ขีดความสามารถในการบริหารงานพัฒนาของสภาตำบลในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
Publisher
Issued Date
1991
Available Date
Copyright Date
Resource Type
Series
Edition
Language
tha
File Type
application/pdf
No. of Pages/File Size
29, 305 แผ่น
ISBN
ISSN
eISSN
Other identifier(s)
Identifier(s)
Access Rights
Access Status
Rights
ผลงานนี้เผยแพร่ภายใต้ สัญญาอนุญาตครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 4.0 (CC BY-NC-ND 4.0)
Rights Holder(s)
Physical Location
สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์. สำนักบรรณสารการพัฒนา
Bibliographic Citation
Citation
วิรัช วิรัชนิภาวรรณ (1991). ขีดความสามารถในการบริหารงานพัฒนาของสภาตำบลในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ. Retrieved from: http://repository.nida.ac.th/handle/662723737/915.
Title
ขีดความสามารถในการบริหารงานพัฒนาของสภาตำบลในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
Alternative Title(s)
The development administration capacities of Tambon Council in the Northeast of Thailand
Author(s)
Editor(s)
Advisor(s)
Advisor's email
Contributor(s)
Contributor(s)
Abstract
วิทยานิพนธ์นี้ให้ความสนใจอย่างยิ่งกับการศึกษาถึงความคิดเห็นของกรรมการสภาตำบลและทัศนคติของประชาชนต่อขีดความสามารถในการบริหารงานพัฒนาของสภาตำบล ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ดังนั้น จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อมุ่งศึกษาถึงความคิดเห็นของคณะกรรมการสภาตำบล และทัศนคติประชาชนต่อความสัมพันธ์ระหว่าง ITERMS กับ N ในฐานะที่ ITERMS,N เป็นตัวแบบหนึ่งที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้เป็นกรอบแนวคิดในการพิจารณาถึงขีดความสามารถในการบริหารงานพัฒนาของสภาตำบลได้โดย ITERMS ซึ่งประกอบขึ้นด้วยข้อมูลข่าวสาร เทคโนโลยี ฐานะทางการเงินของสภาตำบล ทรัพยากร การเสียสละเพื่อส่วนรวมของกรรมการสภาตำบล รวมทั้งกลุ่มทางสังคมและการเมืองในท้องถิ่น ทั้งหมดนี้เป็นปัจจัยที่มีผลต่อขีดความสามารถในการบริหารงานพัฒนาของสภาตำบล หรือเป็นกลุ่มตัวแปรอิสระ ส่วน N เป็นขีดความสามารถในการบริหารงานพัฒนาของสภาตำบล หรือเป็นตัวแปรตาม ซึ่งประกอบด้วยการกำหนดปัญหาและความต้องการของชาวบ้าน การตัดสินใจ การวางแผน การจัดองค์การ การคลังท้องถิ่น การประสานงาน การควบคุม และการประเมินผล นอกจากนี้วัตถุประสงค์ของการศึกษาครั้งนี้ ยังรวมไปถึงการเสนอแนวทางที่เหมาะสมสำหรับปรับปรุงการบริหารงานพัฒนาของสภาตำบลให้มีขีดความสามารถสูงขึ้นด้วย.
ตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้มี 2 กลุ่ม ได้แก่ กรรมการสภาตำบลและประชาชนที่เป็นหัวหน้าครัวเรือนและผู้นำกลุ่ม ซึ่งสุ่มตัวอย่างได้จาก 81 ตำบล 27 อำเภอ 9 จังหวัดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยได้ตัวอย่างจำนวน 854 คน ซึ่งเท่ากับร้อยละ 81.1 ของตัวอย่างทั้งหมด (1,053 คน) ส่วนการรวบรวมข้อมูลสนามใช้วิธีสัมภาษณ์รายบุคคลด้วยแบบสอบถามในช่วงเดือนมิถุนายน ถึง กรกฎาคม 2534 การประมวลข้อมูลและวิเคราะห์ข้อมูลใช้เครื่องคอมพิวเตอร์โปรแกรม SPSS สำหรับสถิติที่ใช้คือ ความแตกต่างของร้อยละ Chi-square และ Multiple regression.
