี้สิน โดยมีสาเหตุในรื่องของที่อยู่อาศัยและค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับเครื่องอำนวยความสะดวก
1. ในด้านการตรียมการเกษียณอายุงานด้านเศรษฐกิจ ผลการศึกษา พบว่า ข้าราชการกรมพลศึกษาที่เป็นประชากรศึกษาในครั้งนี้ และมีพันธะหนี้สิน มีการวางแผนเตรียมการปลดเปลื้องหนี้สินทุกราย (100 %) และในการเตรียมการนั้น ร้อยละ 75.5 หรือประมาณสามในที่เชื่อมั่นว่าจะสามารถปลดเปลื้องหนี้สินได้ก่อนการเกษียณอายุงาน
ในส่วนของการสะสมทรัพย์ พบว่า ข้าราชการกรมพลศึกษาที่เป็นประชากรศึกษาในครั้งนี้ส่วนใหญ่ (ร้อยละ 83.6) มีการเตรียมสะสมทรัพย์เพื่อเป็นหลักประกันของชีวิต โดยเลือกใช้วิธีการซื้อบ้าน/ที่ดิน และการสะสมทรัพย์กับธนาคารหรือบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์
ในส่วนของการฝึกทดลองใช้จ่ายเงินพบว่า ส่วนใหญ่ (ร้อยละ 77.6) มีการฝึกทดลองใช้จ่ายเงินในขอบเขตที่กำหนด ส่วนในเรื่องของการจดบันทึกรายการทรัพย์สิน หนี้สิน และค่าใช้จ่ายต่าง ๆ นั้น ผลการศึกษา พบว่า ประมาณครึ่งหนึ่ง (ร้อยละ 56.3) ไม่เคยมีการจดบันทึก
2. ในด้านความเข้าใจ และการให้ความสำคัญต่อการวางแผนการเงินเพื่อเตรียมการเกษียณอายุงาน พบว่า ข้าราชการกรมพลศึกษาที่เป็นประชากรศึกษาในครั้งนี้ มีความเข้าใจการวางแผนการเงินเพื่อเตรียมการเกษียณอายุงานในระดับปานกลางค่อนข้างต่ำ (Mean =2:93) โดยเพศหญิงมีความเข้าใจเรื่องการวางแผนการเงินมากกว่าเพศชาย เเละข้าราชการระดับ 5-6 มีความเข้าใจมากว่าระดับ 7-8 เมื่อนำมาจำเเเนกย่อยตามองค์ประกอบ พบว่า ข้าราชการกรมพลศึกษาฯ มีความเข้าใจในเรื่องการประมาณฐานะทางการเงินในระดับปานกลางค่อนข้างสูง (Mean = 3.26) เเละมีความเข้าใจในเรื่องแหล่งที่มาของรายได้ เเละ เรื่องอาชีพสำรองในระดับปานกลางค่อนข้างต่ำ (Mean = 2.82 และ 2.77 ตามลำดัมลำดับ)
ในด้านการให้ความสำคัญต่อการวางแผนการเงินเพื่อเตรียมการเกษียณงานอายุ พบว่าข้าราชการกรมพลศึกษาฯ ให้ความสำคัญในระดับค่อนข้างน้อย (Mean = 2.27) โดยให้ความสำคัญในเรื่องของการประมาณฐานะทางการเงิน และ แหล่งที่มาของรายได้ในระดับใกล้เคียงกัน (Mean = 2.46 และ 2.44 ตามลำดับ) ส่วนที่ให้ความสำคัญน้อยสุด ได้แก่ เรื่องอาชีพสำรอง (Mean = 1.93)
3. ในด้านการวางแผนการเงินเพื่อเตรียมการเกษียณอายุงาน ผลการศึกษา พบว่าข้าราชการกรมพลศึกษาฯ ส่วนใหญ่ประมาณสามในสี่ (ร้อยละ 75.4) วางแผนในเรื่องแหล่งที่มาของรายได้ว่า จะเลือกรับเงินบำเหน็จบำนาญตามระบบใหม่ (กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ, กบข.) โดยให้เหตุผลในเรื่องของการได้รับเงินก้อน (Lump Sum) ที่นอกเหนือไปจากเงินบำเหน็จบำนาญ (Pension) เพื่อเป็นทุนสำรองยามเกษียณอายุงาน
