หลักประกันการได้รับจัดสรรงบประมาณ ตามบทบัญญัติมาตรา 141 วรรคสอง แห่งรัฐธรรมนูญราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2560 ศึกษาเฉพาะกรณีของศาลรัฐธรรมนูญ
Publisher
Issued Date
2024
Issued Date (B.E.)
2567
Available Date
Copyright Date
Resource Type
Series
Edition
Language
tha
File Type
application/pdf
No. of Pages/File Size
168 แผ่น
ISBN
ISSN
eISSN
DOI
Other identifier(s)
Identifier(s)
Access Rights
Access Status
Rights
ผลงานนี้เผยแพร่ภายใต้ สัญญาอนุญาตครีเอทีฟคอมมอนส์แบบแสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 4.0 (CC BY-NC-ND 4.0)
Rights Holder(s)
Physical Location
Bibliographic Citation
Citation
เมตตราวรรณ พันธ์ไชย (2024). หลักประกันการได้รับจัดสรรงบประมาณ ตามบทบัญญัติมาตรา 141 วรรคสอง แห่งรัฐธรรมนูญราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2560 ศึกษาเฉพาะกรณีของศาลรัฐธรรมนูญ. Retrieved from: https://repository.nida.ac.th/handle/123456789/7051.
Title
หลักประกันการได้รับจัดสรรงบประมาณ ตามบทบัญญัติมาตรา 141 วรรคสอง แห่งรัฐธรรมนูญราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2560 ศึกษาเฉพาะกรณีของศาลรัฐธรรมนูญ
Alternative Title(s)
Guarantee of budget allocation according to the provisions
of section 141, paragraph two of the constitution of the
Kingdom of Thailand B.E. 2017 study only the cases of
The Constitution Court
Author(s)
Advisor(s)
Editor(s)
item.page.dc.contrubutor.advisor
Advisor's email
Contributor(s)
Contributor(s)
Abstract
ผลการศึกษาหลักประกันการได้รับจัดสรรงบประมาณตามบทบัญญัติมาตรา 141 วรรคสอง แห่งรัฐธรรมนูญราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2560 ศึกษาเฉพาะกรณีของศาลรัฐธรรมนูญ ผู้เขียนได้พบประเด็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวกับหลักประกันอิสระทางงบประมาณของศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นองค์กรที่ใช้อำนาจตุลาการ โดยมีสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญรับผิดชอบงานธุรการที่มีความเป็นอิสระในด้านงบประมาณก็ตาม แต่การได้รับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีหรือเพิ่มเติมอยู่ภายใต้กฎหมายงบประมาณรายจ่ายประจำปีหรือเพิ่มเติมที่เป็นกฎหมายกลางฉบับเดียวกันกับที่ผู้ใช้อำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร พิจารณาจัดสรรให้ตามกฎหมายและวิธีการงบประมาณตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญที่รับรองไว้ หากพิจารณาในแง่วิธีการทางงบประมาณ จะเห็นได้ว่ายังไม่มีกฎหมายเฉพาะหรือขอบเขตเงื่อนไขหรือหลักเกณฑ์วิธีการใด ๆ ในการวัดระดับสัดส่วนของความเหมาะสมพอเพียงของงบประมาณสำหรับการปฏิบัติหน้าที่โดยอิสระให้เพียงพอต่อการปฏิบัติหน้าที่ภายใต้บริบทการบริหารงบประมาณขององค์กรที่ใช้อำนาจตุลาการซึ่งเป็นองค์กรที่มีอำนาจหน้าที่ในการควบคุมตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐตามรัฐธรรมนูญที่ใช้อำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพโดยไม่ถูกครอบงำและการแทรกแซงวิธีการในการใช้ทรัพยากรที่ได้รับจัดสรรมาจากองค์กรที่ใช้อำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร เพื่อให้สอดคล้องกับหลักวินัยการเงินการคลังของรัฐได้อย่างเหมาะสมโดยไม่ถูกปรับลดเพิ่มงบประมาณอย่างมีนัยสำคัญ