ผลการศึกษาพบว่า ตามความคิดเห็นของกรรมการสภาตำบลนั้นปัจจัยที่มีผลต่อขีดความสามารถในการบริหารงานพัฒนาของสภาตำบล อันได้แก่ (1) เทคโนโลยี (2) ฐานะทางการเงินของสภาตำบล (3) ทรัพยากร (4) การเสียสละเพื่อส่วนรวมของกรรมการสภาตำบล ตลอดจน (5) กลุ่มทางสังคมและการเมืองในท้องถิ่น ยกเว้นข้อมูลข่าวสาร มีความสัมพันธ์ทางบวกหรือมีส่วนช่วยส่งเสริมให้การบริหารงานพัฒนาของสภาตำบลมีขีดความสามารถสูงขึ้น และเมื่อเรียงลำดับความสำคัญของปัจจัยดังกล่าวแต่ละตัวที่มีต่อขีดความสามารถในการบริหารงานพัฒนาของสภาตำบล โดยใช้ Multiple regression พบว่าทรัพยากรมีส่วนช่วยส่งเสริมให้การบริหารงานพัฒนาของสภาตำบลมีขีดความสามารถสูงขึ้นมากที่สุด รองลงมาตามลำดับคือ ฐานะทางการเงินของสภาตำบล กลุ่มทางสังคมและการเมืองในท้องถิ่น เทคโนโลยี การเสียสละเพื่อส่วนรวมของกรรมการสภาตำบล และข้อมูลข่าวสาร สำหรับแนวทางที่จะช่วยให้การบริหารงานพัฒนาของสภาตำบลมีขีดความสามารถสูงขึ้นนั้น พบว่าควรให้ความสำคัญเป็นพิเศษกับฐานะทางการเงินของสภาตำบลควบคู่ไปกับทรัพยากร.
ส่วนผลการศึกษาถึงทัศนคติของประชาชนปรากฎว่า ปัจจัยที่มีผลต่อขีดความสามารถในการบริหารงานพัฒนาของสภาตำบลทุกตัวล้วนมีความสัมพันธ์ทางบวกหรือมีส่วนช่วยส่งเสริมให้การบริหารงานพัฒนาของสภาตำบลมีขีดความสามารถสูงขึ้น และเมื่อเรียงลำดับความสำคัญของปัจจัยดังกล่าวแต่ละตัวที่มีต่อขีดความสามารถในการบริหารงานพัฒนาของสภาตำบลก็พบว่าข้อมูลข่าวสารมีส่วนช่วยส่งเสริมให้การบริหารงานพัฒนาของสภาตำบลมีขีดความสามารถสูงขึ้นมากที่สุด รองลงมาตามลำดับคือฐานะทางการเงินของสภาตำบล กลุ่มทางสังคมและการเมืองในท้องถิ่น การเสียสละเพื่อส่วนรวมของกรรมการสภาตำบล เทคโนโลยี และทรัพยากร ส่วนแนวทางที่จะช่วยให้การบริหารงานพัฒนาของสภาตำบลมีขีดความสามารถสูงขึ้นนั้น พบว่าควรให้ความสำคัญเป็นพิเศษกับข้อมูลข่าวสาร ฐานะทางการเงินของสภาตำบล กลุ่มทางสังคมและการเมืองในท้องถิ่น พร้อมทั้งการเสียสละเพื่อส่วนรวมของกรรมการสภาตำบล
เมื่อศึกษาเปรียบเทียบความคิดเห็นของกรรมการสภาตำบลกับทัศนคติของประชาชน ทำให้พอที่จะกล่าวได้ว่า ทั้งกรรมการสภาตำบลและประชาชนส่วนใหญ่มีแนวโน้มว่ายอมรับตัวแบบ ITERMS,N ในฐานะที่เป็นตัวแบบหนึ่งซึ่งสามารถนำไปประยุกต์ใช้เป็นกรอบแนวคิดในการพิจารณาถึงขีดความสามารถในการบริหารงานพัฒนาของสภาตำบลได้ ในเวลาเดียวกันยังพบว่าความคิดเห็นส่วนใหญ่ที่มีต่อ ITERMS,N เป็นไปในทำนองเดียวกันมีแตกต่างกันไม่มาก เฉพาะที่สำคัญคือเรื่องข้อมูลข่าวสาร.