ส่วนข้าราชการกรมพลศึกษา 1 ที่วางแผนจะรับเงินบำเหน็จบำนาญในระบบบเดิมมีอยู่ร้อยละ 24.6 โดยให้เหตุผลในเรื่องของความไม่มั่นใจว่าจะได้รับเงินตามกำหนดเวลาจริง ส่วนการที่จะเลือกรับเงินบำเหน็จหรือเงินบำนาญนั้น ข้าราชการกรมพลศึกษา ฯ ทั้งหมด (100 %) วางเเผนที่จะขอรับเงินบำนาญ โดยให้เหตุผลว่าเศรษฐกิจของประเทศ
ขาดความแน่นอนในการลงทุนประกอบอาชีพ และการรับเงินบำนาญจะเป็นหลักประกันความมั่นคงของชีวิตว่าจะมีเงินใช้จ่ายทุกเดือน
ในเรื่องของการประมาณฐานะทางการเงิน พบว่า ข้าราชการกรมพลศึกษา ฯ มีการประมาณฐานะทางการเงินโดยสม่ำเสมอร้อยละ 65.1 ส่วนผู้ที่ไม่เคยทำการประมาณ
ฐานะทางการเงินมีอยู่ร้อยละ 34.9 โดยให้เหตุผลในเรื่องของการขาดความรู้
เรื่องอาชีพสำรอง พบว่าข้าราชการกรมพลศึกษา ฯ ประมาณครึ่งหนึ่ง (ร้อยละ 58.3) มีการวางแผนจัดเตรียมอาชีพสำรอง โดยให้เหตุผลในเรื่องของการทำชีวิตให้มีคุณค่า และเพื่อเพิ่มรายได้
4. ในส่วนของความต้องการการสนับสนุนจากภายนอกในเรื่องการวางแผนการเงิน พบว่า ข้าราชการกรมพลศึกษาฯ ส่วนใหญ่ (ร้อยละ 72.4) ต้องการให้มีการจัดโปรแกรมการวางแผนการเงินเพื่อเตรียมการเกษียณอายุงาน โปรแกรมความรู้ที่ต้องการค่อนข้างมาก (Mean = 3.41) ได้แก่ อาชีพสำรอง ในด้านการสนับสนุนจากภายนอก พบว่า ข้าราชการกรมพลศึกษา ฯ มีความต้องการรับการสนับสนุนในระดับปานกลางค่อนข้างต่ำ (Mean = 291) เมื่อนำมาจำแนก พบว่า ข้าราชการกลุ่มอายุ 50 ปีขึ้นไปมีความตัองการสนับสนุนมากกว่ากลุ่มอายุ 45-49 ปี
ส่วนความต้องการการสนับสนุนด้านข้อมูลข่าวสาร พบว่า ข้าราชการกรมพลศึกษาฯ มีความต้องการในระดับปานกลางค่อนข้างต่ำ (300m = 292) ข้อมูลข่าวที่ต้องการมากสุด ได้แก่ ข้อมูลข่าวเกี่ยวกับการประกอบอาชีพภายหลังการเกษียณอายุงาน (Mean = 3.68)
ส่วนความต้องการการสนับสนุนด้านการฝึกอบรมนั้น พบว่า ข้าราชการกรมพลศึกษาฯ มีความต้องการในระดับค่อนข้างน้อย (Mean = 2.56) หัวข้อการฝึกอบรมที่ต้องการมากสุด ได้แก่ การฝึกอบรมเพื่อประกอบอาชีพภายหลังการเกษียณอายุงาน (Mean = 3.58)
Table of contents
Description
วิทยานิพนธ์ (พบ.ม. (การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์))--สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2540.