กฎหมายแรงงานในส่วนที่ไม่เป็นธรรมต่อนายจ้าง
Files
Publisher
Issued Date
2015
Available Date
Copyright Date
Resource Type
Series
Edition
Language
tha
File Type
application/pdf
No. of Pages/File Size
145 แผ่น
ISBN
ISSN
eISSN
DOI
Other identifier(s)
b190057
Identifier(s)
Access Rights
Access Status
Rights
ผลงานนี้เผยแพร่ภายใต้ สัญญาอนุญาตครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 4.0 (CC BY-NC-ND 4.0)
Rights Holder(s)
Physical Location
สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์. สำนักบรรณสารการพัฒนา
Bibliographic Citation
Citation
ฉันท์ชนก คงเฉลิมนนท์ (2015). กฎหมายแรงงานในส่วนที่ไม่เป็นธรรมต่อนายจ้าง. Retrieved from: http://repository.nida.ac.th/handle/662723737/4254.
Title
กฎหมายแรงงานในส่วนที่ไม่เป็นธรรมต่อนายจ้าง
Alternative Title(s)
Unfair terms of labour laws toward the employer
Author(s)
Editor(s)
Advisor(s)
Advisor's email
Contributor(s)
Contributor(s)
Abstract
การศึกษาเรื่องนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. เพื่อศึกษาความเป็นมาและบทบัญญัติของกฎหมาย
แรงงานในส่วนที่ไม่เป็นธรรมต่อนายจ้างว่าเป็นเช่นไร และ 2. เพื่อหาแนวทางในการปรับปรุง
บทบัญญัติของกฎหมายแรงงานให้เกิดความเป็นธรรมต่อนายจ้างเพิ่มขึ้น โดยศึกษาเปรียบเทียบ
กฎหมายประเทศต่างประเทศ
โดยมีขอบเขตในการศึกษา ดั่งต่อไปนี้ 1. บทบัญญัติให้ความคุ้มครองแก่ลูกจ้างเรื่องการหยุดกิจการ ชั่วคราว 2. การบอกกล่าวล่วงหน้าในสัญญาจ้าง ในพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2551 และ 3. การนัดหยุดงานในพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 ได้ให้ความคุ้มครองแก่ลูกจ้างมาก เกินควร จนเกิดความไม่เป็นธรรมแก่นายจ้าง
วิธีการศึกษาแบ่งเป็น 2 ส่วน ส่วนแรก ศึกษาวิวัฒนาการ แนวคิดของกฎหมายแรงงานและ บทบัญญัติในส่วนที่ไม่เป็นธรรมของนายจ้างในกฎหมายแรงงาน ส่วนที่สองศึกษาเปรียบเทียบ กฎหมายแรงงานของต่างประเทศในเรื่อง 1. จำนวนเงินที่นายจ้างต้องจ่ายให้ลูกจ้างในช่วงที่หยุด กิจการชั่วคราวว่าได้มีการกำหนดจำนวนเงินที่นายจ้างต้องจ่ายในช่วงที่หยุดกิจการชั่วคราวเป็น จำนวนเท่าใด 2. การบอกกล่าวล่วงหน้าในสัญญาจ้างแรงงานว่ามีข้อกำหนดที่แตกต่างของ กฎหมายไทยเช็นไรบ้าง และ 3. การนัดหยุดงานของลูกจ้างว่ามีข้อกำหนดที่แตกต่างจากของกฎหมาย ไทยเช่นไรบ้าง
จากการศึกษากฎหมายต่างประเทศพบว่า 1. กฎหมายแรงงานของประเทศญี่ปุ่นได้บัญญัติถึง จำนวนเงินที่นายจ้างต้องจ่ายให้กับลูกจ้างในช่วงที่หยุดกิจการชั่วคราวเป็นจำนวนร้อยละ 60 น้อยกว่า ที่กฎหมายไทยได้บัญญัติไว้ที่ร้อยละ 75 ที่เป็นจำนวนที่สูงเกินไป เนื่องจากระหว่างที่นายจ้างหยุด กิจการชั่วคราว ลูกจ้างไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปทำงานและยังสามารถไปทำงานที่อื่นได้ใน ช่วงเวลาดังกล่าว จึงน่าจะแก้ไขจำนวนเงินที่นายจ้างต้องจ่ายในช่วงหยุดกิจการชั่วคราวเป็นร้อยละ 60 เช่นเดียวกับกฎหมายญี่ปุ่นที่เป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว 2. ในการบอกกล่าวล่วงหน้ากฎหมาย แรงงานของประเทศญี่ปุ่นและประเทศสหรัฐอเมริกาได้มีบัญญัติถึงข้อยกเว้นที่นายจ้างจะบอกกล่าวล่วงหน้าน้อยกว่าที่กฎหมายบัญญัติไว้ก็ได้เมื่อมีเหตุสุดวิสัยขึ้น ซึ่งเป็นหนทางในการช่วยเหลือนายจ้าง ทางหนึ่ง บทบัญญัติของกฎหมายไทยจึงควรเพิ่มข้อยกเว้นที่นายจ้างสามารถบอกกล่าวล่วงหน้าได้ น้อยกว่าที่กฎหมายบัญญัติไว้เมื่อเกิดเหตุสุดวิสัยขึ้นเช่นเดียวกับที่กฎหมายแรงงานประเทศญี่ปุ่นได้ บัญญัติไว้ 3. การนัดหยุดงานไม่มีมาตรการในการแก้ไขเมื่อลูกจ้างนัดหยุดงานเป็นระยะเวลานาน เช่นเดียวกับกฎหมายแรงงานไทย เนื่องจากหากมีการหยุดงานเป็นระยะเวลานาน ความเสียหายที่ เกิดขึ้นย่อมมากตามไปด้วย ซึ่งไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้ในกรณีเช่นนี้ การให้พนักงานตรวจแรงงานที่ เป็นผู้ใกล้ชิดกับนายจ้างและลูกจ้างเป็นผู้พิจารณาว่าการนัดหยุดงานที่เกิดขึ้นนานเกินไปหรือม่เพื่อ นำนายจ้างและลูกจ้างเข้าสู่การตัดสินข้อพิพาททางแรงงานที่ผูกพันทั้งสองฝ่ายให้ต้องปฏิบัติตามโดย คณะกรรมการแรงงานกลางที่เป็นไตรภาคี เพื่อลดความเสียหายที่จะเกิดขึ้นให้น้อยลง
โดยมีขอบเขตในการศึกษา ดั่งต่อไปนี้ 1. บทบัญญัติให้ความคุ้มครองแก่ลูกจ้างเรื่องการหยุดกิจการ ชั่วคราว 2. การบอกกล่าวล่วงหน้าในสัญญาจ้าง ในพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2551 และ 3. การนัดหยุดงานในพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 ได้ให้ความคุ้มครองแก่ลูกจ้างมาก เกินควร จนเกิดความไม่เป็นธรรมแก่นายจ้าง
วิธีการศึกษาแบ่งเป็น 2 ส่วน ส่วนแรก ศึกษาวิวัฒนาการ แนวคิดของกฎหมายแรงงานและ บทบัญญัติในส่วนที่ไม่เป็นธรรมของนายจ้างในกฎหมายแรงงาน ส่วนที่สองศึกษาเปรียบเทียบ กฎหมายแรงงานของต่างประเทศในเรื่อง 1. จำนวนเงินที่นายจ้างต้องจ่ายให้ลูกจ้างในช่วงที่หยุด กิจการชั่วคราวว่าได้มีการกำหนดจำนวนเงินที่นายจ้างต้องจ่ายในช่วงที่หยุดกิจการชั่วคราวเป็น จำนวนเท่าใด 2. การบอกกล่าวล่วงหน้าในสัญญาจ้างแรงงานว่ามีข้อกำหนดที่แตกต่างของ กฎหมายไทยเช็นไรบ้าง และ 3. การนัดหยุดงานของลูกจ้างว่ามีข้อกำหนดที่แตกต่างจากของกฎหมาย ไทยเช่นไรบ้าง
จากการศึกษากฎหมายต่างประเทศพบว่า 1. กฎหมายแรงงานของประเทศญี่ปุ่นได้บัญญัติถึง จำนวนเงินที่นายจ้างต้องจ่ายให้กับลูกจ้างในช่วงที่หยุดกิจการชั่วคราวเป็นจำนวนร้อยละ 60 น้อยกว่า ที่กฎหมายไทยได้บัญญัติไว้ที่ร้อยละ 75 ที่เป็นจำนวนที่สูงเกินไป เนื่องจากระหว่างที่นายจ้างหยุด กิจการชั่วคราว ลูกจ้างไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปทำงานและยังสามารถไปทำงานที่อื่นได้ใน ช่วงเวลาดังกล่าว จึงน่าจะแก้ไขจำนวนเงินที่นายจ้างต้องจ่ายในช่วงหยุดกิจการชั่วคราวเป็นร้อยละ 60 เช่นเดียวกับกฎหมายญี่ปุ่นที่เป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว 2. ในการบอกกล่าวล่วงหน้ากฎหมาย แรงงานของประเทศญี่ปุ่นและประเทศสหรัฐอเมริกาได้มีบัญญัติถึงข้อยกเว้นที่นายจ้างจะบอกกล่าวล่วงหน้าน้อยกว่าที่กฎหมายบัญญัติไว้ก็ได้เมื่อมีเหตุสุดวิสัยขึ้น ซึ่งเป็นหนทางในการช่วยเหลือนายจ้าง ทางหนึ่ง บทบัญญัติของกฎหมายไทยจึงควรเพิ่มข้อยกเว้นที่นายจ้างสามารถบอกกล่าวล่วงหน้าได้ น้อยกว่าที่กฎหมายบัญญัติไว้เมื่อเกิดเหตุสุดวิสัยขึ้นเช่นเดียวกับที่กฎหมายแรงงานประเทศญี่ปุ่นได้ บัญญัติไว้ 3. การนัดหยุดงานไม่มีมาตรการในการแก้ไขเมื่อลูกจ้างนัดหยุดงานเป็นระยะเวลานาน เช่นเดียวกับกฎหมายแรงงานไทย เนื่องจากหากมีการหยุดงานเป็นระยะเวลานาน ความเสียหายที่ เกิดขึ้นย่อมมากตามไปด้วย ซึ่งไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้ในกรณีเช่นนี้ การให้พนักงานตรวจแรงงานที่ เป็นผู้ใกล้ชิดกับนายจ้างและลูกจ้างเป็นผู้พิจารณาว่าการนัดหยุดงานที่เกิดขึ้นนานเกินไปหรือม่เพื่อ นำนายจ้างและลูกจ้างเข้าสู่การตัดสินข้อพิพาททางแรงงานที่ผูกพันทั้งสองฝ่ายให้ต้องปฏิบัติตามโดย คณะกรรมการแรงงานกลางที่เป็นไตรภาคี เพื่อลดความเสียหายที่จะเกิดขึ้นให้น้อยลง
Table of contents
Description
วิทยานิพนธ์ (น.ม.)--สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2558