สำหรับข้อเสนอแนะนั้น ผู้ศึกษาได้แบ่งเป็น 2 ส่วน คือข้อเสนอแนะในแง่ของเนื้อหา และในแง่ของระเบียบวิธีวิจัย ในแง่ของเนื้อหาผู้ศึกษาได้เสนอแนะโดยยึดถือผลการศึกษาวิจัยที่ได้จากกรรมการสภาตำบลเป็นหลัก ทั้งนี้เพราะกรรมการสภาตำบลเป็นผู้ปฏิบัติงานพัฒนาในสภาตำบลอยู่โดยตรง ขณะที่ประชาชนเป็นผู้ที่เฝ้ามองการปฏิบัติงานของสภาตำบลอยู่ภายนอก โดยเสนอแนะให้ภาครัฐและ/หรือภาคเอกชนนำตัวแบบ ITERMS,N ไปประยุกต์ใช้สำหรับพิจารณาถึงขีดความสามารถในการบริหารงานพัฒนาของสภาตำบล และไม่ควรให้ความสำคัญกับ ITERMS ทุกปัจจัยอย่างเท่าเทียมกัน แต่ควรให้ความสำคัญเป็นพิเศษกับฐานะทางการเงินของสภาตำบล ซึ่งหมายถึงรายได้จากงบประมาณ เงินสนับสนุน และรายได้ของตำบลเอง ควบคู่ไปกับทรัพยากร ซึ่งหมายถึงความรู้ความสามารถของกรรมการสภาตำบล อันเปรียบเสมือนการพัฒนาคุณภาพชีวิตของกรรมการสภาตำบลและประชาชนทั้งในด้านเศรษฐกิจและสังคมควบคู่กันไป ส่วนข้อเสนอแนะในแง่ของระเบียบวิธีวิจัยที่สำคัญนั้น ผู้ศึกษาได้เสนอให้ปรับปรุงข้อคำถามเกี่ยวกับข้อมูลข่าวสารที่ใช้สัมภาษณ์กรรมการสภาตำบลโดยให้ข้อคำถามครอบคลุมข้อมูลข่าวสารชนิดที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการอย่างเท่าเทียมกัน พร้อมกันนั้น ผู้ถูกสัมภาษณ์ที่เป็นประชาชนน่าจะเป็นผู้รู้เรื่องเกี่ยวกับสภาตำบลและโครงการสร้างงานในชนบทอย่างแท้จริง รวมทั้งไม่ควรถามชื่อผู้ถูกสัมภาษณ์ด้วย.
ท้ายที่สุด ผลการศึกษาได้ก่อให้เกิดประโยชน์ทั้งในทางวิชาการและทางปฏิบัติ ในทางวิชาการเป็นการยืนยันการใช้แนวความคิด หรือตัวแบบ ITERMS,N ซึ่งมีอยู่เดิมแล้วว่าสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้โดยทั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ส่วนในทางปฏิบัติซึ่งเกี่ยวเนื่องกับทางวิชาการนั้น ผลการศึกษาได้ช่วยเสนอแนะแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจนเพื่อการปรับปรุงหรือพัฒนาขีดความสามารถในการบริหารงานพัฒนาของสภาตำบลโดยเสนอให้ภาครัฐและ/หรือภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องนำตัวแบบ ITERMS,N ไปประยุกต์ใช้ โดยควรให้ความสำคัญเป็นพิเศษกับฐานะทางการเงินของสภาตำบลควบคู่ไปกับทรัพยากรดังกล่าวแล้ว ซึ่งเท่ากับเป็นการสนับสนุนความต้องการของกรรมการสภาตำบลที่แสดงออกผ่านทางการศึกษาครั้งนี้ อันจะมีส่วนช่วยส่งเสริมให้การปฏิบัติงานพัฒนาของสภาตำบลมีขีดความสามารถสูงขึ้น พร้อมทั้งมีส่วนช่วยทำให้สภาตำบลเป็นหน่วยงานเพื่อการพัฒนาชนบทในระดับตำบลอย่างแท้จริงต่อไป.
ตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้มี 2 กลุ่ม ได้แก่ กรรมการสภาตำบลและประชาชนที่เป็นหัวหน้าครัวเรือนและผู้นำกลุ่ม ซึ่งสุ่มตัวอย่างได้จาก 81 ตำบล 27 อำเภอ 9 จังหวัดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยได้ตัวอย่างจำนวน 854 คน ซึ่งเท่ากับร้อยละ 81.1 ของตัวอย่างทั้งหมด (1,053 คน) ส่วนการรวบรวมข้อมูลสนามใช้วิธีสัมภาษณ์รายบุคคลด้วยแบบสอบถามในช่วงเดือนมิถุนายน ถึง กรกฎาคม 2534 การประมวลข้อมูลและวิเคราะห์ข้อมูลใช้เครื่องคอมพิวเตอร์โปรแกรม SPSS สำหรับสถิติที่ใช้คือ ความแตกต่างของร้อยละ Chi-square และ Multiple regression.
