GSPA: Theses
Permanent URI for this collectionhttps://repository.nida.ac.th/handle/662723737/48
Browse
Recent Submissions
Item การจัดการปกครองแบบร่วมมือกันหลายภาคส่วนของศูนย์รับแจ้งเหตุและสั่งการการแพทย์ฉุกเฉินจังหวัดสงขลา: การวิเคราะห์ที่มา แบบแผนความร่วมมือ และปัจจัยที่สนับสนุนให้เกิดความร่วมมือปฏิภาณ ศรีผล; อัชกรณ์ วงศ์ปรีดี (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2024)การศึกษาในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาที่มาของการให้บริการการแพทย์ฉุกเฉินของ ศูนย์รับแจ้งเหตุและสั่งการการแพทย์ฉุกเฉินจังหวัดสงขลา 2) ศึกษากลไกความร่วมมือรูปแบบ เครือข่ายในการให้บริการการแพทย์ฉุกเฉินของศูนย์รับแจ้งเหตุและสั่งการการแพทย์ฉุกเฉินจังหวัด สงขลา และ 3) ศึกษาปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดการจัดการปกครองสาธารณะแบบร่วมมือกันหลายภาคส่วน ในการให้บริการการแพทย์ฉุกเฉินของศูนย์รับแจ้งเหตุและสั่งการการแพทย์ฉุกเฉินจังหวัดสงขลา ผู้วิจัยได้ใช้การศึกษาวิจัยแบบผสมผสานเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณ (Mixed Methods Approach: Qualitative and Quantitative Research Design) โด ย เก็บ รว บ รวม ข้อ มูล จ าก เอกสาร การสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้ให้ข้อมูลหลักที่ดาเนินงานและบริหารจัดการการแพทย์ฉุกเฉิน จังหวัดสงขลา รวมทั้งเก็บข้อมูลด้วยแบบสอบถามกับกลุ่มตัวอย่างจานวน 107 ฉบับ ผลการศึกษา พบว่า 1) การให้บริการการแพทย์ฉุกเฉินมีที่มาจากหน้าที่ในการจัดบริการด้าน การแพทย์ฉุกเฉินกับประชาชนในพื้นที่ตามแนวทางการจัดการปกครองสาธารณะแนวใหม่ รวมทั้งเป็น ผลมาจากกระแสปัญหา กระแสการเมือง และกระแสนโยบายมาบรรจบกันในสภาพแวดล้อมที่ สนับสนุนและเกื้อหนุนให้เกิดการ บริการการแพทย์ฉุกเฉินในพื้นที่จังหวัดสงขลา โดยเฉพาะผู้บริหาร ท้องถิ่นที่มีวิสัยทัศน์การบริหารงานในรูปแบบ การเมืองนานโยบาย 2) การให้บริการการแพทย์ฉุกเฉิน ของศูนย์รับแจ้งเหตุและสั่งการการแพทย์ฉุกเฉินจังหวัดสงขลา มีกลไกหรือแบบแผนความร่วมมือ รูปแบบเครือข่ายที่ประกอบด้วย 7 องค์ประกอบ ได้แก่ (2.1) โครงสร้างเครือข่ายความร่วมมือ (2.2) ตัวแสดงหรือผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง (2.3) กระบวนการก่อตัวและการจัดความสัมพันธ์ระหว่างผู้มีบทบาท ริเริ่มขับเคลื่อนความร่วมมือ (2.4) การจัดแบ่งบทบาทหน้าที่และการปฏิสัมพันธ์ในกระบวนการสร้าง ความร่วมมือ (2.5) กิจกรรมในการขับเคลื่อนการสร้างความร่วมมือ (2.6) ทรัพยากรต่าง ๆ ที่เป็น ปัจจัยขับเคลื่อนกระบวนการสร้างความร่วมมือ และ (2.7) กระบวนการขยายเครือข่ายการให้บริการ การแพทย์ฉุกเฉิน ที่สนับสนุนให้การให้บริการการแพทย์ฉุกเฉินอยู่ในลักษณะเครือข่ายความร่วมมือ ดังกรณี คณะอนุกรรมการการแพทย์ฉุกเฉินจังหวัดสงขลาและเครือข่ายการแพทย์ฉุกเฉินจังหวัด สงขลา และ 3) ปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดการจัดการปกครองแบบร่วมมือกันหลายภาคส่วน ผลการศึกษา พบว่า ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความสาเร็จ อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .05 มีจานวน 5 ปัจจัย โดย เรียงลาดับจากปัจจัยที่มีอิทธิพลหรือความสัมพันธ์มากที่สุดไปหาปัจจัยที่มีอิทธิพลหรือความสัมพันธ์ น้อยสุด ได้แก่ ด้านการเห็นพ้องต้องกันในกระบวนการทางาน ด้านความเชื่อมั่นและไว้วางใจ ด้าน ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นระหว่างทางาน ด้านการสนทนาปรึกษาหารือกัน และด้านการมีความเข้าใจตรงกันItem การประเมินประสิทธิภาพการนำเข้าแรงงานต่างด้าวสัญชาติพม่า กรณีศึกษา การเปรียบเทียบระหว่างนายจ้าง และผู้ปฏิบัติงานพัชราภรณ์ สุเมธาวีนันท์; วีระวัฒน์ ปันนิตามัย (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2014)การศึกษาวิจัยครั้งนี้มีจุดประสงค์เพื่อ 1) ประเมินระดับประสิทธิภาพการนำเข้าแรงงานต่างด้าวสัญชาติพม่าในปัจจุบัน 2) เพื่อค้นหาปัญหาและอุปสรรคที่ทำให้การนำเข้าแรงงานต่างด้าวสัญชาติพม่าไม่มีประสิทธิภาพ 3) เพื่อเสนอแนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพในการนำเข้าแรงงานต่างด้าวสัญชาติพม่า โดยใช้วิธีการศึกษาเชิงปริมาณเป็นหลัก ได้แก่ การเก็บข้อมูลโดยแบบสอบถามผู้ปฏิบัติงาน นายจ้าง/ตัวแทนนายจ้างทั้งหมด 413 คนประกอบไปด้วย ผู้ปฏิบัติงานเกี่ยวกับแรงงานต่างด้าว ณ สำนักบริหารแรงงานต่างด้าว กรมจัดหางานกระทรวงแรงงาน จำนวน 50 คน นายจ้าง/ตัวแทนนายจ้างที่มาธอรับบริการ ณ กรมจัดหางานจำนวน 363 คน(เก็บข้อมูล ณ สำนักงานใหญ่, สำนักงานจัดหางาน เขตพื้นที่ 7, สมุทรสาคร, สมุทรปราการ) ผลการศึกษาพบว่า 1) ประสิทธิภาพการนำเข้าแรงงานต่างด้าวสัญชาติพม่าทั้งระบบในมุมของผู้ปฏิบัติงานและนายจ้าง พบว่า อยู่ในระดับปานกลาง โดยมีค่าเฉลี่ย 2.70 2) ทั้งผู้ปฏิบัติงานและนายจ้างมีความคิดเห็นว่า ประสิทธิภาพในด้านบริบทการนำเข้าแรงงานต่างด้าว อยู่ในระดับปานกลาง โดยมีค่าเฉลี่ย 2.80 3) ประสิทธิภาพด้านปัจจัยนำเข้าในมุมของผู้ปฏิบัติงานและนายจ้าง พบว่า ประสิทธิภาพในด้านปัจจัยนำเข้าของนโยบายของการนำเข้าแรงงานต่างด้าว อยู่ในระดับปานกลาง โดยมีค่าเฉลี่ย 2.65 4) ประสิทธิภาพด้านกระบวนการนำเข้าแรงงานต่างด้าวในมุมของผู้ปฏิบัติงานและนายจ้าง พบว่าประสิทธิภาพในด้านกระบวนการนำเข้าแรงงานต่างด้าว อยู่ในระดับปานกลาง โดยมีค่าเฉลี่ย 2.62 5) ประสิทธิภาพด้านผลผลิตในมุมของผู้ปฏิบัติงานและนายจ้าง พบว่าในภาพรวมทั้งผู้ปฏิบัติงานและนายจ้างมีความคิดเห็นว่าประสิทธิภาพในด้านผลผลิต อยู่ในระดับปานกลาง โดยมีค่าเฉลี่ย 2.56 6) ผลการทดสอบสมมติฐาน พบว่า ยอมรับสมมติฐานข้อที่ 4 คือ ระดับประสิทธิภาพด้านผลผลิตการนำเข้าแรงงานของผู้ปฏิบัติงานและนายจ้างไม่แตกต่างกัน และปฏิเสธสมมติฐานข้อที่ 1 ประสิทธิภาพการนำเข้าแรงงานต่างด้าวอยู่ในระดับดี ข้อที่ 2 ระดับประสิทธิภาพด้านบริบทการนำเช้าแรงงานต่างด้าวในมุมมองของของผู้ปฏิบัติงานและนายจ้างแตกต่างกัน ข้อที่ 3 ระดับประสิทธิภาพด้านปัจจัยนำเช้าแรงงานในมุมมองของผู้ปฏิบัติงานและนายจ้างไม่แตกต่างกันและข้อที่ 5 ระดับประสิทธิภาพด้านผลผลิตการนำเข้าแรงงานในมุมมองของผู้ปฏิบัติงานและนายจ้างไม่แตกต่างกัน ข้อเสนอแนะที่ได้จากการศึกษาครั้งนี้ผู้ศึกษาขอเสนอปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้ประสิทธิภาพด้านบริบทเพิ่มมากขึ้นคือ ให้ผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียเข้าร่วมแสดงความคิดเห็นในการกำหนดยุทธศาสตร์ เพื่อนำปัญหาที่เกิดขึ้นจริงในการปฏิบัติงานไปปรับปรุงพัฒนาเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด มีทีมในการประเมินผลงานอย่างต่อเนื่อง และต้องมีการตรวจสอบความโปร่งใสในการปฏิบัติงาน ควรมีการประชาสัมพันธ์ ให้ความรู้กับนายจ้างหรือตัวแทนนายจ้างและ ผู้ประกอบการอย่างทั่วถึง แนวทางในการเพิ่มประสิทธิภาพในด้านปัจจัยนำเข้าและกระบวนการคือ ผู้ปฏิบัติงานต้องการบุคลากรมาช่วยในการปฏิบัติงานเพิ่ม และต้องการเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาช่วยในการเก็บข้อมูล ด้านนายจ้างต้องการความสะดวกสบาย ความง่ายในการติดต่อและการประชาสัมพันธ์ที่เพิ่มมากขึ้น มีการประเมินผลการปฏิบัติงานอย่างต่อเนื่อง ในการศึกษาครั้งต่อไปผู้วิจัยเสนอให้มีการศึกษาเปรียบเทียบนโยบายการนำเข้า แรงงานต่างด้าวกับนโยบายการพิสูจน์สัญชาติแรงงานต่างด้าวสัญชาติพม่าItem ภาคประชาสังคมกับการขับเคลื่อนแนวคิดจังหวัดจัดการตนเอง : กรณีศึกษาจังหวัดอำนาจเจริญประวิทย์ ษรสา; จันทรานุช มหากาญจนะ (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2015)การศึกษาเรื่อง ภาคประชาสังคมกับการขับเคลื่อนแนวคิดจังหวัดจัดการตนเอง: กรณีศึกษาจังหวัดอำนาจเจริญ นี้ มีวัตถุประสงค์ 4 ประการได้แก่ 1) เพื่ออธิบายพัฒนาการและวิเคราะห์ลักษณะของภาคประชาสังคมที่เข้ามาขับเคลื่อนแนวคิดจังหวัดจัดการตนเอง 2) เพื่ออธิบายและวิเคราะห์ปัจจัยที่ทำให้ภาคประชาสังคมเข้ามามีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนแนวคิดจังหวัดจัดการตนเอง 3) เพื่ออธิบายและวิเคราะห์ยุทธวิธี กระบวนการ ในการขับเคลื่อนและบทบาทของภาคประชาสังคมในการขับเคลื่อนประเด็นแนวคิดจังหวัดจัดการตนเอง 4) เพื่ออธิบายและวิเคราะห์ผลกระทบการขับเคลื่อนแนวคิดจังหวัดจัดการตนเองต่อการบริหารงานภาครัฐในพื้นที่ โดยเก็บรวบรวมข้อมูลทั้งข้อมูล ปฐมภูมิ โดยวิธีการสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง และจากข้อมูลทุติยภูมิ ที่เป็นเอกสารจากเครือข่ายภาคประชาสังคม งานวิจัย ข่าวสารรวมไปถึงเอกสารที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ จากผลการศึกษาพบว่า 1) พัฒนาการของภาคประชาสังคมจังหวัดอำนาจเจริญนั้นแบ่งออกเป็น 8 เวลาโดยเกณฑ์บริบทแวดล้อมและเนื้อหากิจกรรมของกลุ่มภาคประชาสังคม ประกอบด้วย ช่วงที่ 1 ความขัดแย้งทางอุดมการณ์ทางการเมืองและกึ่งประชาธิปไตย (2516-2522 ช่วงที่ 2 เริ่มก่อตัวใหม่ของภาคประชาสังคม (2523-2538) ช่วงที่ 3 เริ่มทำงานเชื่อมโยงกับองค์กรภายนอก (2539-2543) ช่วงที่ 4 เริ่มกำหนดรูปแบบการทำงานและกำหนดยุทธศาสตร์การดำเนินงานพัฒนาชุมชน (2544-2546) ช่วงที่ 5 การเชื่อมโยงและพัฒนากลไกการทำงานในระดับจังหวัดและในระดับพื้นที่ (2547-2549) ช่วงที่ 6 การปรับปรุงพัฒนาโครงสร้างการดำเนินงานภายในจังหวัดและก่อเกิดสภาองค์กรชุมชนในพื้นที่ (2550-2552) ช่วงที่ 7 การทบทวนบทบาทของภาคประชาสังคมและการรับเอาแนวคิดจังหวัดจัดการตนเอง (2553-2554) ช่วงที่ 8 การมุ่งหน้าขับเคลื่อนแนวคิดจังหวัดจัดการตนเองและน าธรรมนูญประชาชนไปสู่การปฏิบัติ (2555-ปัจจุบัน) ส่วนลักษณะของภาคประชาสังคมที่เข้ามาขับเคลื่อนแนวคิดจังหวัดจัดการตนเอง มี 2 ลักษณะ คือ กลุ่มประชาสังคมที่มีสถานะทางกฎหมายชัดเจน และกลุ่มประชาสังคมที่มีสถานะทางกฎหมายไม่ชัดเจน ในขณะที่ปัจจัยที่ทำให้ภาคประชาสังคมเข้ามามีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนแนวคิดจังหวัดจัดการตนเอง พบว่ามี 9 ปัจจัย ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มปัจจัย คือ กลุ่มปัจจัยหลัก ประกอบด้วย (1) ปัจจัยเรื่องจิตสำนึกร่วมหรือสำนึกพลเมือง (2) ปัจจัยเรื่องการสนับสนุนจากองค์กรภายนอก (3) ปัจจัยด้านการมีเครือข่ายในพื้นที่ (4) ปัจจัยด้านโครงสร้างและกระบวนการบริหารงานภาครัฐ (5) ปัจจัยเรื่องภาวะเศรษฐกิจและสภาพสังคม กลุ่มปัจจัยสนับสนุน ประกอบด้วย (1) ปัจจัยด้านความร่วมมือหรือทัศนคติของผู้นำท้องถิ่น (2) ปัจจัยเรื่องโครงสร้างโอกาสทางการเมือง (3) ปัจจัยเรื่องผลประโยชน์ร่วม และ (4) ปัจจัยเรื่องบริบททางประวัติศาสตร์ ส่วนกระบวนการในการขับเคลื่อนของภาคประชาสังคมแบ่งได้เป็น 3 ระดับคือ (1) โครงสร้างการทำงานระดับจังหวัด (2) โครงสร้างการดำเนินงานของทีมประสานขบวนองค์กรชุมชน (3) โครงสร้างการทำงานในระดับพื้นที่ตำบล ซึ่งบทบาทของภาคประชาสังคมมีบทบาทในการกระตุ้นความคิด ชี้ให้เห็นปัญหาร่วมกัน โดยยุทธวิธีที่ภาคประชาสังคมเลือกใช้ในการขับเคลื่อนคือ ยุทธวิธีตามช่องทางปกติ (Conventional Chanel) เป็นยุทธวิธีการเคลื่อนไหวที่อยู่ในบรรทัดฐานของสังคมประชาธิปไตย นอกจากนี้ผลกระทบต่อการบริหารงานภาครัฐในพื้นที่ สามารถแบ่งเป็น 3 กลุ่มตามข้อมูลที่ได้จากการเก็บรวบรวมของผู้วิจัย (1) หน่วยงานที่ได้รับผลกระทบมากส่วนใหญ่เป็นหน่วยงานที่มีภารกิจสอดรับกับความต้องการของภาคประชาสังคม เกิดการทำงานร่วมกันและมีแนวโน้มในการส่งเสริมธรรมาภิบาลในการบริหารงานภาครัฐ และ (2) หน่วยงานที่ได้รับผลกระทบบ้าง เป็นหน่วยงานที่มีภารกิจไม่ค่อยตรงกับวัตถุประสงค์ของภาคประชาสังคมและไม่ค่อยมีความเข้าใจในแนวคิดของภาคประชาสังคม อาจไม่มีผลต่อการเสริมสร้างธรรมาภิบาลในการบริหารงาน สุดท้าย (3) หน่วยงานที่ไม่ได้รับผลกระทบ คือหน่วยงานที่มีภารกิจที่ไม่เกี่ยวกับวัตถุประสงค์ของภาคประชาสังคม ไม่จำเป็นต้องทำงานร่วมกับภาคประชาสังคม และไม่มีความเข้าใจในแนวคิดของภาคประชาสังคมเลย แต่มีความเห็นว่าการดำเนินงานของภาคประชาสังคมเป็นสิ่งที่ดี และมีแนวโน้มว่าการเคลื่อนไหวของภาคประชาสังคมไม่มีส่วนในการสร้างเสริมธรรมาภิบาลในหน่วยงานเหล่านี้Item การพัฒนาการให้บริการรถโดยสารประจำทางขององค์การขนส่งมวลชน กรุงเทพ (ขสมก.) ตามทัศนคติและความต้องการของประชาชนกิตติพงศ์ ชัยกิตติภรณ์; ณัฐกริช เปาอินทร์; อุบลวรรณา ภวกานันท์ (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, )การวิจัยเรื่องการพัฒนาการให้บริการรถโดยสารประจาทางขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ตามทัศนคติและความต้องการของประชาชน เป็นการวิจัยที่มีวัตถุประสงค์เพื่อ ศึกษาทัศนคติและความต้องการของประชาชนผู้ใช้บริการต่อการให้บริการรถโดยสารประจาทางของ ขสมก. รวมถึงวิเคราะห์แผนปฏิบัติงานและประเมินผลการดาเนินโครงการเกี่ยวกับการ ปรับปรุงและพัฒนาการให้บริการรถโดยสารประจาทางในปีงบประมาณ 2557 ของ ขสมก. เพื่อวิเคราะห์และเสนอทางเลือกในการพัฒนาการบริการในการให้บริการรถโดยสารประจาทางของ ขสมก. ที่สอดคล้องกับทัศนคติและความต้องการของประชาชนผู้ใช้บริการ สา หรับการศึกษาในครั้งนี้ ใช้วิธีการวิจัยแบบผสมผสาน (Mixed Method) ระหว่างการวิจัย เชิงปริมาณ (Quantitative Research) และการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) ซึ่งแบ่ง โครงสร้างการวิจัยและผลการวิจัยออกเป็น 3 ประเด็น ได้แก่ ประเด็นแรก เป็นการวิเคราะห์แผนปฏิบัติงานและประเมินผลการดาเนินโครงการเกี่ยวกับ การพัฒนาการให้บริการรถโดยสารประจา ทางขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ ปี งบประมาณ 2557 โดยใช้เกณฑ์ในการประเมินประสิทธิผลตามวัตถุประสงค์ของโครงการ ซึ่งจะใช้วิธีการวิจัย จากเอกสาร (Documentary Research) ทั้งเอกสารแผนปฏิบัติงาน และผลการดา เนินงานของ องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ ประจาปีงบประมาณ 2557 โดยผลการวิจัยพบว่า การวิเคราะห์ แผนปฏิบัติงานของทั้ง 4 โครงการ คือ (1) โครงการพัฒนาและปรับปรุงเส้นทางการเดินรถโดยสาร ประจาทาง (2) โครงการลดและป้องกันภัยและอุบัติเหตุจากการขนส่งสาธารณะโดยรถโดยสาร ประจาทาง (3) โครงการอบรมพัฒนาคุณภาพบริการ หลักสูตรบริการดีขับขี่ปลอดภัย และ (4) โครงการพัฒนาคุณภาพการให้บริการเชิงสังคมและรถเมล์ฟรีนั้น พบปัญหาที่สาคัญเช่นเดียวกัน คือ ปัญหาในการวางแผนโครงการ โดยเฉพาะข้อบกพร่องในส่วนของการกาหนดวัตถุประสงค์ โครงการ ทั้งวัตถุประสงค์ไม่ชัดเจน/ไม่สามารถใช้ในการวัดความสาเร็จหรือประสิทธิผลของ โครงการได้ ไม่มีการกา หนดกรอบเวลา (Time frames) ไม่มีการกา หนดเกณฑ์วัด/ตัวชี้วัด (KPIs) และเกณฑ์วัด/ตัวชี้วัด (KPIs) ที่กา หนดไว้ในแผนปฏิบัติงานโครงการ ไม่ชัดเจน มีความคลุมเครือ ไม่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของโครงการ สาหรับในส่วนของการประเมินผลการดา เนินโครงการ พบว่า ทั้ง 4 โครงการ มีปัญหาใน การนาโครงการไปปฏิบัติและการประเมินผลโครงการ กล่าวคือ โครงการไม่สามารถดาเนินการได้ ตามแผนปฏิบัติงานที่กา หนดไว้ บางโครงการมีความล่าช้า บางโครงการก็ดา เนินการไปจนเสร็จสิ้น แต่ก็ไม่ประสบผลสา เร็จตามวัตถุประสงค์หรือตัวชี้วัดที่ได้กา หนดไว้ ประเด็นถัดมา เป็นการศึกษาและสารวจทัศนคติและความต้องการของผู้ใช้บริการที่มีต่อ การให้บริการรถโดยสารประจาทางของ ขสมก. โดยจะใช้วิธีการวิจัยภาคสนามด้วยการใช้ แบบสอบถามเพื่อวัดทัศนคติและประเมินความต้องการของผู้ใช้บริการรถโดยสารประจา ทางของ ขสมก. จา นวน 400 ตัวอย่างตามจุดสา รวจ และช่วงเวลาที่กา หนดไว้ โดยผลการวิจัยพบว่า โครงการ ทั้ง 4 โครงการที่ ขสมก. ดาเนินการไปนั้น สอดคล้องกับความต้องการของผู้ใช้บริการ แต่ ผู้ใช้บริการก็ยังคงเห็นว่า การให้บริการรถโดยสารประจา ทางของ ขสมก. อยู่ในระดับควรปรับปรุง โดยเรื่องต้องการให้ ขสมก. ดาเนินการปรับปรุงและพัฒนามากที่สุด คือ ความทันเวลาของรถ โดยสารประจา ทาง รองลงมา คือ ความถี่หรือความต่อเนื่องของรถโดยสารประจา ทาง, สภาพรถที่ เก่าจนเกินไป, ความครอบคลุม/ทั่วถึงของเส้นทางการเดินรถ, ความปลอดภัยในการให้บริการ และ การพัฒนาคุณภาพรถเมล์ฟรี ตามลา ดับ โดยหาก ขสมก. ดา เนินการปรับปรุงและพัฒนาคุณภาพการ ให้บริการรถโดยสารประจา ทางแล้ว ผู้ใช้บริการส่วนใหญ่จะหันมาใช้บริการรถโดยสารประจา ทาง ของ ขสมก. เพิ่มขึ้น ประเด็นสุดท้าย เป็นการวิเคราะห์ และเสนอทางเลือกในการพัฒนาการให้บริการรถ โดยสารประจาทางขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพที่สอดคล้องกับทัศนคติและความต้องการของผู้ใช้บริการ โดยใช้วิธีการวิจัยจากเอกสาร (Documentary Research) โดยเฉพาะแผนปฏิบัติการ ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ ประจา ปี งบประมาณ 2557 และเครื่องมือเกี่ยวกับการวางแผน และกาหนดโครงการ คือ การวิเคราะห์ปัญหาและสาเหตุ (Problem Tree), การวิเคราะห์ วัตถุประสงค์และวิธีการ (Objective Tree), แผนปฏิบัติการ (Action Plan) และแผนการดา เนินงาน (Gantt Chart) โดยผลการวิจัยพบว่า การพัฒนาการให้บริการรถโดยสารประจา ทางนั้น ต้องนา เอา เทคโนโลยีการระบุตาแหน่ง (GPS) การพัฒนา Application และการใช้ช่องทางพิเศษสาหรับรถ โดยสารประจาทาง (Buslane) เข้ามาประยุกต์ใช้ และบูรณาการอย่างเป็นระบบในการให้บริการ เพื่อแก้ปัญหาความทันเวลา และความต่อเนื่องของรถโดยสารประจา ทาง อีกทั้งยังต้องดา เนินการ ปรับปรุงเส้นทางการเดินรถโดยสารประจา ทางให้สามารถให้บริการได้อย่างครอบคลุมและทั่วถึง สาหรับการให้บริการรถเมล์ฟรีนั้น จะต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบการให้บริการใหม่ เพื่อเพิ่มคุณภาพ ในการให้บริการ ซึ่งข้อเสนอแนะดังกล่าวนี้ จะต้องดา เนินการอย่างสอดคล้องไปกับการพัฒนา องค์ประกอบที่จา เป็นต่อการให้บริการอื่นๆ ทั้งการดูแลรักษารถโดยสารประจา ทางให้เป็นไปตาม มาตรฐาน การฝึกอบรมพนักงานประจา รถ ตลอดจนการปรับปรุงและพัฒนาการให้บริการสายด่วน เพื่อร้องเรียนการให้บริการ (Call Center) ให้มีประสิทธิภาพอีกด้วยItem ทางเลือกสาธารณะว่าด้วยการจัดการระบบขนส่งสาธารณะ ในเขตเมืองเชียงใหม่วรรณิภา คุดสีลา; ณัฐกริช เปาอินทร์ (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2015)การวิจัยเรื่องนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพและความต้องการขนส่งสาธารณะในเขตเมือง เชียงใหม่ ศึกษาองค์ประกอบสาคัญต่อการจัดการระบบขนส่งสาธารณะในเขตเมืองเชียงใหม่ศึกษา องค์ประกอบในการแก้ไขปัญหาการจัดการระบบขนส่งสาธารณะในเขตเมืองเชียงใหม่ในปัจจุบัน และ วิเคราะห์และเสนอทางเลือกในการจัดการระบบขนส่งสาธารณะในเขตเมืองเชียงใหม่ที่เหมาะสม โดยใช้ วิธีการวิจัยแบบผสานวิธี (Mixed Method) ระหว่างการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) และ การวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) โดยทาการเก็บรวบรวมข้อมูลทุติยภูมิจากแหล่งวิชาการ ในเรื่องที่เกี่ยวข้องและข้อมูลปฐมภูมิสาหรับการวิจัยเชิงปริมาณใช้แบบสอบถาม (Questionnaire) จากประชาชนผู้ใช้บริการระบบขนส่งสาธารณะ จานวน 400 ราย และการวิจัยเชิงคุณภาพใช้แบบ สัมภาษณ์กึ่งมีโครงสร้าง (Semi-Structured Interview) จากกลุ่มผู้ให้ข้อมูลหลัก ประกอบด้วย ผู้เชี่ยวชาญและผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง (ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย) การจัดการระบบขนส่งในเขตเมืองเชียงใหม่ จากนั้นทา การวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้วิธีการวิเคราะห์สถิติเชิงพรรณนา จากแบบสอบถาม และใช้วิธีการ วิเคราะห์เน้อื หา (Content Analysis) จากผลการสัมภาษณ์ เพื่อตอบวัตถุประสงค์การวิจัย การวิจัยพบว่า สภาพขนส่งสาธารณะในเขตเมืองเชียงใหม่ ประกอบด้วย 2 รูปแบบ คือ การ ให้บริการขนส่งรถโดยสารสี่ล้อขนาดเล็ก (สี่ล้อแดง) และการให้บริการขนส่งรถเมล์โดยสารประจา ทาง โดยความต้องการขนส่งสาธารณะในเขตเมืองเชียงใหม่ ประกอบด้วย 4 มิติ คือ 1) ประชาชนมีความ ต้องการให้ปรับปรุงมาตรฐานการให้บริการ เส้นทางรถประจาทาง และกาหนดโครงสร้างอัตราค่า โดยสารที่เหมาะสม 2) ผู้ขับรถขนส่งสาธารณะมีความต้องการให้ปรับปรุงการสนับสนุนด้านเงินทุน และการพัฒนาด้านมาตรฐานการให้บริการ 3) ผู้ประกอบการมีความต้องการให้ปรับปรุงการสนับสนุน งบประมาณจากภาครัฐอย่างยัง่ ยืน การพัฒนาระบบการให้บริการที่มีประสิทธิภาพ และการรับรอง รายได้ของสมาชิกสหกรณ์ และ 4) ภาครัฐมีความต้องการให้พัฒนามาตรฐานการให้บริการเพิ่ม ทางเลือกในการเดินทาง และจัดรูปแบบและระยะการให้บริการเดินทางที่มีความสัมพันธ์กับถนิ่ ฐาน ที่ตั้งของชุมชน โดยองค์ประกอบสาคัญต่อการจัดการระบบขนส่งสาธารณะในเขตเมืองเชียงใหม่ได้แก่ ระยะทางการให้บริการ ระยะเวลาการให้บริการ การบริการและการตลาด ผู้โดยสาร (ผู้ใช้บริการ) และคนขับรถสาธารณะ (ผู้ให้บริการ) อนึ่งองค์ประกอบในการแก้ไขปัญหาการจัดการ ระบบขนส่งสาธารณะในเขตเมืองเชียงใหม่ในปัจจุบัน ได้แก่ เอกภาพในการจัดการระบบขนส่ง สาธารณะ ความเชื่อมโยงของหน่วยงาน ความชัดเจนนโยบายและแผนงานในระดับปฏิบัติ การ สนับสนุนจากภาครัฐ และความสานึกและความร่วมมือของภาคประชาชน นอกจากนี้การมีส่วนร่วม ของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย 7 กลุ่ม ได้แก่ ภาคประชาชนและภาคประชาสังคม สหกรณ์ผู้ประกอบการหรือ สหกรณ์เดินรถเชียงใหม่ลานนาผู้ขับรถสาธารณะ (สี่ล้อแดง) องค์การภาครัฐ นักการเมือง (นักการเมืองท้องถนิ่ ,ภูมิภาค,ประเทศ) สื่อมวลชนท้องถนิ่ และระดับประเทศ และนักวิชาการ เป็นส่วน สา คัญที่จะชว่ ยผลักดันให้เกิดการจัดการระบบขนส่งสาธารณะในเขตเมืองเชียงใหม่ การวิจัยครัง้ นี้เสนอรูปแบบการจัดการระบบขนส่งสาธารณะในเขตเมืองเชียงใหม่ โดยการ ให้บริการของรถโดยสารสี่ล้อขนาดเล็ก (สี่ล้อแดง) ประจาทาง เนื่องจากมีปัจ จัยที่เอื้อต่อการ ดาเนินงานมากกว่ารถประเภทอื่นและจากการวิเคราะห์ต้นทุนและผลประโยชน์ ได้มูลค่ารวมของ ต้นทุนเท่ากับ 1,694.56 ล้านบาท มูลค่ารวมของผลประโยชน์เท่ากับ 2,033.61 ล้านบาท เมื่อนามา คานวณมูลค่าปัจจุบันโดยใช้อัตราคิดลดร้อยละ 5 ต่อปี จะได้มูลค่าปัจจุบันของต้นทุนเท่ากับ 74.12 ล้านบาท มูลค่าปัจจุบันของผลประโยชน์เท่ากับ 142.40 ล้านบาท และเมื่อนามาวิเคราะห์ความคุ้มค่า ทางเศรษฐศาสตร์ของการจัดการระบบขนส่งสาธารณะในเขตเมืองเชียงใหม่ได้มูลค่าปัจ จุบันของ ประโยชน์สุทธิ (Net Present Value: NPV) เท่ากับ 29.01 ล้านบาท อัตราส่วนผลประโยชน์ต่อ ต้นทุน (Benefit-Cost Ratio: B/C ratio) เท่ากับ 2.35 และอัตราค่าตอบแทนภายในจากการ ลงทุน (Economic Internal Rate of Return: EIRR) เท่ากับร้อยละ 19.66 โดยผลความคุ้มค่าทาง เศรษฐศาสตร์มีผลในทิศทางบวก แสดงว่าการจัดการระบบขนส่งสาธารณะในเขตเมืองเชียงใหม่ใน เส้นทางรถโดยสารสี่ล้อขนาดเล็ก (สี่ล้อแดง) ประจา ทางมีความคุ้มทุนทางเศรษฐศาสตร์ในการลงทุน ดังนั้นมีข้อเสนอสาหรับการจัดรูปแบบการให้บริการรถขนส่งรถโดยสารสี่ล้อขนาดเล็ก (สี่ล้อ แดง) ประจา ทาง คือ 1) การจัดการระบบขนส่งรถโดยสารสี่ล้อขนาดเล็ก (สี่ล้อแดง) ประจา ทาง ดา เนินการโดยภาครัฐ (หน่วยงานท้องถนิ่ ) และ 2) การจัดการระบบขนส่งรถโดยสารสี่ล้อขนาดเล็ก (สี่ล้อแดง) ประจา ทางดา เนินการโดยภาคเอกชนItem การบริหารการเงินของวัดในเขตอำเภอเมืองนนทบุรี จังหวัดนนทบุรีพระมหาทวี โพธิเมธี (โพธิ์ตาด); มนตรี โสคติยานุรักษ์ (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2014)วัดเป็นองค์กรไม่แสวงหากา ไร เป็นองค์กรที่ดา เนินงานโดยไม่หวังผลกา ไรมีความผูกพัน กับ บุคคล ชุมชน และสังคม ส่วนใหญ่ตั้งแต่แรกเกิดจนถึงช่วงสุดท้ายของชีวิต ด้วยยุคปัจจุบันมี ความเจริญก้าวหน้าทางเศรษฐกิจได้ทา ให้วิถีชีวิตคนกับวัดเปลี่ยนแปลงไปโดยในการบริจาคเป็น เงินให้กับวัดเป็นเพราะมีความสะดวกและนา ไปใช้ ในการพัฒนาในรูปแบบด้านต่างๆ ได้ใช้เพื่อ ทา นุบา รุงพระพุทธศาสนา การศึกษาการบริหารการเงินของวัดในเขตอา เภอเมือง จังหวัดนนทบุรี นั้นผู้วิจัยมีวัตถุประสงค์ในการศึกษาครั้งนี้ 1) เพื่อทราบการบริหารการเงินของวัดในเขต อา เภอ เมือง จังหวัดนนทบุรี 2) เพื่อทราบปัจจัยที่มีผลต่อการบริหารการเงินของวัดในเขต อาเภอเมือง จังหวัดนนทบุรี 3) เพื่อทราบปัญหาและอุปสรรคในการบริหารการเงินของวัดในเขต อา เภอเมือง จังหวัดนนทบุรี ด้วยความสาคัญทางหลักการเงินของวัดนั้น เป็นสิ่งสาคัญโดยมุ่งเน้น 3 ด้าน ของ หลักการเงินของวัด 1) ด้านจัดหารายได้ 2) ด้านการลงทุน 3) ด้านการใช้จ่าย ผู้บริหารการเงินของ วัดนั้นจะต้องให้ความสาคัญอย่างมาก เพื่อหลักการเงินของวัดที่ดีสามารถส่งผลต่อการบริหาร การเงินของวัดตามหลักธรรมาภิบาล ผู้บริหารการเงินสามารถพัฒนาหลักการเงินของวัดใน 3 ด้าน ให้มีประสิทธิภาพ การตรวจสอบการเงินของวัดมีความโปร่งใส และสามารถตรวจสอบได้ ผลการศึกษา พบว่า หลักการเงินของวัด ด้านจัดหารายได้ ภาพรวมอยู่ในระดับน้อย มี รายได้จากกิจกรรมวันสา คัญทางพระพุทธศาสนา ด้านลงทุน ภาพรวมอยู่ในระดับน้อย ส่วนใหญ่นา เงินไปใช้ในการก่อสร้างอาคาร และปฏิสังขรณ์วัดในด้านต่างๆ ด้านใช้จ่ายของวัด ภาพรวมอยู่ใน ระดับปานกลาง วัดส่วนใหญ่มีค่าใช้จ่าย ค่าสาธารณูปโภค เช่น ค่าน้า ค่าไฟ และค่าขยะ สะท้อน ให้เห็นว่า ด้วยมีหลักการเงินของวัดส่งผลต่อด้านการบริหารการเงินตามหลักธรรมาภิบาลหรือการ บริหารจัดการที่ดี อยู่ในระดับมาก โดยมุ่งเน้นในด้านความโปร่งใส หลักการบริหารการเงินของวัด อยู่ในระดับปานกลาง โดยพบว่า วัดที่มีการบันทึกรายรับ – รายจ่าย การเงินของวัด และด้านปัญหาและอุปสรรคที่เกิดขึ้นภายในวัดนั้น ส่วนใหญ่ยัง ขาดความรู้ในการบริหารการเงิน ผู้บริหารการเงิน ของวัดยัง ขาดผู้เชี่ยวชาญในการบริหารการเงินวัด วัดที่มีรายรับ–รายจ่ายของวัด ส่วนใหญ่ของวัด จะมีรูปแบบการดา เนินการที่ชัดเจน จากการศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิผล พบว่า หลักการเงินด้านการใช้จ่าย มีอิทธิพลต่อหลักการ บริหารการเงินตามหลักธรรมาภิบาล (Beta .324) ที่ระดับสูง มีผลทางบวกกับหลักการบริหาร การเงินตามหลักธรรมาภิบาลไปในทิศทางเดียวกัน ข้อเสนอแนะ ในภาพรวมผู้บริหารการเงินของ วัดให้ความสาคัญ ของหลักการเงินของวัด ใน ด้านหลักค่าใช้จ่ายของวัด ให้มาก เพื่อที่สามารถ ส่งผลต่อหลักการบริหารการเงินตามหลักธรรมาภิบาล เพื่อที่จะปรับปรุงพัฒนาระบบการจัดการ ด้านค่าใช้จ่ายในส่วนต่างๆของวัด ให้อย่างถูกต้องมีระบบบัญชีที่ถูกต้องเหมาะสม ในการนี้ หน่วยงานงานทั้งภาครัฐและภาคเอกชนที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ควรเร่งช่วยกันพัฒนาบุคลากรให้กับ ผู้บริหารการเงินของวัด ให้มีความรู้ ความสามารถในการบริหารจัดการทางด้านการเงินให้กับวัด เพื่อให้วัดนั้นมีระบบการทา งานที่มีประสิทธิผลมากยิ่งขึ้น และประชาชนและชุมชนจะต้องมี บทบาทในการเข้าไปมีส่วนร่วมกับบริหารจัดการร่วมกันมากขึ้น กระตุ้นให้จิตอาสาทา งานเพื่อ ชุมชน และสังคม ต้องมีการดา เนินอย่างต่อเนื่องเพื่อให้เกิดการพัฒนาในด้านต่างๆไปพร้อมกันทุก ด้านเพื่อยั่งยืนต่อไปItem การศึกษาการกระจายผลประโยชน์ของเงินอุดหนุนหลักประกันสุขภาพและความพึงพอใจต่อคุณภาพบริการทางการแพทย์ กรณีศึกษา: ผู้สูงอายุจังหวัดขอนแก่นณัชพล เมธเมาลี; พลภัทร บุราคม (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2022)การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อศึกษาการกระจายผลประโยชน์ของเงินอุดหนุนประกันสุขภาพผ่านสิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ (OFC) และสิทธิประกันสุขภาพถ้วนหน้า/บัตรทอง (UCS) ในกลุ่มผู้สูงอายุที่แตกต่างกันไปตามระดับรายได้ (2) เพื่อสำรวจความพึงพอใจของผู้สูงอายุหลังจากที่ได้เข้ารับบริการทางการแพทย์ และ (3) เพื่อศึกษาถึงผู้สูงอายุที่มีความแตกต่างกันไปตามระดับรายได้ ลักษณะภูมิลำเนา และประเภทของสิทธิ์ว่ามีระดับความพึงพอใจหลังรับบริการทางการแพทย์แตกต่างกันหรือไม่อย่างไร โดยการศึกษานี้พยายามหาคำตอบในเรื่องของความเป็นธรรมจากการจัดสรรเงินอุดหนุนประกันสุขภาพในกลุ่มผู้สูงอายุจังหวัดขอนแก่น ด้วยการวิเคราะห์การกระจายผลประโยชน์ (Benefit Incidence Analysis) และการศึกษาความพึงพอใจผู้สูงอายุที่มีต่อคุณภาพของการบริการทางการแพทย์ ด้วยวิธีการวิจัยเชิงปริมาณที่มีรูปแบบการวิจัยเชิงสำรวจ (Survey) โดยมีแบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการวิจัยที่สร้างจากแนวความคิด SERQUAL ของ Parasuraman, Zeithaml, & Berry (1985) ผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่าการจัดสรรเงินอุดหนุนผ่านหลักประกันสุขภาพยังคงสร้างความไม่เป็นธรรมแก่กลุ่มผู้สูงอายุจังหวัดขอนแก่นอยู่ จากผลการวิเคราะห์การกระจายผลประโยชน์แสดงให้เห็นว่าการจัดสรรเงินอุดหนุนของแต่ละสิทธินั้นมีความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด ทั้งนี้เนื่องมาจากรูปแบบการบริหารการเบิกจ่ายที่แตกต่างกันระหว่างทั้งสองสิทธิ เมื่อพิจารณาในภาพรวมของผลประโยชน์จากเงินอุดหนุนแล้ว พบว่า เงินอุดหนุนส่วนใหญ่ตกอยู่กับกลุ่มที่เป็นมีฐานะรายได้สูงสุด (ควินไทล์ 5) ถึงร้อยละ 46.94 ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุกลุ่มข้าราชการบำนาญ อย่างไรก็ดี หากพิจารณาในเรื่องของการศึกษาความพึงพอใจที่ผู้สูงอายุมีต่อบริการทางการแพทย์กลับพบว่าไม่มีความแตกต่างกันระหว่างผู้ใช้สิทธิทั้ง 2 แบบ ทั้งนี้อาจเนื่องมาจากสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ที่ไม่มีความแตกต่างกันมากนักจึงทำให้ผู้สูงอายุได้รับบริการที่ไม่แตกต่างกัน ขณะที่มิติความแตกต่างของภูมิลำเนา กลับพบว่า มีความแตกต่างของความพึงพอใจที่ผู้สูงอายุมีต่อบริการทางการแพทย์อย่างชัดเจน โดยที่ผู้สูงอายุที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ชนบทมีพึงพอใจต่อบริการทางการแพทย์ที่น้อยผู้สูงอายุที่อาศัยอยู่ในพื้นที่เมือง ซึ่งปัญหาดังกล่าวส่วนใหญ่มาจากเรื่องความสามารถในการรองรับผู้ป่วยของแพทย์ โดยหากวิเคราะห์สัดส่วนจำนวนประชากรต่อบุคลากรทางการแพทย์ 1 คน ร่วมกับคะแนนความถึงพอใจที่ได้จากการสำรวจจะสะท้อนให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่ส่วนทางกัน โดยยิ่งจำนวนที่ผู้ป่วยต่อบุคลากรทางการแพทย์มากเท่าไรผู้ป่วยก็จะยิ่งได้รับบริการที่ไม่พึงพอใจมากเท่านั้น ดังนั้นการที่แพทย์ 1 คนต้องรับผิดชอบดูแลผู้ป่วยในจำนวนที่ไม่เท่ากันของแต่ละพื้นที่อาจเป็นปัจจัยหนึ่งที่นำมาซึ่งคุณภาพการบริการที่ไม่เท่าเทียมกัน ด้วยเหตุนี้เพื่อลดความเหลื่อมล้ำในหนุนอุดหนุนผู้วิจัยจึงมีข้อเสนอแนะให้ในอนาคตควรมีการควบรวมการบริหารจัดการเงินอุดหนุนหลักประกันสุขภาพให้เป็นหนึ่งเดียว เพื่อให้การกระจายเงินอุดหนุนมีความเป็นธรรมและเท่าเทียมมากยิ่งขึ้น และเพื่อลดความเหลื่อมล้ำของคุณภาพการบริการระหว่างเมืองและชนบทการจัดสรรงบประมาณและบุคลากรทางการแพทย์ควรนำเรื่องของความรับผิดชอบของแพทย์ 1 คนต่อจำนวนประชากรมาร่วมพิจารณาด้วย เพื่อที่ภาระการดูแลผู้ป่วยส่วนใหญ่จะได้ไม่ตกอยู่ในพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง และบุคลากรทางการแพทย์จะสามารถให้บริการที่มีคุณภาพอย่างเท่าเทียมกันในทุกพื้นที่Item Gender discrimination at works and its impacts: the study of trans-women's employment experiences from private organizations in Bangkok Metropolitan areasKhemmanath Naradech; Chindalak Vadhanasindhu (National Institute of Development Administration, 2023)Inequality issues on the grounds of gender discrimination against a protected group are a persistent problem in many countries. In contrast to Goal 5 of SDGs, gender inequality among trans-women individuals whose gender identity is incongruent to a sex assigned at birth, provides various adverse situations in many societies. Such challenges have been necessitated innovating better directions in order to foster them. In Thailand, trans-women persons frequently confront a unique challenge based on their identity regardless of their economic and social setting. We are still a long way from goal 8 of SDGs in terms of exclusion on employment opportunities toward trans-women employees, one way to mitigate this problem is to find related factors which can be adopted by pertinent agencies. This research commenced as an idea for raising the visibility and voices of trans-women’s rights in respect to career advancement through elaboration of gender discrimination at work and its impact on private organizations located in Bangkok. By utilizing a combination of methods, the experiences of 437 trans-women employees working in private organizations were theoretically examined to determine what is the extent to which individual factors, organizational factors, steps of transitioning, and sexual disclosure affect gender discrimination at work against them. Comprehensively, qualitative investigation via observation and in-depth interviews were also conducted along the lines of LGBTQI diversity and inclusion forums and gender diversity experts as well as trans-women informants in order to clarify scenarios of this unjust situation. The research contribution, however, is expected to increase empirical information of the unbreakable glass-ceiling toward Thai trans-women’s job opportunity while proposing necessary recommendations for the related social agencies, private and public sectors.Item โครงสร้างและประสิทธิผลองค์การ: กรณีศึกษา บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน)กิตติยา เหล็กมั่น; ทิพวรรณ หล่อสุวรรณรัตน์ (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2018)วัตถุประสงคข์องการศึกษาวิจัยครั้งนี้มี 3 ประการ คือ 1) เพื่อศึกษาพัฒนาการโครงสร้าง องค์การ บริษทั การบินไทย จำกัด (มหาชน) 2) เพื่อศึกษาความสอดคล้องระหว่างโครงสร้าง องค์การกับปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม กลยุทธ์เทคโนโลยีคน/วัฒนธรรมองค์การและการจัดการของ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) 3) เพื่อศึกษาประสิทธิผลของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) การศึกษานี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ซึ่งใช้วิธีเก็บรวบรวมข้อมูลจากเอกสารและการสัมภาษณ์เชิงลึกแบบมีโครงสร้าง โดยมีกลุ่มตัวอย่างที่สำคัญได้แก่กลุ่มคณะกรรมการ ผู้บริหาร ผู้ถือหุ้น พนักงาน ท้งัอดีตและปัจจุบนัของบริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) และกลุ่มผู้บริหาร หน่วยงานภาครัฐที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการกำกับดูแล บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) รวม จำนวนทั้งหมด 21 คน ผลการศึกษาพัฒนาการของโครงสร้างองค์การ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) พบว่า นับตั้งแต่การก่อตั้งบริษัท ฯ ในปีพ.ศ. 2502-2559 ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ระยะ ได้แก่ระยะที่1 ระหว่าง ปี พ.ศ. 2502-2533 ช่วงการก่อตั้งบริษัท ฯ และเริ่มมีโครงสร้างองค์การอย่างง่าย สายบังคับ บัญชาไม่ซับซ้อน ส่วนระยะที่2 ระหว่างปีพ.ศ. 2534-2549 เป็นช่วงเวลาของการดำเนินธุรกิจในฐานะบริษัทมหาชน จำกัด อย่างเต็มตัวโดยระยะนี้บริษัท ฯ มีผลประกอบการเติบโตอย่างต่อเนื่อง รวมไปถึงการ มีโครงสร้างที่ขยายขนาด การจัดลำดับขั้น สายบังคับบัญชามีความซับซ้อนและมุ่งเน้นระเบียบใน การดำ เนินงานอย่างเคร่งครัดส่งผลให้โครงสร้างมีลักษณะแบบราชการ โดยจำนวนหน่วยงาน ภายในโครงสร้างองค์การระหว่าง ปีพ.ศ. 2543-2548 ตั้งแต่ระดับผู้จัดการแผนกขึ้นไปมีจำนวน เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องคิดเป็นร้อยละ 24.08 โดยเฉพาะจำนวนหน่วยงานในปี พ.ศ. 2548 มีมากที่สุด ถึง 1,175 หน่วยงาน ซึ่งลักษณะโครงสร้างองค์การดังกล่าวส่งผลกระทบต่อความอิสระคล่องตัวใน การดำเนินงาน และระยะที่3คือ พ.ศ. 2550-2559 บริษัท ฯ ประสบปัญหาการขาดทุนอย่างต่อเนื่อง และนำไปสู่กระบวนการฟื้นฟูอย่างเร่งด่วนตามแผนปฏิรูปบริษัทฯ ปีพ.ศ. 2558-2560 อย่างไรก็ ตาม บริษัทฯ ได้ดำเนินนโยบายการปรับเปลี่ยนสายการบังคับบัญชาเป็นกลุ่มงานและปรับปรุงโครงสร้างองค์การสายงานรวมถึงฝ่ายงานต่างๆ ทำให้จำนวนหน่วยงานในโครงสร้างองค์การลดลง แต่หากพิจาณาโครงสร้างองค์การในปี พ.ศ. 2559 กลับพบว่าฝ่ายงานต่างๆ และตำแหน่งผู้บริหาร หน่วยงานระดับสูงมีจำนวนเพิ่มขึ้นจนมากเกินความจำเป็น ผลการศึกษาความความสอดคล้องระหว่างโครงสร้างองค์การกับปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม กลยุทธ์ เทคโนโลยี คน/วัฒนธรรมองค์การ และการจัดการของบริษทั การบินไทย จำกัด (มหาชน) ระหว่างปีพ.ศ. 2550-2559 พบว่าสิ่งแวดล้อมไม่คงที่และวุ่นวายมากกลยุทธ์เป็นแบบเชิงรับ ด้านเทคโนโลยีมีความซับซ้อนมาก ความหลากหลายของงานสูง คน/วัฒนธรรม บุคลากรบริษัทฯ ยังมี มากเกินความจำเป็น การทำงานของบุคลากรส่วนใหญ่มุ่งเน้นเงินเดือน โบนัสและตำแหน่งงาน มากกว่าความสำเร็จของงานรวมไปถึงความแข็งแกร่งของระบบอุปถัมภ์ในองค์การ โครงสร้าง องค์การเป็นโครงสร้างองค์การแบบเครื่องจักร มุ่งเน้นกฎระเบียบ ลำดับขั้นสายบังคบบัญชามีความซับซ้อน และการจัดการ อำนาจการตัดสินใจส่วนใหญ่ยังอยู่ที่ผู้บริหารระดับสูง ส่งผลให้การ กระจายอำนาจอยู่ในระดับน้อย ทั้งนี้เมื่อนำปัจจัยทั้งหมดมาพิจารณาตามกรอบแนวคิดทฤษฎี โครงสร้างตามสถานการณ์(Structural Contingency Theory) ของ Gareth Morgan สามารถสรุปได้ ว่า ตำแหน่งของปัจจัยต่างๆ ไม่มีความสอดคล้องกันส่งผลทำให้ไม่เกิดประสิทธิผลองค์การ เท่าที่ควรรวมไปถึงการศึกษาประสิทธิผลของบริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) ระหว่างปีพ.