Show simple item record

dc.contributor.advisorประพนธ์ สหพัฒนาth
dc.contributor.authorอภิมุข สดมพฤกษ์th
dc.date.accessioned2019-10-30T09:17:13Z
dc.date.available2019-10-30T09:17:13Z
dc.date.issued2015th
dc.identifier.otherb191046th
dc.identifier.urihttp://repository.nida.ac.th/handle/662723737/4654th
dc.descriptionวิทยานิพนธ์ (รป.ม.)--สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2558th
dc.description.abstractการศึกษาวิจัยครั้งนี้เป็นการศึกษาถึงกระบวนการตีตราทางสังคมที่ทาให้บุคคลกลายเป็น ผีปอบ โดยมีวัตถุประสงค์การวิจัยคือ 1) เพื่อศึกษาเกี่ยวกับกระบวนการและผลของการตีตราทางสังคมที่ทำให้บุคคลกลายเป็นผีปอบรวมไปถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อสังคมในด้านต่างๆ และ 2) เพื่อศึกษาถึงแนวทางแก้ไขปัญหา และป้องกันไม่ให้เกิดการกล่าวหาบุคคลว่าเป็นผีปอบจากคนในสังคมเพื่อนำผลการศึกษาวิจัยไปพัฒนาเป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหาเรื่องผีปอบ และเป็นแนวทางป้องกันการกล่าวหาให้บุคคลกลายเป็นผีปอบท้องที่ต่างๆ รวมทั้งการนำองค์ความรู้ที่ได้ไปเผยแพร่ต่อคนในสังคมให้มีความเข้าใจต่อการตีตราทางสังคมที่ทำให้บุคคลกลายเป็นผีปอบได้th
dc.description.abstractในการศึกษาครั้งนี้เป็นการศึกษาวิจัยศึกษาวิจัยเชิงสำรวจ (Survey Research) โดยศึกษากลุ่มตัวอย่างจำนวนทั้งสิ้น 401 คน ซึ่งมาจากพื้นที่ที่เคยเกิดเหตุการณ์เรื่องผีปอบจำนวน 6 หมู่บ้านในภาคอีสาน ซึ่งจำแนกบุคคลได้ 3 กลุ่มได้แก่ 1) คนที่เคยถูกเชื่อว่าเป็นผีปอบและญาติพี่น้อง 2) ผู้นำชุมชน และ 3) ชาวบ้านในหมู่บ้านทั้ง 6 หมู่บ้านth
dc.description.abstractงานวิจัยครั้งนี้ได้แยกการวิเคราะห์ข้อมูลออกเป็น 2 ส่วน คือ 1) การวิเคราะห์เชิงคุณภาพเป็นการวิเคราะห์เกี่ยวกับกระบวนการตีตราทางสังคมที่ทาให้บุคคลกลายเป็นผีปอบตาม แนวทางแก้ไขปัญหาที่ถูกนำมาใช้แนวทางการป้องกันการกล่าวหาบุคคลให้กลายเป็นผีปอบ และผลกระทบที่มีผลต่อสังคม ซึ่งเป็นการสัมภาษณ์แบบกึ่งมีโครงสร้างจากบุคคลจำนวน 23 คนโดยใช้การวิเคราะห์ในเชิงพรรณนา (Description Analysis) เพื่อประกอบการอธิบาย และ 2) การวิเคราะห์เชิงปริมาณเป็นการวิเคราะห์ถึงเจตคติของคนในสังคมเพื่อทดสอบและยืนยันในข้อมูลเชิงคุณภาพ ซึ่งข้อมูลส่วนนี้มาจากการทำแบบสอบถามของบุคคลจำนวน 378 คน ใน 6 หมู่บ้าน โดยใช้สถิติในการวิเคราะห์ คือค่าความถี่ และค่าร้อยละ เพื่อประกอบการอธิบายth
dc.description.abstractผลการศึกษาพบว่าการกลายเป็นผีปอบของบุคคลที่เกิดมาจากกระบวนการตีตราทางสังคมเป็นกลไกสำคัญ ซึ่งมี 3 ขั้นตอน คือ 1) พฤติกรรมเบี่ยงเบนเริ่มต้น เป็นการกำหนดสถานะทางสังคมให้บุคคลเป็นผู้ต้องสงสัยในการเป็นผีปอบ ซึ่งเป็นผลมาจากคนที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นผีปอบเองหรือมาจากสังคมเป็นผู้กำหนดให้ก็ได้ 2) กระบวนการตีตราทางสังคม เป็นวิธีการที่คนในสังคมใช้กระทำเพื่อควบคุมพฤติกรรม ลงโทษ และกดดันต่อผู้ที่ถูกเชื่อว่าเป็นผีปอบ อีกทั้งยังเป็นสิ่งที่ทำให้ภาพของการเป็นผีปอบมีความชัดมากขึ้น 3) พฤติกรรมเปลี่ยนแปลงถาวรเป็นผลมาจากกระบวนการตีตราทางสังคมที่รุนแรงจนมีผลทำให้บุคคลเกิดความเปลี่ยนแปลงในด้านพฤติกรรม และอารมณ์จนมีความผิดปกติไปอย่างถาวรซึ่งรวมไปถึงพฤติกรรมที่แสดงออกถึงการยอมรับในการเป็นผีปอบอย่างชัดเขน หรือแม้จะไม่ยอมรับแต่ก็ไม่ได้ตอบโต้กลับด้วยวิธีการใดๆ จนถูกมองว่าเป็นอีกพฤติกรรมหนึ่งของคนที่เป็นผีปอบด้วยth