ผลการศึกษาพบว่า ตามความคิดเห็นของกรรมการสภาตำบลนั้นปัจจัยที่มีผลต่อขีดความสามารถในการบริหารงานพัฒนาของสภาตำบล อันได้แก่ (1) เทคโนโลยี (2) ฐานะทางการเงินของสภาตำบล (3) ทรัพยากร (4) การเสียสละเพื่อส่วนรวมของกรรมการสภาตำบล ตลอดจน (5) กลุ่มทางสังคมและการเมืองในท้องถิ่น ยกเว้นข้อมูลข่าวสาร มีความสัมพันธ์ทางบวกหรือมีส่วนช่วยส่งเสริมให้การบริหารงานพัฒนาของสภาตำบลมีขีดความสามารถสูงขึ้น และเมื่อเรียงลำดับความสำคัญของปัจจัยดังกล่าวแต่ละตัวที่มีต่อขีดความสามารถในการบริหารงานพัฒนาของสภาตำบล โดยใช้ Multiple regression พบว่าทรัพยากรมีส่วนช่วยส่งเสริมให้การบริหารงานพัฒนาของสภาตำบลมีขีดความสามารถสูงขึ้นมากที่สุด รองลงมาตามลำดับคือ ฐานะทางการเงินของสภาตำบล กลุ่มทางสังคมและการเมืองในท้องถิ่น เทคโนโลยี การเสียสละเพื่อส่วนรวมของกรรมการสภาตำบล และข้อมูลข่าวสาร สำหรับแนวทางที่จะช่วยให้การบริหารงานพัฒนาของสภาตำบลมีขีดความสามารถสูงขึ้นนั้น พบว่าควรให้ความสำคัญเป็นพิเศษกับฐานะทางการเงินของสภาตำบลควบคู่ไปกับทรัพยากร.
ส่วนผลการศึกษาถึงทัศนคติของประชาชนปรากฎว่า ปัจจัยที่มีผลต่อขีดความสามารถในการบริหารงานพัฒนาของสภาตำบลทุกตัวล้วนมีความสัมพันธ์ทางบวกหรือมีส่วนช่วยส่งเสริมให้การบริหารงานพัฒนาของสภาตำบลมีขีดความสามารถสูงขึ้น และเมื่อเรียงลำดับความสำคัญของปัจจัยดังกล่าวแต่ละตัวที่มีต่อขีดความสามารถในการบริหารงานพัฒนาของสภาตำบลก็พบว่าข้อมูลข่าวสารมีส่วนช่วยส่งเสริมให้การบริหารงานพัฒนาของสภาตำบลมีขีดความสามารถสูงขึ้นมากที่สุด รองลงมาตามลำดับคือฐานะทางการเงินของสภาตำบล กลุ่มทางสังคมและการเมืองในท้องถิ่น การเสียสละเพื่อส่วนรวมของกรรมการสภาตำบล เทคโนโลยี และทรัพยากร ส่วนแนวทางที่จะช่วยให้การบริหารงานพัฒนาของสภาตำบลมีขีดความสามารถสูงขึ้นนั้น พบว่าควรให้ความสำคัญเป็นพิเศษกับข้อมูลข่าวสาร ฐานะทางการเงินของสภาตำบล กลุ่มทางสังคมและการเมืองในท้องถิ่น พร้อมทั้งการเสียสละเพื่อส่วนรวมของกรรมการสภาตำบล
เมื่อศึกษาเปรียบเทียบความคิดเห็นของกรรมการสภาตำบลกับทัศนคติของประชาชน ทำให้พอที่จะกล่าวได้ว่า ทั้งกรรมการสภาตำบลและประชาชนส่วนใหญ่มีแนวโน้มว่ายอมรับตัวแบบ ITERMS,N ในฐานะที่เป็นตัวแบบหนึ่งซึ่งสามารถนำไปประยุกต์ใช้เป็นกรอบแนวคิดในการพิจารณาถึงขีดความสามารถในการบริหารงานพัฒนาของสภาตำบลได้ ในเวลาเดียวกันยังพบว่าความคิดเห็นส่วนใหญ่ที่มีต่อ ITERMS,N เป็นไปในทำนองเดียวกันมีแตกต่างกันไม่มาก เฉพาะที่สำคัญคือเรื่องข้อมูลข่าวสาร.