ศ. 2550-2559 พบว่าด้านความสามารถในการบรรลุวัตถุประสงค์ของแผนดำเนินงาน สำหรับภาพรวม สามารถดำเนินการตามแผนงานได้ประมาณร้อยละ 50-60 ด้านผลประกอบการบริษัทฯ ประสบ ปัญหาการขาดทุนสะสมอย่างต่อเนื่อง ส่วนการจัดอันดับสายการบินโดยสถาบันสกายแทรกซ์ (Skytrax) บริษัท ฯ ไม่ถูกจัดให้เป็น 1 ใน 10 สายการบินที่ดีที่สุดในโลกนับตั้งแต่ปีพ.ศ. 2556 โดย ภาพรวมสามารถสรุปได้ว่า บริษัท ฯ ยังไม่สามารถดำเนินการให้บรรลุประสิทธิผลได้ ข้อเสนอแนะของการศึกษาคร้ังนี้คือ วางแนวทางการปรับโครงสร้างองค์การให้ชัดเจน และปฏิบัติได้จริง เน้นการเพิ่มความคล่องตัวในการดำเนินงาน ปรับสายบังคับบัญชาให้มีความกระชับและไม่ซับซ้อน ลดความซ้ำซ้อนของหน่วยงานในองค์การ สนับสนุนให้มีระบบการ ประสานงานระหว่างหน่วยงาน ในลักษณะร่วมคิด ร่วมทำร่วมรับผิดชอบ ตลอดจนการส่งเสริม การทำงานเป็นทีม จะช่วยให้การปรับปรุงโครงสร้างองค์การประสบความสำเร็จได้ดียิ่งขึ้นItem คุณภาพชีวิตการทำงานที่ส่งผลต่อความผูกพันของพนักงาน : กรณีศึกษาแรงงานต่างด้าวสัญชาติพม่า โรงงานผลิตอาหาร อาหารกระป๋อง และอาหารแช่แข็ง จังหวัดสมุทรสาครเสริมขวัญ วงศ์ตลาดขวัญ; ทวีศักดิ์ สูทกวาทิน (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2015)การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อวิจัยระดับคุณภาพชีวิดการทำงาน และวิจัยความสัมพันธ์ ระหว่างคุณภาพชีวิตการทำงานกับความผูกพันต่อองค์การ โดยทำการวิจัยแรงานต่างด้าวสัญชาติ พม่าที่ขึ้นทะเบียนกับสำนักงานจัดหางานอย่างถูกล้องดามกฎหมาย และทำงานอยู่ในโรงงานผลิต อาหาร อาหารกระป้อง และอาหารแช่แข็ง จังหวัดสมุทรสาครทั้งสิ้น 7 โรงงาน จำนวน 375 คน ใช้ การสัมภาษณ์และแบบสอบถามในการเก็บข้อมูล โดยแบ่งเป็น 3 ส่วนคือ ด้านคุณลักษณะของ ผู้ตอบแบบสอบถาม ด้านคุณภาพชีวิตการทำงาน 6 ด้าน ซึ่งประกอบไปด้วย ค่าตอบแทนที่ เพียงพอและยุติธรรม สภาพการทำงานที่ปลอดภัย โอกาสในการเพิ่มและพัฒนาขีดความสามารถ ในการทำงาน การทำงานร่วมกันและความสัมพันธ์กับบุคคลอื่น สิทธิและเสรีภาพในการทำงาน ความสมดุระหว่างานกับชีวิดส่วนตัว และด้านความผูกพันต่อองค์การของพนักงาน 3 ด้าน ซึ่ง ประกอบไปด้วย ความระลึกและกล่าวถึงองค์การในเชิงบวก ความปรารถนาเป็นสมาชิกของ องค์การต่อไป และความทุ่มเทในการทำงาน นำข้อมูลที่ไห้ประมวลผลและวิเคราะห์ผลด้วย โปรแกรม SPSS (Statistical Package for the Social Sciences) ในการบรรยายข้อมูลเบื้องต้นผู้วิจัย ใช้สถิติเชิงพรรณนา ((Descriptive Statistics) ได้แก่ ค่าความถี่ (Frequency) ค่าร้อยละ (Percentage) ค่าเฉลี่ย (Mean) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ((Standard Deviation: S.D.) และใช้การทดสอบไคสแควร์ (Chi- square Test) เป็นสถิติเชิงอนุมาน (Inferential Statistics) ในการทคสอบสมมติฐานที่ ได้ตั้งไว้ ผลการวิจัยพบว่า ในภาพรวมแรงานต่างด้าวสัญชาติพม่ามีคุณภาพชีวิตการทำงานอยู่ใน ระดับพึงพอใจมาก โดยมีระดับความพึงพอใจมากเกือบทุกด้าน สำหรับระดับความพึงพอใจมาก ที่สุดคือด้านสภาพการทำงานที่ปลอดภัย โดยมีค่าเฉลี่ย 2.87 รองลงมาคือด้านสิทธิเสริภาพในการทำงาน โดยมีค่าเฉลี่ย 2.83 และด้านความสมดุลระหว่างงานกับชีวิดส่วนตัว โคยมีค่าเฉสี่ย 2.78 ยกเว้นค่าตอบแทนที่เพียงพอและยุดิธรรมเพียงด้านเดียวที่มีความพอใจอยู่ในระดับปานกลาง โดยมี ค่าเฉลี่ย 2.26 สะท้อนให้เห็นว่าในภาพรวม (Total Compensation) แรงงานพม่าล้วนพึงพอใจมาก กับสวัสดิการและคำตอบแทนที่เพียงพอและยุติธรรม ชี้ให้เห็นชัดเจนว่า สถานประกอบการ สามารถบริหารจัดการคุณภาพชีวิตการทำงานของแรงงานต่างตัวเรื่องคำตอบแทนให้มีความ เพียงพอและยุดิธรรมได้เป็นอย่างดี แต่เมื่อพิจารณาผลการวิจัยในมิติฐานเงินเดือน (Base Salary) พบว่า แรงานพม่ายังมีความกังวลในเรื่องของเงินล่วงเวลา (OT) ที่น้อยลง และค่าครองชีพใน ประเทศไทยที่สูงขึ้น ส่งผลให้การเก็บออมรายได้บางส่วนเพื่อใช้จ่ายในอนาคตไม่เพียงพอ ด้วยเหตุ นี้จึงทำให้ด้านค่าตอบแทนที่เพียงพอและยุติธรรมมีระดับความพึงพอใจปานกลาง ฉะนั้นการปรับ ขึ้นค่าแรงจึงไม่ใช่ทางออกที่ดีที่สุด แต่ควรปรับค่าครองชีพให้มีความเหมาะสมและสอดคล้องกับ รายได้ ประกอบกับสถานประกอบการควรมีสวัสดิการให้ความช่วยเหลือค่าใช้จ่ายประเภทอื่น ๆ ที่ ช่วยลดค่าใช้จ่ายในการดำรงชีพของแรงงานด้วย เช่น อาหารกลางวัน ที่พักพนักงาน รถรับส่ง เป็น ต้น เพื่อให้แรงงานมีคุณภาพชีวิตการทำงานด้านคำตอบแทนที่เพียงพอและยุติธรรมดียิ่งขึ้น สำหรับการวิจัยความสัมพันธ์ระหว่างคุณภาพชีวิตการทำงานกับความผูกพันต่อองค์การ ของแรงานต่างด้าวพบว่า คุณภาพชีวิตในการทำงานทั้ง 6 ด้านน มีความสัมพันธ์กับความผูกพันต่อ องค์การของแรงานต่างด้าว อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.1 ซึ่งเป็นการยอมรับสมมติฐานที่ตั้ง ไว้ทั้ง6 ข้อ นอกจากนี้จากการวิจัยยังพบว่า หากคุณภาพชีวิตในการทำงานดีย่อมส่งผลให้แรงงาน ต่างด้าวเกิดความผูกพันต่อองค์การ ทำให้มีความปรารถนาเป็นสมาชิกขององค์การต่อไป มีความ ระลึกถึงองค์การเสมอ อยากมีส่วนร่วมต่อองค์การและปฏิบัติดามกฎระเบียบขององค์การ ตลอดจน กล่าวถึงองค์การในเชิงบวกและมีความทุ่มเทในการทำงานมากขึ้น ฉะนั้นองค์การควรศึกษา พฤติกรรมหนักงาน เพื่อเข้าใจความต้องการ เข้าถึงความรู้สึก และนำไปสู่การพัฒนาพนักงานและ องค์การ เพื่อวางกรอบแนวทางพัฒนาคุณภาพชีวิตในการทำงานให้มีประสิทธิภาท สามารถสนอง ความต้องการของพนักงานได้อย่างแท้จริง นอกจากนี้เพื่อให้รูปแบบการสร้างคุณภาพชีวิดในการ ทำงานมีประสิทธิภาพสอดคล้องกับความต้องการของพนักงานแต่ละฝ่ายหรือแผนก ตลอดจน เหมาะสมกับคำนิยมวัฒนธรรมองค์การ องค์กรควรเข้าไปศึกษาพฤติกรรมพนักงานในฝ่ายนั้นๆ ไม่ควรวางกรอบแนวทางพัฒนาคุณภาพชีวิตในการทำงานภาพเดียวเพื่อเป็นสูตรสำเร็จ แล้วใช้ พัฒนากับทุกฝ่ายขององค์การItem การประเมินผลและความพึงพอใจของนักศึกษาที่มีต่อการกระจายผลประโยชน์ของกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา กรณีศึกษา : สถาบันระดับอุดมศึกษาธนภณริทธิ์ ธนภัทร์เศวตโชติ; พลภัทร บุราคม (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2019)การศึกษาวิจัยในคร้ังนี้มีวตัถุประสงค์เพื่อ1) เพื่อศึกษากระบวนการดำเนินงานและผลการดำเนินงานของกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา 2) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักศึกษาผู้กู้ยืม เงินกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษาต่อหลกัเกณฑ์การให้กู้ยืม 3) เพื่อศึกษาการกระจายผลประโยชน์ ของกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษาของนักศึกษาผู้กู้ยืมในระดับอุดมศึกษา ว่าครัวเรือนที่ยากจน สามารถเข้าถึงผลประโยชน์ของกองทุนได้มากน้อยเพียงใด และ 4) เพื่อเสนอแนวทางแก้ไขในการดำเนินงานของกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษาให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากยิ่งขึ้น วิธีดำเนินการวิจัยได้ใช้การศึกษาแบบผสมผสาน (Mixed Method Research)โดยใช้ข้อมูล ทั้งเชิงปริมาณที่ได้จากการเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถามจากกลุ่มตัวอย่าง และข้อมูลเชิง คุณภาพที่ได้จากการศึกษาทบทวนจากเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวขอ้ง ประชากรที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ นักศึกษาผู้กู้ยืมเงินจากกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา ซึ่งเป็นนักศึกษาที่ศึกษาในระดับอุดมศึกษาของสถาบันการศึกษาของรัฐ และสถาบันการศึกษาในกำกับของรัฐผลการศึกษา พบว่า 1) กระบวนการดำเนินงานและผลการดำเนินงานของกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อ การศึกษา พบว่าการกำหนดเกณฑ์รายได้ของผู้มีสิทธิกู้ยืมที่สูงเกินไปทำให้กองทุนเงินให้กูย้มืเพื่อ การศึกษาไม่สามารถเพิ่มโอกาสทางการศึกษาของผู้มีรายได้ต่ำได้อย่างแท้จริงการที่กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษาให้อำนาจสถานศึกษาในการดำเนินงานให้กู้ยืมมากเกินไป โดยที่ขาดกลไกกำกับ ดูแลและตรวจสอบจากกองทุนฯ ทำให้เกิดช่องว่างในการแสวงหาผลประโยชน์จากเงินให้กู้ยืมของ สถานศึกษา การขาดกลไกในการตรวจสอบการจัดสรรเงินกู้ยืม การขาดกลไกการติดตามชำระหนี้คืนที่มีประสิทธิภาพ การขาดกลไกในการติดตามและประเมินผลทำให้การดำเนินงานของกองทุนฯ ผิดพลาด และไม่สามารถประเมินผลการดำเนินงานได้อย่างตรงเป้าหมาย 2) ความพึงพอใจของนักศึกษาผู้กู้ยืมเงินกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษาต่อ หลักเกณฑ์การให้กู้ยืม พบว่ากลุ่มตัวอย่างที่ศึกษาคร้ังนี้มีความพึงพอใจต่อหลักเกณฑ์การให้กู้ยืม เงินของกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษาในภาพรวมอยู่ในระดับมากเมื่อจำแนกเป็นรายด้านแล้ว พบว่ากลุ่มตัวอย่างมีความพึงพอใจอยู่ในระดับ มากทุกด้าน ซึ่งด้านการกำหนดเงื่อนไขการชำระเงินคืน กลุ่มตัวอย่างมีความพึงพอใจมากที่สุด รองลงมาคือ ด้านการกำหนดเงื่อนไขกระบวนการขอกู้ยืมเงิน