A causal model of factors affecting instructional communication effectiveness of instructors of different generations in Thai higher education institutions
Issued Date
2023
Issued Date (B.E.)
2566
Available Date
Copyright Date
Resource Type
Series
Edition
Language
eng
File Type
application/pdf
No. of Pages/File Size
354 leaves
ISBN
ISSN
eISSN
Other identifier(s)
b216675
Identifier(s)
Access Rights
Access Status
Rights
This work is licensed under a Creative Commons Attribution-NonCommercial-NoDerivatives 4.0 International License.
Rights Holder(s)
Physical Location
National Institute of Development Administration. Library and Information Center
Bibliographic Citation
Citation
Teerawan Opasbut (2023). A causal model of factors affecting instructional communication effectiveness of instructors of different generations in Thai higher education institutions . Retrieved from: https://repository.nida.ac.th/handle/662723737/6724.
Title
A causal model of factors affecting instructional communication effectiveness of instructors of different generations in Thai higher education institutions
Alternative Title(s)
แบบจำลองปัจจัยเชิงสาเหตุที่ส่งผลต่อสัมฤทธิ์ผลการสื่อสารเพื่อการเรียนการสอนของผู้สอนต่างรุ่นอายุในสถาบันอุดมศึกษาไทย
Author(s)
Advisor(s)
Editor(s)
item.page.dc.contrubutor.advisor
Advisor's email
Contributor(s)
Contributor(s)
Abstract
The objectives of this research were to 1) study perceived communication competence, communication satisfaction, perceived communication problems, and students’ responses to instructional communication of instructors of different generations in Thai higher education institutions, 2) develop causal models of factors affecting instructional communication effectiveness of instructors of different generations in Thai higher education institutions, and 3) examine the congruence of the constructed model with the empirical data. This research is mixed-method research, comprising two research methodologies: 1) Qualitative research was to study students' opinions on instructional communication with instructors of different generations. In addition, in-depth interviews were conducted with instructors. 2) Quantitative research was to develop a causal model of factors affecting instructional communication effectiveness of instructors of different generations in Thai higher education institutions, by collecting data from a sample of 195 students, who had learning experiences with instructors from the three different generations. The quality research found that the results of communication effectiveness of instructors of different generations in the instructional communication context in Thai higher education institutions involve the following variables: 1) Perceived communication competence, 2) satisfaction with communication, 3) perceived communication problems between communication partners, and 4) students’ response to the instructors’ communication. The quantitative research findings reveal that all constructed causal models affecting instructional communication effectiveness of instructors of different generations in Thai higher education institutions are congruent with the empirical data at a statistical significance level of 0.05, 0.01, and 0.001. Considering the congruence indices, the causal model of instructors of each generations is as follows: 1) The model of Gen B instructors: Relative Chi-square = 2.093, GFI = 0.913, CFI = 0.968, NFI = 0.941, NNFI = 0.958, IFI = 0.969, RFI = 0.923, RMR = 0.033, 2) the model of Gen X instructors: Relative Chi-square = 2.236, GFI = 0.901, CFI = 0.962, NFI = 0.934, NNFI = 0.950, IFI = 0.963, RFI = 0.913, RMR = 0.026, 3) The model of Gen Y instructors: Relative Chi-square = 1.688, GFI = 0.926, CFI = 0.976, NFI = 0.944, NNFI = 0.969, IFI = 0.976, RFI = 0.928, RMR = 0.025, and 4) The model of instructors of all generations: Relative Chi-square = 2.171, GFI = 0.902, CFI = 0.967, NFI = 0.941, NNFI = 0.957, IFI = 0.968, RFI = 0.923, RMR = 0.020. All models have 8 out of 11 indices pass the determined criteria, with the following findings: 1) The model of Gen B instructors: Perceived communication competence has a direct positive effect on communication satisfaction, with a path coefficient of 0.896; communication satisfaction has a direct positive effect on response to communication, with a path coefficient of 0.762; and perceived communication problems have a direct positive effect on communication satisfaction, with a path coefficient of 0.113. 2) The model of Gen X instructors: Perceived communication competence has a direct positive effect on communication satisfaction, with a path coefficient of 0.908; and perceived communication competence has a direct positive effect on response to communication, with a path coefficient of 0.578. 3) The model of Gen Y instructors: Perceived communication competence has a direct positive effect on communication satisfaction, with a path coefficient of 0.880; and communication satisfaction has a direct positive effect on response to communication, with a path coefficient of 0.506, and 4) The model of instructors of all generations: Perceived communication competence has a direct positive effect on communication satisfaction, with a path coefficient of 0.901; and communication satisfaction has a direct positive effect on response to communication, with a path coefficient of 0.544. Overall, the variable of perceived communication competence has the highest total effect on communication satisfaction in all models.
งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ได้แก่ 1) เพื่อศึกษาการรับรู้ความสามารถในการสื่อสาร ความพึงพอใจในการสื่อสาร การรับรู้ปัญหาการสื่อสาร และการตอบสนองของผู้เรียนที่มีต่อผู้สอนต่างรุ่นอายุในสถาบันอุดมศึกษาไทย 2) เพื่อพัฒนาแบบจำลองปัจจัยเชิงสาเหตุที่ส่งผลต่อสัมฤทธิ์ผลการสื่อสารเพื่อการเรียนการสอนของผู้สอนต่างรุ่นอายุในสถาบันอุดมศึกษาไทย 3) เพื่อตรวจสอบความสอดคล้องของแบบจำลองปัจจัยเชิงสาเหตุที่ส่งผลต่อสัมฤทธิ์ผลการสื่อสารเพื่อการเรียนการสอนของผู้สอนต่างรุ่นอายุในสถาบันอุดมศึกษาไทยกับข้อมูลเชิงประจักษ์ โดยเป็นงานวิจัยแบบผสมผสาน (Mixed method research) มีระเบียบวิธีวิจัย 2 ส่วน ได้แก่ 1) ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ เพื่อศึกษาความคิดเห็นของผู้เรียนเกี่ยวกับการสื่อสารเพื่อการเรียนการสอนของผู้สอนต่างรุ่นอายุในบริบทการสื่อสารเพื่อการเรียนการสอนในสถาบันอุดมศึกษาไทย โดยใช้วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลโดยการสนทนากลุ่ม จากนักศึกษาจากสถาบันอุดมศึกษาในประเทศไทยชั้นปีที่ 4 ที่มีอายุ 20 ปีขึ้นไปที่เคยเรียนกับอาจารย์ต่างรุ่นอายุ โดยกำหนดให้กลุ่มตัวอย่างในการศึกษาครั้งนี้มาจาก 3 กลุ่มสาขา คือ กลุ่มสาขาสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ จำนวน 6 คน กลุ่มสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จำนวน 6 คน และกลุ่มหลักสูตรอาชีวศึกษา จำนวน 6 คน รวมทั้งสิ้น 18 คน และใช้วิธีการสัมภาษณ์แบบเจาะลึกเพื่อเก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างที่เป็นอาจารย์ต่างรุ่นอายุจากมหาวิทยาลัยรัฐบาลและเอกชน โดยกำหนดให้กลุ่มตัวอย่างในการศึกษาครั้งนี้เป็นอาจารย์ประจำที่มีอายุงานไม่น้อยกว่า 10 ปี 2) ระเบียบวิธีวิจัยเชิงปริมาณ เพื่อการพัฒนาแบบจำลองปัจจัยเชิงสาเหตุที่ส่งผลต่อสัมฤทธิ์ผลการสื่อสารเพื่อการเรียนการสอนของผู้สอนต่างรุ่นอายุในสถาบันอุดมศึกษาไทย เลือกกลุ่มตัวอย่างที่เป็นนักศึกษาที่มีอายุ 20 ปีขึ้นไป จำนวน 195 คน ที่เคยเรียนกับผู้สอนต่างรุ่นทั้ง 3 รุ่นอายุ มาไม่น้อยกว่า 1 ปีการศึกษา และผู้สอนต้องมีอายุงานไม่น้อยกว่า 10 ปี ผลการวิจัยเชิงคุณภาพ พบว่า สัมฤทธิ์ผลการสื่อสารของผู้สอนต่างรุ่นอายุในบริบทการสื่อสารเพื่อการเรียนการสอนในสถาบันอุดมศึกษาไทย มีดังต่อไปนี้ 1) ความสามารถในการสื่อสาร 2) ความพึงพอใจในการสื่อสาร 3) การรับรู้ปัญหาการสื่อสารระหว่างคู่สื่อสาร 4) การตอบสนองของผู้เรียน ผลการวิจัยเชิงปริมาณ พบว่า แบบจำลองปัจจัยเชิงสาเหตุที่ส่งผลต่อสัมฤทธิ์ผลการสื่อสารเพื่อการเรียนการสอนของผู้สอนต่างรุ่นอายุในสถาบันอุดมศึกษาไทย มีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ทุกโมเดล อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05, 0.01 และ 0.001 โดยพิจารณาจากค่าดัชนีความสอดคล้องดังนี้ 1) โมเดลของผู้สอนเจเนอเรชันเบบี้บูมเมอร์ ได้แก่ Relative Chi-square = 2.093, GFI = 0.913, CFI = 0.968, NFI = 0.941, NNFI = 0.958, IFI = 0.969, RFI =0.923, RMR = 0.033 2) โมเดลของผู้สอนเจเนอเรชันเอ็กซ์ ได้แก่ Relative Chi-square = 2.236, GFI = 0.901, CFI = 0.962, NFI = 0.934, NNFI = 0.950, IFI = 0.963, RFI =0.913, RMR = 0.026 3) โมเดลของผู้สอนเจเนอเรชันวาย ได้แก่ Relative Chi-square = 1.688, GFI = 0.926, CFI = 0.976, NFI = 0.944, NNFI = 0.969, IFI = 0.976, RFI =0.928, RMR = 0.025 4) โมเดลของผู้สอนรวมทุกเจเนอเรชัน ได้แก่ Relative Chi-square = 2.171, GFI = 0.902, CFI = 0.967, NFI = 0.941, NNFI = 0.957, IFI = 0.968, RFI =0.923, RMR = 0.020 ซึ่งทุกโมเดลผ่านเกณฑ์ที่กำหนดทั้งสิ้น 8 ดัชนี จากทั้งหมด 11 ดัชนี โดยการวิเคราะห์ค่าอิทธิพลมีดังต่อไปนี้ 1) โมเดลของผู้สอนเจเนอเรชันเบบี้บูมเมอร์ พบว่า ความสามารถในการสื่อสารมีอิทธิพลทางตรงเชิงบวกกับความพึงพอใจในการสื่อสาร โดยมีค่าสัมประสิทธิ์เส้นทาง 0.896 ความพึงพอใจในการสื่อสารมีอิทธิพลทางตรงเชิงบวกกับการตอบสนองต่อการสื่อสาร โดยมีค่าสัมประสิทธิ์เส้นทาง 0.762 และ การรับรู้ปัญหาในการสื่อสารมีอิทธิพลทางตรงเชิงบวกกับความพึงพอใจในการสื่อสาร โดยมีค่าสัมประสิทธิ์เส้นทาง 0.113 2) โมเดลของผู้สอนเจเนอเรชันเอ็กซ์ พบว่า ความสามารถในการสื่อสารมีอิทธิพลทางตรงเชิงบวกกับความพึงพอใจในการสื่อสาร โดยมีค่าสัมประสิทธิ์เส้นทาง 0.908 และ ความสามารถในการสื่อสารมีอิทธิพลทางตรงเชิงบวกกับการตอบสนองต่อการสื่อสาร โดยมีค่าสัมประสิทธิ์เส้นทาง 0.578 3) โมเดลของผู้สอนเจเนอเรชันวาย พบว่า ความสามารถในการสื่อสารมีอิทธิพลทางตรงเชิงบวกกับความพึงพอใจในการสื่อสาร โดยมีค่าสัมประสิทธิ์เส้นทาง 0.880 และ ความพึงพอใจในการสื่อสารมีอิทธิพลทางตรงเชิงบวกกับการตอบสนองต่อการสื่อสาร โดยมีค่าสัมประสิทธิ์เส้นทาง 0.506 4) โมเดลของผู้สอนรวมทุกเจเนอเรชัน พบว่า ความสามารถในการสื่อสารมีอิทธิพลทางตรงเชิงบวกกับความพึงพอใจในการสื่อสาร โดยมีค่าสัมประสิทธิ์เส้นทาง 0.901 และ ความพึงพอใจในการสื่อสาร มีอิทธิพลทางตรงเชิงบวกกับการตอบสนองต่อการสื่อสาร โดยมีค่าสัมประสิทธิ์เส้นทาง 0.544 ทั้งนี้ ตัวแปรการรับรู้ความสามารถในการสื่อสารมีค่าอิทธิพลโดยรวมสูงสุดต่อความพึงพอใจในการสื่อสารในทุกโมเดล
งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ได้แก่ 1) เพื่อศึกษาการรับรู้ความสามารถในการสื่อสาร ความพึงพอใจในการสื่อสาร การรับรู้ปัญหาการสื่อสาร และการตอบสนองของผู้เรียนที่มีต่อผู้สอนต่างรุ่นอายุในสถาบันอุดมศึกษาไทย 2) เพื่อพัฒนาแบบจำลองปัจจัยเชิงสาเหตุที่ส่งผลต่อสัมฤทธิ์ผลการสื่อสารเพื่อการเรียนการสอนของผู้สอนต่างรุ่นอายุในสถาบันอุดมศึกษาไทย 3) เพื่อตรวจสอบความสอดคล้องของแบบจำลองปัจจัยเชิงสาเหตุที่ส่งผลต่อสัมฤทธิ์ผลการสื่อสารเพื่อการเรียนการสอนของผู้สอนต่างรุ่นอายุในสถาบันอุดมศึกษาไทยกับข้อมูลเชิงประจักษ์ โดยเป็นงานวิจัยแบบผสมผสาน (Mixed method research) มีระเบียบวิธีวิจัย 2 ส่วน ได้แก่ 1) ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ เพื่อศึกษาความคิดเห็นของผู้เรียนเกี่ยวกับการสื่อสารเพื่อการเรียนการสอนของผู้สอนต่างรุ่นอายุในบริบทการสื่อสารเพื่อการเรียนการสอนในสถาบันอุดมศึกษาไทย โดยใช้วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลโดยการสนทนากลุ่ม จากนักศึกษาจากสถาบันอุดมศึกษาในประเทศไทยชั้นปีที่ 4 ที่มีอายุ 20 ปีขึ้นไปที่เคยเรียนกับอาจารย์ต่างรุ่นอายุ โดยกำหนดให้กลุ่มตัวอย่างในการศึกษาครั้งนี้มาจาก 3 กลุ่มสาขา คือ กลุ่มสาขาสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ จำนวน 6 คน กลุ่มสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จำนวน 6 คน และกลุ่มหลักสูตรอาชีวศึกษา จำนวน 6 คน รวมทั้งสิ้น 18 คน และใช้วิธีการสัมภาษณ์แบบเจาะลึกเพื่อเก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างที่เป็นอาจารย์ต่างรุ่นอายุจากมหาวิทยาลัยรัฐบาลและเอกชน โดยกำหนดให้กลุ่มตัวอย่างในการศึกษาครั้งนี้เป็นอาจารย์ประจำที่มีอายุงานไม่น้อยกว่า 10 ปี 2) ระเบียบวิธีวิจัยเชิงปริมาณ เพื่อการพัฒนาแบบจำลองปัจจัยเชิงสาเหตุที่ส่งผลต่อสัมฤทธิ์ผลการสื่อสารเพื่อการเรียนการสอนของผู้สอนต่างรุ่นอายุในสถาบันอุดมศึกษาไทย เลือกกลุ่มตัวอย่างที่เป็นนักศึกษาที่มีอายุ 20 ปีขึ้นไป จำนวน 195 คน ที่เคยเรียนกับผู้สอนต่างรุ่นทั้ง 3 รุ่นอายุ มาไม่น้อยกว่า 1 ปีการศึกษา และผู้สอนต้องมีอายุงานไม่น้อยกว่า 10 ปี ผลการวิจัยเชิงคุณภาพ พบว่า สัมฤทธิ์ผลการสื่อสารของผู้สอนต่างรุ่นอายุในบริบทการสื่อสารเพื่อการเรียนการสอนในสถาบันอุดมศึกษาไทย มีดังต่อไปนี้ 1) ความสามารถในการสื่อสาร 2) ความพึงพอใจในการสื่อสาร 3) การรับรู้ปัญหาการสื่อสารระหว่างคู่สื่อสาร 4) การตอบสนองของผู้เรียน ผลการวิจัยเชิงปริมาณ พบว่า แบบจำลองปัจจัยเชิงสาเหตุที่ส่งผลต่อสัมฤทธิ์ผลการสื่อสารเพื่อการเรียนการสอนของผู้สอนต่างรุ่นอายุในสถาบันอุดมศึกษาไทย มีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ทุกโมเดล อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05, 0.01 และ 0.001 โดยพิจารณาจากค่าดัชนีความสอดคล้องดังนี้ 1) โมเดลของผู้สอนเจเนอเรชันเบบี้บูมเมอร์ ได้แก่ Relative Chi-square = 2.093, GFI = 0.913, CFI = 0.968, NFI = 0.941, NNFI = 0.958, IFI = 0.969, RFI =0.923, RMR = 0.033 2) โมเดลของผู้สอนเจเนอเรชันเอ็กซ์ ได้แก่ Relative Chi-square = 2.236, GFI = 0.901, CFI = 0.962, NFI = 0.934, NNFI = 0.950, IFI = 0.963, RFI =0.913, RMR = 0.026 3) โมเดลของผู้สอนเจเนอเรชันวาย ได้แก่ Relative Chi-square = 1.688, GFI = 0.926, CFI = 0.976, NFI = 0.944, NNFI = 0.969, IFI = 0.976, RFI =0.928, RMR = 0.025 4) โมเดลของผู้สอนรวมทุกเจเนอเรชัน ได้แก่ Relative Chi-square = 2.171, GFI = 0.902, CFI = 0.967, NFI = 0.941, NNFI = 0.957, IFI = 0.968, RFI =0.923, RMR = 0.020 ซึ่งทุกโมเดลผ่านเกณฑ์ที่กำหนดทั้งสิ้น 8 ดัชนี จากทั้งหมด 11 ดัชนี โดยการวิเคราะห์ค่าอิทธิพลมีดังต่อไปนี้ 1) โมเดลของผู้สอนเจเนอเรชันเบบี้บูมเมอร์ พบว่า ความสามารถในการสื่อสารมีอิทธิพลทางตรงเชิงบวกกับความพึงพอใจในการสื่อสาร โดยมีค่าสัมประสิทธิ์เส้นทาง 0.896 ความพึงพอใจในการสื่อสารมีอิทธิพลทางตรงเชิงบวกกับการตอบสนองต่อการสื่อสาร โดยมีค่าสัมประสิทธิ์เส้นทาง 0.762 และ การรับรู้ปัญหาในการสื่อสารมีอิทธิพลทางตรงเชิงบวกกับความพึงพอใจในการสื่อสาร โดยมีค่าสัมประสิทธิ์เส้นทาง 0.113 2) โมเดลของผู้สอนเจเนอเรชันเอ็กซ์ พบว่า ความสามารถในการสื่อสารมีอิทธิพลทางตรงเชิงบวกกับความพึงพอใจในการสื่อสาร โดยมีค่าสัมประสิทธิ์เส้นทาง 0.908 และ ความสามารถในการสื่อสารมีอิทธิพลทางตรงเชิงบวกกับการตอบสนองต่อการสื่อสาร โดยมีค่าสัมประสิทธิ์เส้นทาง 0.578 3) โมเดลของผู้สอนเจเนอเรชันวาย พบว่า ความสามารถในการสื่อสารมีอิทธิพลทางตรงเชิงบวกกับความพึงพอใจในการสื่อสาร โดยมีค่าสัมประสิทธิ์เส้นทาง 0.880 และ ความพึงพอใจในการสื่อสารมีอิทธิพลทางตรงเชิงบวกกับการตอบสนองต่อการสื่อสาร โดยมีค่าสัมประสิทธิ์เส้นทาง 0.506 4) โมเดลของผู้สอนรวมทุกเจเนอเรชัน พบว่า ความสามารถในการสื่อสารมีอิทธิพลทางตรงเชิงบวกกับความพึงพอใจในการสื่อสาร โดยมีค่าสัมประสิทธิ์เส้นทาง 0.901 และ ความพึงพอใจในการสื่อสาร มีอิทธิพลทางตรงเชิงบวกกับการตอบสนองต่อการสื่อสาร โดยมีค่าสัมประสิทธิ์เส้นทาง 0.544 ทั้งนี้ ตัวแปรการรับรู้ความสามารถในการสื่อสารมีค่าอิทธิพลโดยรวมสูงสุดต่อความพึงพอใจในการสื่อสารในทุกโมเดล