dc.description.abstractด้านการแก้ไขปัญหาพบว่ามีอยู่ 3 แนวทางสำคัญ ได้แก่ 1) แนวทางของสังคม เป็นวิธีการที่มาจากความเชื่อของคนในท้องถิ่นที่คิดว่าจะสามารถช่วยแก้ไขปัญหาเรื่องผีปอบได้ 2) แนวทางของบุคคลที่ถูกเชื่อว่าเป็นผีปอบที่ได้พยายามอธิบายตัวเองเพื่อสร้างความเข้าใจกับสังคมด้วยแนวทางต่างๆ ทั้งตามความเชื่อและการเรียกร้องขอความเป็นธรรมจากหน่วยงานอื่น 3) แนวทางของหน่วยงานราชการ เป็นการเข้ามาช่วยเหลือสังคมของหน่วยงานราชการเพื่อแก้ไขปัญหาเรื่องผีปอบควบคู่ไปกับสังคมโดยหวังที่ควบคุมระดับความรุนแรงของการตีตราและการลงโทษทางสังคมth
dc.description.abstractด้านผลกระทบพบว่ามีอยู่ 3 ด้านสาคัญคือ 1) ผลกระทบที่มีต่อทรัพย์สินเงินทองของชาวบ้าน ซึ่งต้องเสียไปกับกระบวนการแก้ไขปัญหาและการที่ต้องจ่ายเป็นค่าเสียหายแก่ผู้ถูกกล่าวหาว่าเป็นผีปอบเมื่อถูกฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายรวมทั้งค่าใช้จ่ายในการดำเนินการฟ้องร้องดาเนินคดี 2) ผลกระทบที่มีต่อการดาเนินชีวิตของคนที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นผีปอบ และคนในสังคมที่ถูกสังคมอื่นรังเกียจเพราะการมาจากสังคมที่มีผีปอบ และ 3) ผลกระทบที่มีต่อร่างกายของผู้ถูกกล่าวหาว่าเป็นผีปอบ ซึ่งเป็นผลมาจากการถูกสังคมตีตราด้วยวิธีการที่รุนแรงth
dc.description.abstractข้อเสนอแนะจากผลการศึกษา พบว่าการกลายเป็นผีปอบของบุคคลนั้น คนในสังคมมีส่วนสำคัญในการกาหนดให้เกิดขึ้นและผลกระทบที่ตามมาได้สร้างความเสียหายให้แก่ผู้ถูกเชื่อว่าเป็นผีปอบ คนในสังคม และชื่อเสียงของสังคมเป็นอย่างมาก ดังนั้นจึงไม่ควรไปกล่าวหาบุคคลใดว่าเป็นผีปอบ เพื่อป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้นตามมา และในการแก้ไขปัญหาชาวบ้านควรที่จะพิจารณาถึงความเหมาะสมในวิธีการที่นามาใช้ อีกทั้งควรเชิญหน่วยงานอื่นเข้ามาร่วมดำเนินการแก้ไขปัญหาไปพร้อมกัน เพื่อจะนำไปสู่การแก้ไขปัญหาอย่างยุติธรรมแก่ทั้งสองฝ่ายโดยสันติปราศจากความรุนแรงที่เข้าข่ายผิดกฎหมาย ไม่มีการละเมิดสิทธิมนุษยชนของบุคคลใด อีกทั้งยังเป็นการป้องกันบุคคลที่ไม่หวังดีนำเรื่องผีปอบเข้ามาหาแสวงหาประโยชน์ความเชื่อของชาวบ้านอีกด้วยth
dc.description.provenanceSubmitted by นักศึกษาฝึกงานมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ_2562 (บุษกร แก้วพิทักษ์คุณ) (budsak.a@nida.ac.th) on 2019-10-30T09:17:13Z No. of bitstreams: 1 b191046.pdf: 3596143 bytes, checksum: 45f47d2169d98ec347f0972b591bec42 (MD5)th
dc.description.provenanceMade available in DSpace on 2019-10-30T09:17:13Z (GMT). No. of bitstreams: 1 b191046.pdf: 3596143 bytes, checksum: 45f47d2169d98ec347f0972b591bec42 (MD5) Previous issue date: 2015th
dc.format.extent260th
dc.format.mimetypeapplication/pdfth
dc.language.isothath
dc.publisherสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์th
dc.rightsผลงานนี้เผยแพร่ภายใต้ สัญญาอนุญาตครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 4.0 (CC BY-NC-ND 4.0)th
dc.subject.otherความเชื่อ -- ตำนานth
dc.subject.otherการลงโทษth
dc.subject.otherผีth
dc.titleการศึกษากระบวนการตีตราทางสังคมที่ทำให้บุคคลกลายเป็นผีปอบth
dc.title.alternativeStudy of labeling process of society to individuals as "Ogres"th
dc.typeTextth
mods.genreวิทยานิพนธ์th
mods.physicalLocationสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์. สำนักบรรณสารการพัฒนาth
thesis.degree.nameรัฐประศาสนศาสตรมหาบัณฑิตth
thesis.degree.levelMaster'sth
thesis.degree.departmentคณะรัฐประศาสนศาสตร์th


Files in this item

Thumbnail

This item appears in the following Collection(s)

Show simple item record