ด้านการกำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการให้กู้ยืม และด้านการกำหนดเงื่อนไขขอบเขตวงเงินให้กู้ยืมกลุ่มตวัอย่างมีความพึงพอใจน้อยที่สุด ซึ่งชี้ให้เห็นว่า ด้านการกำหนดเงื่อนไขการ ชำระเงินคืน มีความเหมาะสมและมีความเป็นธรรมที่จะช่วยให้คนที่ยากจนสามารถมีสิทธิเข้าถึง การกู้ยืมเงินของกองทุน ในขณะที่ด้านการกำหนดเงื่อนไขขอบเขตวงเงินให้กู้ยืม ยังไม่มีความเหมาะสมกบัครัวเรือนที่ยากจน และค่าเล่าเรียนและค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวเนื่องกับการศึกษายังไม่เพียงพอ สำหรับการเรียนของคนที่ยากจน จากการศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อความพึงพอใจของผู้กู้ยืมเงินกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษาต่อหลักเกณฑ์การให้กู้ยืม พบว่า นักศึกษาผู้กู้ยืมในกลุ่มสาขาวิชาวิทยาศาสตร์และ นักศึกษาผู้กู้ยืมในกลุ่มสาขาวิชาสังคมศาสตร์มีความคิดเห็นว่า หลักเกณฑ์การให้กู้ยืมเงินของ กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษาไม่มีความแตกต่างกัน ในขณะที่มหาวิทยาลัยของรัฐและ มหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐมีความคิดเห็นว่า หลักเกณฑ์การให้กู้ยืมเงินของกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษามีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 3) การกระจายผลประโยชน์ของกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษาของนักศึกษาผู้กู้ยืมในระดับอุดมศึกษา พบว่า ผลประโยชน์ตกกับครัวเรือนที่มีรายได้ปานกลางมากกว่า ครัวเรือนที่ยากจนที่สุด ทำ ให้โอกาสในการเข้าถึงผลประโยชน์ของกองทุนของครัวเรือนที่ยากจนไม่สามารถ เข้าถึงได้อย่างแท้จริง ไม่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการจัดตั้งกองทุนให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา สะท้อนให้เห็นว่า การกระจายผลประโยชน์ของกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา มีการจัดสรรเงิน ให้กู้ยืมเพื่อการศึกษาที่ไม่มีความเป็นธรรม 4) ข้อเสนอแนะในเชิงนโยบาย ได้แก่1) นโยบายการให้เงินกู้ยืมเพื่อการศึกษา ควรกำหนดกลุ่มเป้าหมายให้ผู้มีสิทธิกู้ยืมจากเฉพาะผู้ที่มีรายได้ต่ำ 2) กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อ การศึกษาควรมีกลไกการตรวจสอบหรือกำกับดูแลจากกองทุนฯ ในการจัดสรรเงินกู้ยืมเพื่อให้การดำเนินงานให้กู้ของสถานศึกษาในสังกัดมีการให้กู้มีที่ถึงกลุ่มเป้าหมายอย่างแท้จริงItem ประเด็นปัญหาการจัดสรรค่าภาคหลวงแร่ให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น "กรณีศึกษา องค์การบริหารส่วนตำบลบ้านดง อำเภอแม่เมาะ จังหวัดลำปางสิริพงษ์ เทยสงวน; อัชกรณ์ วงศ์ปรีดี (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2019)การวิจัยในครั้งนี้เริ่มจากคำถามวิจัยที่ว่า ประเด็นปัญหาในจัดสรรค่าภาคหลวงแร่ให้แก่องค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่นในมุมมองขององค์การบริหารส่วนตำบลบ้านดงคืออะไร มีหน่วยงานใดที่เกี่ยวข้อง และจะ มีวิธีการแก้ไขปัญหาอย่างไร เนื่องจากในช่วงระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา แม้ว่ารัฐบาลจะมีนโยบายการกระจาย อำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น แต่ก็ยังคงพบว่า องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นหลายแห่งยังไม่ได้รับการ กระจายอำนาจ โดยเฉพาะในมิติของการจัดสรรงบประมาณยังคงไม่ทั่วถึง ซึ่งในบางพื้นที่มีทรัพยากรธรรมชาติ ที่สำคัญและสามารถสร้างรายได้ให้กับประเทศอย่างมหาศาล แต่งบประมาณที่กลับคืนสู่ท้องถิ่นหรือชุมชนนั้น ยังไม่เพียงพอและทั่วถึงทำให้การพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในด้านต่าง ๆ เช่น รายได้ สุขภาพอนามัย และสิ่งแวดล้อมไม่ดีอย่างที่ควรจะเป็น ดังนั้น วัตถุประสงค์ของการวิจัยชิ้นนี้คือ เพื่อศึกษาถึงประเด็นปัญหาใน จัดสรรค่าภาคหลวงแร่ให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในมุมมองขององค์การบริหารส่วนตำบลบ้านดงคือ อะไร เพื่อให้ทราบถึงข้อมูลในเชิงลึก และอาจจะนำไปสู่การค้นพบการแก้ปัญหาให้กับพื้นที่ที่ผู้วิจัยศึกษาได้ อย่างตรงจุดItem การนำนโยบายการผลิตและพัฒนาคุณภาพกำลังคนอาชีวศึกษาไปปฏิบัติ กรณีศึกษา : สถาบันการอาชีวศึกษากรุงเทพมหานครณัฐธิดา เอื้อประเสริฐ; พลอย สืบวิเศษ (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2019)การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1)ศึกษาการนำนโยบายการผลิตและพัฒนาคุณภาพ กำลังคนอาชีวศึกษาไปปฏิบัติ กรณีศึกษา: สถาบันการอาชีวศึกษากรุงเทพมหานคร 2) ศึกษาปัจจัยที่ มีอิทธิพลต่อการนำนโยบายการผลิตและพัฒนาคุณภาพกำลังคนอาชีวศึกษาไปปฏิบัติ งานวิจัยชิ้นนี้ ผู้วิจัยได้ใช้การศึกษาแบบผสมผสาน (Mixed Method Research) โดยเน้นการวิจัยเชิงปริมาณเป็น หลัก เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามจากกลุ่มตัวอยางบุคลากรที่ปฏิบัติงานในสถานศึกษาสังกัดสถาบันการอาชีวศึกษากรุงเทพมหานครทั้ง 13แห่ง จำนวน 309 ตัวอย่าง และเสริมด้วยการ วิจัยเชิงคุณภาพ โดยการสัมภาษณ์ผู้ที่เกี่ยวข้องโดยตรง ประกอบด้วย ผู้บริหารระดับสูงผู้บริหาร ระดับต้น ผู้อำนวยการกลุ่มนโยบายและแผน ข้าราชการบำนาญที่ปรึกษาประจำกลุ่มนโยบายและ แผนจากสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาผู้บริหารสถาบันการอาชีวศึกษากรุงเทพมหานคร ผู้บริหารสถานศึกษาในสังกัดสถาบันการอาชีวศึกษากรุงเทพมหานคร เจ้าหน้าที่ฝ่ายนโยบายและแผน รวมทั้งสิ้นจำนวน 12 ท่าน เพื่อทำให้การศึกษาในครั้งนี้มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น 1) สถาบันการอาชีวศึกษากรุงเทพมหานคร เป็ นหน่วยงานที่อยู่ภายใต้สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ และเกิดจากการรวมตัวของของสถานศึกษาทั้ง 13แห่ง เพื่อเข้าร่วมเป็นสถาบัน ตามพระราชบัญญัติการอาชีวศึกษา พ.ศ. 2551 ซึ่งมีหน้าที่หลักใน การมุ่งสร้างและผลิตกำลังคนอาชีวศึกษาทั้ง ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) ระดับ ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) และระดับปริญญาตรีสายเทคโนโลยีหรือสายปฏิบัติการ ทั้งนี้ เพื่อให้เป็นไปตามนโยบายการผลิตและพัฒนากำลังคนอาชีวศึกษา เมื่อได้รับนโยบายมาแล้วนั้น สถาบันได้ทำการแปลงนโยบายไปสู่การปฏิบัติ โดยจัดทำเป็นแผนยุทธศาสตร์ของสถาบันการ อาชีวศึกษากรุงเทพมหานคร เพื่อให้ตรงกับบริบทของสถาบัน สถานศึกษาในสังกัดและชุมชน ท้องถิ่น ซึ่งยึดเป็นกรอบและแนวทางในการขับเคลื่อนของสถาบันอาชีวศึกษากรุงเทพมหานคร เพื่อให้สอดคล้องเป็นไปตามแนวนโยบายการผลิตและพัฒนาคุณภาพกาลังคนอาชีวศึกษา 2) ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการนำนโยบายการผลิตและพัฒนาคุณภาพกำลังคนอาชีวศึกษาไป ปฏิบัติ ระดับความคิดเห็นของบุคลากรในสถานศึกษา โดยรวมอยูในระดับมาก เมื่อจำแนกเป็นรายด้าน 6 ด้าน พบว่า (1) ปัจจัยด้านมาตรฐานและวัตถุประสงค์ของนโยบาย ระดับความคิดเห็นของ บุคลากรในสถานศึกษาพบว่าอยู่ในระดับมาก และมีอิทธิพลต่อการนำโยบายไปปฏิบัติ (2) ปัจจัยด้านทรัพยากรองค์การ ระดับความคิดเห็นของบุคลากรในสถานศึกษาพบว่าอยูในระดับมาก แต่ไม่มีอิทธิพลต่อการนำโยบายไปปฏิบัติ (3) ปัจจัยด้านการสื่อสารระหว่างองค์การ ระดับ ความคิดเห็นของบุคลากรในสถานศึกษาพบว่าอยู่ในระดับมาก และมีอิทธิพลต่อการนำโยบายไปปฏิบัติ (4) ปัจจัยด้านลักษณะขององค์การที่นำไปปฏิบัติ ระดับความคิดเห็นของบุคลากรใน สถานศึกษาพบว่าอยู่ในระดับมาก แต่ไม่มีอิทธิพลต่อการนำนโยบายไปปฏิบัติ (5) ปัจจัยด้านเงื่อนไขทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง ระดับความคิดเห็นของบุคลากรในสถานศึกษาพบว่า อยูในระดับมาก และมีอิทธิพลต่อการนำโยบายไปปฏิบัติ และ (6) ปัจจัยด้านความร่วมมือและการ ตอบสนองของผู้ปฏิบัติ ระดับความคิดเห็นของบุคลากรในสถานศึกษาพบวาอยู่ ในระดับมาก และมีอิทธิพลต่อการนำนโยบายไปปฏิบัติ ตามลำดับItem ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความสำเร็จในการนำนโยบายไปปฏิบัติในพื้นที่จังหวัดนราธิวาส: กรณีศึกษา แผนปฏิบัติการ การแก้ไขปัญหาและพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. 2558-2560ศักรินทร์ เสาร์พูน; ประพนธ์ สหพัฒนา (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2019)การศึกษาในคร้ังนี้มีวตัถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับ ของปัจจัยสู่ความสำเร็จในการนำแผนปฏิบัติการการแก้ไขปัญหาและพัฒ นาจงัหวัดชายแดนภาคใต้พ.