การบริหารจัดการศาสนสมบัติของวัดในพระพุทธศาสนา : ศึกษาเฉพาะกรณีเงินบริจาค
Publisher
Issued Date
2014
Issued Date (B.E.)
2557
Available Date
Copyright Date
Resource Type
Series
Edition
Language
tha
File Type
application/pdf
No. of Pages/File Size
152 แผ่น
ISBN
ISSN
eISSN
Other identifier(s)
b190069
Identifier(s)
Access Rights
Access Status
Rights
ผลงานนี้เผยแพร่ภายใต้ สัญญาอนุญาตครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 4.0 (CC BY-NC-ND 4.0)
Rights Holder(s)
Physical Location
สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์. สำนักบรรณสารการพัฒนา
Bibliographic Citation
Citation
กฤติน จันทร์สนธิมา (2014). การบริหารจัดการศาสนสมบัติของวัดในพระพุทธศาสนา : ศึกษาเฉพาะกรณีเงินบริจาค. Retrieved from: http://repository.nida.ac.th/handle/662723737/4115.
Title
การบริหารจัดการศาสนสมบัติของวัดในพระพุทธศาสนา : ศึกษาเฉพาะกรณีเงินบริจาค
Alternative Title(s)
Administration of Religious property of the Buddhist temple: study on financial donation
Author(s)
Advisor(s)
Editor(s)
item.page.dc.contrubutor.advisor
Advisor's email
Contributor(s)
Contributor(s)
Abstract
วัดในพระพุทธศาสนาเป็นองค์กรที่จัดตั้งขึ้นโดยไม่แสวงหาผลกาไร มีเงินหมุนเวียนอยู่ในระบบจำนวนมาก โดยมีเงินหมุนเวียนในรูปแบบของรายได้และรายจ่ายของระบบวัดอยู่ประมาณ100,000-120,000 ล้านบาทต่อปี จากวัดที่มีพระภิกษุสงฆ์รวมทั้งสิ้น 37,075 วัด (ข้อมูล ณ วันที่31 ธันวาคม 2553) รายรับรวมโดยเฉลี่ยของวัดเท่ากับ 3,235,692 บาทต่อปี ส่วนมากจะมาจากเงินบริจาคเพื่อวัตถุประสงค์เฉพาะด้าน เช่น งานซ่อมแซม โบสถ์หรือศาสนสถานอื่นๆ อีกทั้งวัดทั้งในกรุงเทพมหานครและวัดในภูมิภาคจะมีแหล่งรายรับสาคัญที่มาจากการบริจาคทาบุญมากที่สุดดังนั้น เงินบริจาคจึงเป็นรายรับสาคัญของพระศาสนาที่มีรายรับหมุนเวียนอยู่ตลอดเวลาและมีจำนวนมากมายมหาศาลที่จะต้องบริหารจัดการให้เป็นไปเพื่อประโยชน์ของพระศาสนาโดยแท้ แต่ปรากฏว่าปัญหาเรื่องเงินบริจาคของวัดรั่วไหล พระสงฆ์ทาการทุจริตยักยอกเงินวัดยังปรากฏให้เห็นทางสื่อต่างๆ อยู่เสมอ ทาให้ประชาชนเกิดความเศร้าหมองและหดหู่เป็นอย่างยิ่ง จึงเป็นปัญหาที่สมควรได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน เพื่อนาไปสู่การบริหารจัดการที่ดียิ่งขึ้นและมั่นคงยั่งยืนต่อไป
วิทยานิพนธ์นี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการบริหารจัดการเงินบริจาคของศาสนาต่างๆ ได้แก่ศาสนาคริสต์ ศาสนาอิสลามและศาสนาพุทธ โดยการนามาศึกษาวิเคราะห์เพื่อสร้างแนวทางในการพัฒนาระบบและหลักเกณฑ์การบริหารจัดการเงินบริจาคของวัดในศาสนาพุทธที่มีความสอดคล้องกับหลักธรรมาภิบาล ทั้งนี้ เพื่อให้มีความโปร่งใส ตรวจสอบได้มากยิ่งขึ้น จากการศึกษาพบว่า ทั้งศาสนาคริสต์และศาสนาอิสลามมีหลักเกณฑ์การบริหารจัดการเงินบริจาคของคริสตจักรท้องถิ่นหรือโบสถ์และมัสยิดอย่างเป็นระบบ มีการแบ่งส่วนงานชัดเจนและมีการบริหารจัดการในรูปแบบของคณะกรรมการที่ประกอบด้วยบุคคลหลายฝ่าย ศาสนาคริสต์จะให้ความสาคัญเป็นพิเศษกับการบริหารจัดการที่โปร่งใส โดยมีการรายงานสถานะทางการเงินให้ประชาชนทั่วไปรับทราบเป็นประจำอย่างต่อเนื่อง แต่ในขณะที่อำนาจหน้าที่โดยทั่วไปในการบริหารจัดการของศาสนาพุทธมักขึ้นอยู่กับเจ้าอาวาส โดยมีกฎกระทรวง ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2511) กาหนดรายละเอียดในการบริหารจัดการไว้อย่างกว้างๆ เท่านั้น