สำหรับข้อเสนอแนะนั้น ผู้ศึกษาได้แบ่งเป็น 2 ส่วน คือข้อเสนอแนะในแง่ของเนื้อหา และในแง่ของระเบียบวิธีวิจัย ในแง่ของเนื้อหาผู้ศึกษาได้เสนอแนะโดยยึดถือผลการศึกษาวิจัยที่ได้จากกรรมการสภาตำบลเป็นหลัก ทั้งนี้เพราะกรรมการสภาตำบลเป็นผู้ปฏิบัติงานพัฒนาในสภาตำบลอยู่โดยตรง ขณะที่ประชาชนเป็นผู้ที่เฝ้ามองการปฏิบัติงานของสภาตำบลอยู่ภายนอก โดยเสนอแนะให้ภาครัฐและ/หรือภาคเอกชนนำตัวแบบ ITERMS,N ไปประยุกต์ใช้สำหรับพิจารณาถึงขีดความสามารถในการบริหารงานพัฒนาของสภาตำบล และไม่ควรให้ความสำคัญกับ ITERMS ทุกปัจจัยอย่างเท่าเทียมกัน แต่ควรให้ความสำคัญเป็นพิเศษกับฐานะทางการเงินของสภาตำบล ซึ่งหมายถึงรายได้จากงบประมาณ เงินสนับสนุน และรายได้ของตำบลเอง ควบคู่ไปกับทรัพยากร ซึ่งหมายถึงความรู้ความสามารถของกรรมการสภาตำบล อันเปรียบเสมือนการพัฒนาคุณภาพชีวิตของกรรมการสภาตำบลและประชาชนทั้งในด้านเศรษฐกิจและสังคมควบคู่กันไป ส่วนข้อเสนอแนะในแง่ของระเบียบวิธีวิจัยที่สำคัญนั้น ผู้ศึกษาได้เสนอให้ปรับปรุงข้อคำถามเกี่ยวกับข้อมูลข่าวสารที่ใช้สัมภาษณ์กรรมการสภาตำบลโดยให้ข้อคำถามครอบคลุมข้อมูลข่าวสารชนิดที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการอย่างเท่าเทียมกัน พร้อมกันนั้น ผู้ถูกสัมภาษณ์ที่เป็นประชาชนน่าจะเป็นผู้รู้เรื่องเกี่ยวกับสภาตำบลและโครงการสร้างงานในชนบทอย่างแท้จริง รวมทั้งไม่ควรถามชื่อผู้ถูกสัมภาษณ์ด้วย.
ท้ายที่สุด ผลการศึกษาได้ก่อให้เกิดประโยชน์ทั้งในทางวิชาการและทางปฏิบัติ ในทางวิชาการเป็นการยืนยันการใช้แนวความคิด หรือตัวแบบ ITERMS,N ซึ่งมีอยู่เดิมแล้วว่าสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้โดยทั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ส่วนในทางปฏิบัติซึ่งเกี่ยวเนื่องกับทางวิชาการนั้น ผลการศึกษาได้ช่วยเสนอแนะแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจนเพื่อการปรับปรุงหรือพัฒนาขีดความสามารถในการบริหารงานพัฒนาของสภาตำบลโดยเสนอให้ภาครัฐและ/หรือภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องนำตัวแบบ ITERMS,N ไปประยุกต์ใช้ โดยควรให้ความสำคัญเป็นพิเศษกับฐานะทางการเงินของสภาตำบลควบคู่ไปกับทรัพยากรดังกล่าวแล้ว ซึ่งเท่ากับเป็นการสนับสนุนความต้องการของกรรมการสภาตำบลที่แสดงออกผ่านทางการศึกษาครั้งนี้ อันจะมีส่วนช่วยส่งเสริมให้การปฏิบัติงานพัฒนาของสภาตำบลมีขีดความสามารถสูงขึ้น พร้อมทั้งมีส่วนช่วยทำให้สภาตำบลเป็นหน่วยงานเพื่อการพัฒนาชนบทในระดับตำบลอย่างแท้จริงต่อไป.
Table of contents
Description
วิทยานิพนธ์ (พบ.ด. (การบริหารการพัฒนา))--สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2534.