ศ.2558-2560 ไปปฏิบัติใน พื้นที่จังหวัดนราธิวาส 2) ศึกษาระดับความสำเร็จในการนำ แผนปฏิบัติการการแก้ไขปัญหาและพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ.2558-2560 ไปปฏิบัติในพื้นที่จังหวัดนราธิวาส 3) ศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความสำเร็จในการนำแผนปฏิบัติการการแก้ไขปัญหาและพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ.2558-2560 ไปปฏิบัติในพื้นที่จังหวัด นราธิวาส และ 4) แสวงหาแนวทางและข้อเสนอแนะที่ เหมาะสมในการนำแผนปฏิบัติการการแกไข้ปัญหาและพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ.2558- 2560ไปปฏิบัติในพื้นที่จังหวัดนราธิวาสให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุด ผู้วิจัยได้ใช้การศึกษาวิจัยแบบผสมผสานวิธี (Mixed Method Research) โดยเน้นการวิจัย เชิงปริมาณเป็ นหลัก (Quantitative Research) เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถามโดยการสำรวจ (Survey Research) จากกลุ่มตัวอย่างผู้นำประชาชน จำนวน 407 ตัวอย่างและเสริมข้อมูลด้วยการ วิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) โดยสัมภาษณ์ผู้นำประชาชน จำนวน 10 คน ครอบคลุมทั้ง 13 อำเภอในพื้นที่จังหวัดนราธิวาส ผลการศึกษา พบว่า 1) ระดับปัจจัยสู่ความสำเร็จในการนำแผนปฏิบัติการการแกไข้ปัญหา และพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ.2558-2560ไปปฏิบัติในพื้นที่จังหวัดนราธิวาส พบว่าระดับปัจจยัสู่ความสำเร็จรวมทุกด้านอยู่ในระดับสูง 2) ระดับความสำเร็จในการนำแผนปฏิบัติการ การ แก้ไขปัญหาและพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ.2558-2560ไปปฏิบัติในพื้นที่จังหวัดนราธิวาส พบว่าแผนปฏิบัติการการแก้ไขปัญหาและพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้พ.ศ.2558-2560 ประสบ ความสำเร็จทุกด้าน และอยู่ในระดับสูง โดยด้านที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด คือ ด้านการอยู่ ร่วมกันในสังคมพหุวัฒนธรรม รองลงมาคือ ด้านความเข้าใจและสนับสนุนแนวทางการดำเนินงาน ของภาครัฐ ส่วนด้านการลดการใช้ความรุนแรงในพื้นที่และแสวงหาทางออกจากความขัดแย้งโดย สันติวิธีและด้านการมีคุณภาพชีวิตที่ดีสามารถดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างปกติสุขอยู่ในลำดับที่ สามและสี่ ตามลำดับ ทำให้สถานการณ์ในภาพรวมในพื้นที่จังหวัดนราธิวาสมีแนวโน้มการ เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น 3) ปัจจยัที่มีอิทธิพลต่อความสำเร็จในการนำแผนปฏิบัติการการ แก้ไขปัญหาและพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้พ.ศ.2558-2560ไปปฏิบัติในพื้นที่จังหวัดนราธิวาส ผลการศึกษา พบว่า ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความสำเร็จอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 มีจำนวน 4 ปัจจัย โดยเรียงลำดับจากปัจจัยที่มีอิทธิพลหรือความสัมพันธ์มากที่สุดไปหาปัจจัยที่มีอิทธิพลหรือ ความสัมพันธ์น้อยสุด ได้แก่ปัจจัยการเข้ามามีส่วนร่วมของภาคประชาสังคมและภาคประชาชนใน กระบวนการนำนโยบายไปปฏิบัติปัจจัยกลไกความร่วมมือระหว่างหน่วยงานของรัฐที่นำนโยบาย ไปปฏิบัติ ปัจจัยสมรรถนะและความเพียงพอของทรัพยากร และปัจจัยทัศนคติของเจ้าหน้าที่รัฐที่ เกี่ยวข้องกับการนำนโยบายไปปฏิบัติ 4) แนวทางและข้อเสนอแนะที่เหมาะสมในการนำแผนปฏิบัติ การการแก้ไขปัญหาและพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้พ.ศ.2558-2560ไปปฏิบัติในพื้นที่จังหวัด นราธิวาสให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุด คือ ภาครัฐต้องจัดให้มีเวทีประชาคม หรือเวทีรับฟังความคิดเห็น เพื่อเปิดโอกาสและสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชนในกระบวนการกำหนดนโยบายการนำนโยบายแผนปฏิบัติการ หรือโครงการการพัฒนาต่าง ๆ ไปปฏิบัติในพื้นที่หรือให้ ประชาชนและเจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติการที่อยู่ในพื้นที่ร่วมกัน เสนอโครงการเพื่อของบประมาณ สนับสนุนการพัฒนาในหมู่บ้าน ชุมชนของตนเอง เนื่องจากความต้องการหรือปัญหาของประชาชน ในแต่ละพื้นที่ย่อมมีความแตกต่างกันออกไป ดังนั้น การสนับสนุนส่งเสริมด้านการพัฒนาให้ตรง กับความต้องการและศักยภาพของประชาชนในพื้นที่จะทำให้ประชาชนสนับสนุนการทำงานในด้านอื่น ๆ ของภาครัฐตามมาด้วย รวมทั้งการติดตาม ประเมินผล และตรวจสอบการทำงาน รวมทั้งตรวจสอบการใช้งบประมาณหน่วยงานภาครัฐและเจ้าหน้าที่รัฐในการแก้ไขปัญหาและการพัฒนา จังหวัดชายแดนภาคใต้เพื่อให้เกิดความคุ้มค่าและเป็นไปตามเป้าหมาย และวัตถุประสงค์ของ นโยบายItem การศึกษาบทบาทและสภาพความร่วมมือระหว่างภาครัฐส่วนกลาง ส่วนท้องถิ่น ภาคประชาสังคม และสถาบันอาชีวศึกษาของจังหวัดภูเก็ตจุฑามาศ พูลสวัสดิ์; พลอย สืบวิเศษ (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2019)การวิจัยนี้มีวตัถุประสงค์1) เพื่อศึกษาบทบาทและสภาพความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ส่วนกลาง ส่วนท้องถิ่น ภาคประชาสังคม และสถาบันอาชีวศึกษาในการจัดการศึกษาและแนะแนว เพื่อส่งเสริมการศึกษาต่อสายอาชีพของนักเรียนในจังหวัดภูเก็ต 2) เพื่อศึกษาผลของการแนะแนวที่ จัดขึ้นโดยภาคส่วนต่างๆ ที่มีผลต่อการตัดสินใจศึกษาต่อสายอาชีพของนักเรียนในจงัหวัดภูเก็ต และ 3) เพื่อเสนอแนะแนวทางการจัดการศึกษาที่เหมาะสมกบัแต่ละพื้นที่การวิจัยคร้ังนี้ใช้วิธีวิจัยที่ ผสมผสานระหว่างการวิจัยเชิงคุณภาพและการวิจัยเชิงปริมาณ (Mixed Methodology) สำหรับการ วิจัยเชิงคุณภาพ ผู้วิจัยศึกษาข้อมูลจากเอกสารประกอบกับการสัมภาษณ์เชิงลึก (In-Depth Interview) ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษาจากแต่ละภาคส่วน ได้แก่ศึกษาธิการจังหวัด ภูเก็ต รองนายกเทศมนตรีนครภูเก็ต ประธานและเลขาธิการสภาการศึกษาจังหวัดภูเก็ต ผู้อำนวยการสถาบัน อาชีวศึกษาในจังหวัด 4 แห่ง และนักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) ช้ันปีที่1ของ สถาบันอาชีวศึกษาในจังหวัดภูเก็ต ด้านการวิจัยเชิงปริมาณใช้วิธีเก็บรวบรวมข้อมูลจากแบบสอบถามแสดงปัจจัยที่มีผลต่อการศึกษาต่ออาชีวศึกษาของประชากรกลุ่มเป้าหมายซึ่งเป็น นักเรียนระดับประกาศนียบตัรวิชาชีพ (ปวช.) ชั้นปีที่1ของสถาบันอาชีวศึกษาในจังหวัดภูเก็ต โดยสุ่มตัวอย่างจำนวน 338 คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติค่าร้อยละ (Percentage) ค่าเฉลี่ย (Mean) และ หาค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation)ผลการวิจัยพบว่า 1) สำนักงานศึกษาธิการจังหวัดภูเก็ตมีบทบาทหน้าที่ในการกำกับดูแล บูรณาการ และ สนับสนุนการพัฒนาคุณภาพการศึกษาของจังหวัด ด้านเทศบาลนครภูเก็ตในฐานะองค์กรปกครอง ส่วนท้องถิ่นมีบทบาทในการส่งเสริมให้นักเรียนในโรงเรียนสังกัดเทศบาลทา กิจกรรมด้านทักษะ อาชีพ สภาการศึกษาจังหวัดภูเก็ตมีบทบาทที่เด่นชัดในฐานะผู้ริเริ่มปฏิรูปการจัดการศึกษาเพื่อ ส่งเสริมการมีอาชีพ และเชื่อมโยงภาคส่วนในจังหวัดให้เข้ามาร่วมขับเคลื่อนโครงการและกิจกรรม ต่างๆ ด้านสถาบันอาชีวศึกษาในจังหวัดมีบทบาทจัดหลักสูตรการศึกษาเพื่อผลิตบุคลากรที่มีทักษะ สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงาน ท้ังนี้ผลจากการสัมภาษณ์เชิงลึกถึงสภาพความ ร่วมมือของภาคส่วนต่างๆ ในการจัดการศึกษาและแนะแนว พบว่า ศักยภาพในการระดมความ ร่วมมือของสภาการศึกษาจงัหวัดภูเก็ตนับเป็นจุดแข็งที่ทา ให้การดำเนินงานนี้ประสบความสำเร็จ อย่างเป็นรูปธรรม โดยสัดส่วนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่3 โรงเรียนสังกัดต่างๆ ที่เข้าศึกษาต่อ ในสถาบันอาชีวศึกษา ปีการศึกษา 2560 – 2561 อยู่ที่ร้อยละ 46.39 และร้อยละ 44.65 ตามลำดับ ซึ่ง เพิ่มขึ้นใกล้เคียงกับเป้าหมายของรัฐบาลขณะที่นักเรียนระดับ ปวช. ชั้นปีที่1 มีความคิดเห็นไปในทิศทางเดียวกันว่าการจัดหลัก สูตรเตรียมความพร้อมและการแนะแนวที่แต่ละภาคส่วนได้จัดขึ้น ส่งผลให้นักเรียนตัดสินใจเลือกศึกษาต่อในระดับอาชีวศึกษา 2)ผลของการแนะแนวที่จัดขึ้นโดยภาคส่วนต่างๆ ที่มีผลต่อการตัดสินใจศึกษาต่อสายอาชีพของนักเรียนในจังหวัดภูเก็ต พบว่า มีผลการประเมินอยู่ในระดับมาก นอกจากนี้การที่นักเรียนได้เข้าร่วมมหกรรมแนะแนว “เปิดโลกสัมมาชีพ” ที่ภาคีเครือข่ายร่วมกันจัดขึ้นยังมีผลต่อการตัดสินใจเลือกศึกษาต่อสายอาชีพของนักเรียนอยู่ในระดับมากItem กลไกการถ่วงดุลอำนาจตามโครงสร้างของเทศบาล 4 แห่ง ในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ปรางศรี ทิพย์รักษา; อัชกรณ์ วงศ์ปรีดี (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2017)การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเพื่อศึกษาเปรียบเทียบการถ่วงดุลอำนาจตามโครงสร้างของ เทศบาล และปัญหา อุปสรรคในการกำกับดูแลตรวจสอบของสมาชิกสภาเทศบาลเสียงข้างมากและ เสียงข้างน้อย ผลการศึกษา พบว่า การถ่วงดุลอำนาจตามโครงสร้างของเทศบาลระหว่างเทศบาลที่ฝ่าย บริหารมีเสียงข้างมากในสภาและฝ่ายค้านเป็นเสียงข้างน้อยในสภาโดยข้อเท็จจริงแล้วมีวิธีการ ปฎิบัติการที่เหมือนกัน และปัญหาที่พบในการตรวจสอบถ่วงดุลก็ไม่แตกต่างกัน ซึ่งปัญหาที่พบ มากที่สุดคือ นายกเทศมนตรีมีอำนาจมากเกินไปทำให้เกิดการผูกขาดทางการบริหาร เนื่องจาก สภาเป็นฝ่ายเดียวกับฝ่ายบริหารทั้งหมด ทำให้ฝ่ายบริหารมีเสียงข้างมากในสภา เสียงส่วนน้อยจึง ไม่ค่อยมีผลกระทบต่อฝ่ายบริหารมากนัก และเนื่องจากเป็นเสียงส่วนน้อยจึงทำให้เกิดความเกรงใจในการปฎิบัติงานและต้องทำตามเสียงส่วนใหญ่ การแสดงความคิดเห็นที่แตกต่างก็เป็นไปได้ยาก ถึงแม้จะมีสภาเทศบาลเป็นองค์ประกอบหลักในการถ่วงดุลอำนาจตามโครงสร้างของเทศบาลก็ตาม แต่ในทางปฏิบัติแล้วสภาเทศบาลก็ไม่ได้ช่วยคานอำนาจของฝ่ายบริหารเลย ซ้ำยังมีแนวโน้มไปในทางเอื้อผลประโยชน์ให้ฝ่ายบริหารอีกด้วย ดังนั้น ควรที่จะเพิ่มความเข้มแข็งของสภาโดยการทำให้ฝ่ายสภาสามารถมีอำนาจในการตรวจสอบได้อย่างแท้จริง และที่สำคัญฝ่ายสภา ต้องไม่เป็นฝ่ายเดียวกับฝ่ายบริหารเพื่อให้กลไกการถ่วงดุลอำนาจสามารถทำงานได้อย่างเต็มที่Item ปัจจัยกดดันและปัจจัยการควบคุมตนเองกับการกระทำความผิดของเด็กและเยาวชนจิริทธิ์พล ภูวไชยจีรภัทร; ประพนธ์ สหพัฒนา (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2017)การวิจัยครั้งนี้เป็นการศึกษาปัจจัยกดดัน (Strain Theory) และปัจจัยการควบคุมตนเอง (Self-control Theory) กับการกระทำความผิดของเด็กและเยาวชน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา ปัจจัยกดดันและปัจจัยการควบคุมตนเองที่มีอิทธิพลต่อการกระทำความผิดของเด็กและเยาวชน และเพื่อให้ได้ข้อเสนอแนะในการแก้ไขปัญหาการกระทำความผิดของเด็กและเยาวชน การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยแบบผสานวิธี (Mixed-method Approach) โดยศึกษากลุ่ม ตัวอย่างจำนวนทั้งสิ้น 800 คน ได้แก่ เด็กและเยาวชนที่กระทำผิดและอยู่ในความดูแลของศูนย์ ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชนของกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน จำนวน 400 คน และ เด็กและเยาวชนที่ไม่ได้กระทำผิดและกำลังศึกษาอยู่ในโรงเรียนมัธยมศึกษาในเขตจังหวัดพื้นที่ ภาคกลาง จำนวน 400 คน และทำการศึกษาจากผู้ให้ข้อมูลสำคัญซึ่งเป็นบุคคลที่ทำงาน เกี่ยวข้องกับเด็กและเยาวชนและมีความรู้และประสบการณ์เกี่ยวกับเด็กและเยาวชน จำนวน 11 คน โดยการวิเคราะห์แบ่งออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่ 1) การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณ (Quantitative Analysis) ซึ่งเป็นการวิเคราะห์ข้อมูลของแบบสอบถามจากเด็กและเยาวชนที่ กระทำผิดและไม่ได้กระทำผิดทั้งสองกลุ่ม และ 2) การวิเคราะห์ข้อมูลของกลุ่มตัวอย่างโดยใช้ วิธีการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Analysis) ได้แก่ การสัมภาษณ์เชิงลึกจากเด็กและเยาวชน ที่กระทำผิดและไม่ได้กระทำผิดทั้งสองกลุ่มและทำการสัมภาษณ์ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ ได้แก่ นักสังคมสงเคราะห์ นักจิตวิทยา นักวิชาการอบรมและฝึกวิชาชีพ อาจารย์ประจำโรงเรียน ผู้พิพากษา ประธานคณะกรรมาธิการคณะกรรมาธิการสังคม กิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ คนพิการและผู้ด้อยโอกาส และนายกราชบัณฑิตยสภา สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ในโครงการวิจัยนี้ คือ สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าร้อยละ (Percentage) ค่าเฉลี่ย (Mean) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) และสถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ ค่าสหสัมพันธ์ (Correlation) และการวิเคราะห์การถดถอยโลจิสติกส์ (Logistic Regression Analysis) โดยผลการวิจัยได้ปรากฎดังนี้ การวิเคราะห์ข้อมูลทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ พบว่า ปจัจยักดดนัทม่ีอีทิธพิลต่อการ กระทำความผิดของเด็กและเยาวชนมากที่สุดมาจากปัจจัยกดดันจากครอบครัว รองลงมาคือ ปัจจัยกดดันจากชุมชนและสภาพแวดล้อมทางสังคมและปัจจัยกดดันจากโรงเรียน ส่วนปัจจัยการควบคุมตนเองมีความสัมพันธ์ในเชิงบวกกับปัจจัยกดดัน ซึ่งปัจจัยการควบคุมตนเองที่เกิด จากกระบวนการขัดเกลาทางสังคมจากครอบครัว (Socialization) เป็นตัวสร้างภูมิต้านทานทาง สังคมให้กับเด็กและเยาวชนและทำให้สามารถยับยั้งไม่ให้เด็กและเยาวชนกระทำความผิด และ จากผลการวิจัยครั้งนี้ยังพบว่า ปัจจัยการควบคุมตนเองในองค์ประกอบความหุนหันพลันแล่น (Impulsive) มีอิทธิพลที่ทำให้เด็กและเยาวชนกระทำความผิดมากที่สุด เพราะการควบคุมตนเองต่ำมีความสัมพันธ์ทางบวกต่อการกระทำความผิดจากกระบวนการทางความคิดของเด็กและเยาวชนที่กระทำผิด และเด็กและเยาวชนที่กระทำผิดส่วนใหญ่มาจากครอบครัวที่แตกแยกหรือ ครอบครัวขาดการอบรมสั่งสอนและไม่ได้ให้การดูแลเอาใจใส่ รวมถึงการเลี้ยงดูที่ผิดวิธีเช่น การ ให้ทรัพย์สินทดแทนการให้ความใกล้ชิด จึงทำให้ความผูกพันที่เด็กมีต่อครอบครัวน้อยและเด็ก และเยาวชนมีการคบหากับเพื่อนที่อยู่ในชุมชนและมีการรวมกลุ่มกันกระทำผิด เช่น การรวมกลุ่มกันแข่งรถจักรยานยนต์และเสพยาเสพติด ประกอบกับสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงอย่าง รวดเร็วโดยเฉพาะสื่อโซเชียลมีผลทำให้เด็กและเยาวชนเกิดการลอกเลียนแบบพฤติกรรมที่ผิด และสภาพแวดล้อมของสังคมที่การซื้อขายยาเสพติดทำได้ง่าย ดังนั้นภาครัฐและหน่วยงานที่กี่ยวข้องทุกภาคส่วนควรให้ความสำคัญ ในการแก้ไขปัญหานี้อย่างจริงจังItem การศึกษาบทบาทนโยบายของผู้บริหารท้องถิ่นกับการจัดเก็บรายได้ขององค์การบริหารส่วนจังหวัดสุพัฒน์จิตร ลาดบัวขาว; จันทรานุช มหากาญจนะ (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2021)การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาบทบาทนโยบายของผู้บริหารท้องถิ่นกับการจัดเก็บรายได้ขององค์การบริหารส่วนจังหวัด และ 2) เพื่อศึกษาการบริหารการจัดเก็บรายได้เพื่อนำไปสู่ความสำเร็จในด้านการจัดเก็บรายได้ขององค์การบริหารส่วนจังหวัด ผู้วิจัยได้ใช้ระเบียบวิธีการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยการศึกษาค้นคว้าจากเอกสารและการสัมภาษณ์อย่างไม่เป็นทางการ จากผู้ให้ข้อมูลสำคัญที่เกี่ยวข้องกับบทบาทนโยบายของผู้บริหารท้องถิ่น จำนวน 12 คน คือ ผู้บริหารท้องถิ่น หัวหน้าหน่วยงาน และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องในการจัดเก็บรายได้ ผลการศึกษาพบว่า 1) บทบาทนโยบายของผู้บริหารท้องถิ่นกับการจัดเก็บรายได้ขององค์การบริหารส่วนจังหวัด มีดังนี้ (1) บทบาทของผู้บริหารท้องถิ่น ได้แก่ การกำหนดนโยบายการบริหาร การจัดเก็บรายได้ และติดตามงานประเมินผลนโยบายการจัดเก็บรายได้ (2) บทบาทของหัวหน้าหน่วยงาน ได้แก่ กำหนดมาตรการจัดเก็บรายได้ การกำกับดูแลการปฏิบัติงานของฝ่ายพัฒนารายได้ การติดตามผลการจัดเก็บรายได้ การควบคุมและประเมินการปฏิบัติงาน และรายงานผลการจัดเก็บรายได้ต่อผู้บริหารท้องถิ่น และ (3) บทบาทของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องในการจัดเก็บรายได้ ได้แก่ การนำนโยบายไปปฏิบัติให้บรรลุตามเป้าหมาย และการปฏิบัติงานตามที่ได้รับมอบหมาย และ 2) การบริหารการจัดเก็บรายได้เพื่อนำไปสู่ความสำเร็จในด้านการจัดเก็บรายได้ขององค์การบริหารส่วนจังหวัด ตามหลักกระบวนการบริหาร POLE มีดังนี้ (1) การวางแผน จัดทำแผนปฏิบัติการจัดเก็บภาษีและค่าธรรมเนียม การนำหลักธรรมาภิบาลมาปรับใช้ในการวางแผนการทำงาน การจัดทำคู่มือการปฏิบัติงาน การจัดทำโครงการเคลื่อนที่เพื่อรับบริการนอกสถานที่ และการบังคับใช้กฎหมาย (2) การจัดองค์การ มีการบริหารจัดการภายในองค์กรตามโครงสร้างและอำนาจหน้าที่ ส่วนการจัดเก็บรายได้นั้นถูกกำหนดให้เป็นหน้าที่ของฝ่ายพัฒนารายได้ขึ้นต่อกองคลัง รวมถึงการจัดทำข้อมูลสารสนเทศ เช่น แผนที่ภาษีและชำระภาษี ระบบชำระภาษีออนไลน์ เป็นต้น (3) การบริหารงานบุคลากร มีการกำหนดกรอบการบริหารงานบุคลากรเพื่อเป็นมาตรฐานการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ การจัดระบบงานและอัตรากำลังให้เพียงพอต่อการทำงานเพื่อให้การปฏิบัติงานเกิดประสิทธิภาพและความคุ้มค่า และ (4) การควบคุมงานติดตาม/ประเมินผลนโยบาย มีการกำหนดแนวทางการปฏิบัติงานโดยการสร้างกลไกควบคุมงานติดตาม ประเมินผลนโยบาย กระบวนการและขั้นตอนการจัดเก็บรายได้เป็นตามระดับการบังคับบัญชาตามสายงานที่ปฏิบัติงาน รวมถึงการตรวจสอบ และประเมินผลการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่อย่างสม่ำเสมอและเที่ยงธรรมItem การส่งเสริมและสนับสนุนการปกครองท้องถิ่น กรณีศึกษา การมีส่วนร่วมของประชาชนในการจัดทำแผนพัฒนาท้องถิ่นของเทศบาลตำบลหลักห้าพรชัย สุขอยู่; อัชกรณ์ วงศ์ปรีดี (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2021)การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาพลวัตการมีส่วนร่วมของประชาชนต่อกระบวนการจัดทำแผนพัฒนาท้องถิ่นของเทศบาลตำบลหลักห้า โดยผู้วิจัยได้ใช้กรณีศึกษาคือเทศบาลตำบลลหักห้า และผู้วิจัยได้ดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลโดยการศึกษาจากข้อมูลทุติยภูมิ และการสัมภาษณ์เชิงลึก ผลศึกษาพบว่า 1) ระดับการมีส่วนร่วมขอประชาชนในการจัดทำแผนพัฒนาท้องถิ่นแบ่งออกเป็น 5 ระดับ การมีส่วนร่วมระดับการรับรู้ข้อมูลข่าวสาร การมีส่วนร่วมระดับการเปิดรับฟังความเห็นจากประชาชน การมีส่วนร่วมระดับการมีส่วนร่วมในระดับการปรึกษาหารือหรือการเข้าร่วมประชุม การมีส่วนร่วมระดับการมีส่วนร่วมในระดับการวางแผนร่วมกัน และการมีส่วนร่วมในระดับการมีส่วนร่วมในการติดตามและตรวจสอบและประเมินผลการดำเนินงานตามแผนพัฒนาท้องถิ่น 2) ปัจจัยที่ส่งผลต่อการมีส่วนร่วมของประชาชนในการจัดทำแผนพัฒนาท้องถิ่น ได้แก่ การมีภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงของผู้นำชุมชน ศักยภาพของประชาชน ความสะดวกของประชาชน ทัศนคติของประชาชน การเป็นคนในพื้นที่ ความสัมพันธ์อันดีระหว่างประชาชนกับเทศบาล และปัจจัยภายนอกชุมชนได้แก่ การประชาสัมพันธ์และสื่อที่ใช้ประชาสมัพันธ์ ระดับความเข้มข้นของปัญหาและความต้องการของประชาชน 3) แนวทางการส่งเสริมและสนับสนุนการมีส่วนร่วมของประชาชนในการจัดทำแผนพัฒนาท้องถิ่นโดยมุ่งเน้นไปที่การปรับปรุงและการพัฒนาการดำเนินงานของเทศบาลตำบลหลักห้าได้แก่ การพัฒนากลไกการประชาสัมพันธ์ของเทศบาลตำบลหลักห้าให้มีประสิทธิ การส่งเสริมสนับสนุนการจัดทำแผนชุมชน การปรับเปลี่ยนรูปแบบการประชุมให้มีความเหมาะสมมากยิ่งขึ้น การพัฒนาศักยภาพของประชาชนหรือผู้แทนที่เข้ามาดำรงตำแหน่งกรรมการ และการปรับปรุงรูปแบบการรายงานและติดตามประเมินผลแผนพัฒนาท้องถิ่น