ดังนั้น เพื่อให้เป็นไปตามหลักนิติธรรม หลักโปร่งใส หลักการมีส่วนร่วมและหลักความรับผิดชอบ จึงเห็นควรเสนอให้มีการพัฒนาระบบและหลักเกณฑ์การบริหารจัดการโดยใช้มาตราการทางกฎหมาย กล่าวคือ การปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวง ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2511) ในเรื่องของการปรับปรุงโครงสร้างและจำนวนของคณะกรรมการ คุณสมบัติและลักษณะต้องห้าม อำนาจหน้าที่การแต่งตั้งและการพ้นจากตาแหน่ง วาระการดารงตาแหน่ง วาระการประชุมของคณะกรรมการวัด และแก้ไขเพิ่มเติมอำนาจหน้าที่ของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติในเรื่องการติดตามตรวจสอบและให้คาแนะนาเกี่ยวกับการเงินของวัดไว้ในกฎกระทรวง แบ่งส่วนราชการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ พ.ศ. 2545 และเสนอมาตราการเชิงนโยบายเพื่อให้การปฏิบัติตามกฎหมายดังกล่าวบรรลุผลดียิ่งขึ้น โดยให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติให้ความรู้และแนะนาหลักเกณฑ์การบริหารและจัดทาบัญชีการเงินแก่วัดและให้วัดทุกแห่งปฏิบัติตามกฎกระทรวง ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2511) โดยรายงานข้อมูลทางการเงินวัดให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ สาธารณชนและเจ้าคณะผู้ปกครองสงฆ์ตามลาดับชั้นทราบเป็นประจำอย่างต่อเนื่อง
วิทยานิพนธ์นี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการบริหารจัดการเงินบริจาคของศาสนาต่างๆ ได้แก่ศาสนาคริสต์ ศาสนาอิสลามและศาสนาพุทธ โดยการนามาศึกษาวิเคราะห์เพื่อสร้างแนวทางในการพัฒนาระบบและหลักเกณฑ์การบริหารจัดการเงินบริจาคของวัดในศาสนาพุทธที่มีความสอดคล้องกับหลักธรรมาภิบาล ทั้งนี้ เพื่อให้มีความโปร่งใส ตรวจสอบได้มากยิ่งขึ้น จากการศึกษาพบว่า ทั้งศาสนาคริสต์และศาสนาอิสลามมีหลักเกณฑ์การบริหารจัดการเงินบริจาคของคริสตจักรท้องถิ่นหรือโบสถ์และมัสยิดอย่างเป็นระบบ มีการแบ่งส่วนงานชัดเจนและมีการบริหารจัดการในรูปแบบของคณะกรรมการที่ประกอบด้วยบุคคลหลายฝ่าย ศาสนาคริสต์จะให้ความสาคัญเป็นพิเศษกับการบริหารจัดการที่โปร่งใส โดยมีการรายงานสถานะทางการเงินให้ประชาชนทั่วไปรับทราบเป็นประจำอย่างต่อเนื่อง แต่ในขณะที่อำนาจหน้าที่โดยทั่วไปในการบริหารจัดการของศาสนาพุทธมักขึ้นอยู่กับเจ้าอาวาส โดยมีกฎกระทรวง ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2511) กาหนดรายละเอียดในการบริหารจัดการไว้อย่างกว้างๆ เท่านั้น
ดังนั้น เพื่อให้เป็นไปตามหลักนิติธรรม หลักโปร่งใส หลักการมีส่วนร่วมและหลักความรับผิดชอบ จึงเห็นควรเสนอให้มีการพัฒนาระบบและหลักเกณฑ์การบริหารจัดการโดยใช้มาตราการทางกฎหมาย กล่าวคือ การปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวง ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2511) ในเรื่องของการปรับปรุงโครงสร้างและจำนวนของคณะกรรมการ คุณสมบัติและลักษณะต้องห้าม อำนาจหน้าที่การแต่งตั้งและการพ้นจากตาแหน่ง วาระการดารงตาแหน่ง วาระการประชุมของคณะกรรมการวัด และแก้ไขเพิ่มเติมอำนาจหน้าที่ของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติในเรื่องการติดตามตรวจสอบและให้คาแนะนาเกี่ยวกับการเงินของวัดไว้ในกฎกระทรวง แบ่งส่วนราชการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ พ.ศ. 2545 และเสนอมาตราการเชิงนโยบายเพื่อให้การปฏิบัติตามกฎหมายดังกล่าวบรรลุผลดียิ่งขึ้น โดยให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติให้ความรู้และแนะนาหลักเกณฑ์การบริหารและจัดทาบัญชีการเงินแก่วัดและให้วัดทุกแห่งปฏิบัติตามกฎกระทรวง ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2511) โดยรายงานข้อมูลทางการเงินวัดให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ สาธารณชนและเจ้าคณะผู้ปกครองสงฆ์ตามลาดับชั้นทราบเป็นประจำอย่างต่อเนื่อง
Table of contents
Description
วิทยานิพนธ์ (น.ม.) -- สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2557