ในการนี้ด้วยข้อค้นพบดังกล่าวเพื่อให้บรรลุผลเป็นรูปธรรมที่ชัดเจนในแง่การสร้างหลักประกันที่อิสระทางงบประมาณให้กับองค์กรที่ใช้อำนาจตุลาการและสอดคล้องตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญที่ได้รับรองไว้ จึงได้มีข้อเสนอแนะด้วยมาตรการทางกฎหมายที่เป็นความเห็นเชิงกฎหมายและเชิงบริหาร ประกอบด้วยหลักการ 10 ประการ ดังนี้
1) เมื่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช พ.ศ. 2560 ได้รับรองหลักไว้ในมิติด้านงบประมาณกรณีของหน่วยงานศาลรัฐธรรมนูญ โดยสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญก็อยู่ภายใต้บังคับกฎหมายที่เป็นกฎหมายกลางฉบับเดียวที่ใช้บังคับกับส่วนราชการตามคำนิยามมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2561 เพื่อสร้างหลักประกันความเป็นอิสระทางด้านงบประมาณให้กับองค์กรที่ใช้อำนาจตุลาการ ในชั้นของการจัดทำงบประมาณถือว่าสำคัญและเป็นกระบวนการต้นน้ำดังคำสุภาษิตที่ได้กล่าวไว้ว่า “รากฐานมีความสำคัญ ซึ่งหากปราศจากฐานรากที่แข็งแรงแล้ว ก็จะไม่สามารถยืนหยัดได้อย่างมั่นคง” โดยในทางปฏิบัติแล้วกระบวนการต้นน้ำทางงบประมาณควรจะต้องมีสภาพบังคับทางกฎหมายอันเกี่ยวกับการกำหนดหลักเกณฑ์วิธีการของกระบวนการในการขอรับและการจัดสรรงบประมาณขององค์กรที่ใช้อำนาจตุลาการที่กำหนดสัดส่วนที่เหมาะสมกับบริบทขององค์กรที่ใช้อำนาจตุลาการให้เป็นรูปธรรมที่ชัดเจน เพื่อเป็นหลักประกันทางงบประมาณที่เป็นอิสระตามที่รัฐธรรมนูญรับรองไว้จึงเป็นเรื่องที่สำคัญ
2) การกำหนดหลักเกณฑ์ในการเสนอคำขอแปรญัตติต่อคณะกรรมาธิการโดยตรงกำหนดเพิ่มเติมไว้ในรัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติ โดยกำหนดให้คณะกรรมาธิการเชิญรัฐสภา
ศาลองค์กรอิสระและองค์กรอัยการ มาแถลงข้อเท็จจริงหรือแสดงความคิดเห็นในการแปรญัตติ เพื่อพิจารณาจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติมในสัดส่วนที่เหมาะสมของงบประมาณแต่ต้องไม่เกิน
ร้อยละหนึ่งจุดสองห้าของงบประมาณรายจ่ายประจำปีของรัฐสภา ศาล องค์กรอิสระและองค์กรอัยการ เพื่อเป็นการรักษาดุลยภาพของงบประมาณที่รัฐได้อนุมัติไปแล้วนั้น ทั้งนี้เพื่อให้สอดคล้องกับหลักนิติธรรมและหลักธรรมาภิบาล
3) การตรากฎหมายวิธีการทางระบบงบประมาณเป็นการเฉพาะร่วมกันขององค์กรรัฐสภา ศาล องค์กรอิสระและองค์กรอัยการ เพื่อรองรับหลักประกันความเป็นอิสระตามรัฐธรรมนูญ โดยเจตนารมณ์ของการตรากฎหมายดังกล่าวนี้จะต้องไม่ขัดกับหลักการพื้นฐานทั่วไปของการตรากฎหมายเป็นการเฉพาะตน อีกทั้งจะต้องมีข้อพึงระวังว่าให้สอดคล้องกับหลักความยินยอมทางภาษีหรือหลักการไม่มีภาษีโดยไม่มีผู้แทน (No Taxation without Representation) และเป็นสร้างพันธมิตรทางระบบงบประมาณร่วมกันเพื่อกำหนดให้มีมาตรการทางกฎหมายที่มีสภาพบังคับในเชิงรูปแบบที่มีมาตรฐานและบรรทัดฐานเดียวกันของระบบงบประมาณ โดยกำหนดกฎหมายเพิ่มเติมไว้ในพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2561 ในหมวด 4 การจัดทำงบประมาณว่า “ขั้นตอนวิธีการประมาณขององค์กรรัฐสภา ศาล องค์กรอิสระ หรือองค์กรอัยการ” เพื่อให้ใช้บังคับเฉพาะของตนทางระบบงบประมาณร่วมกันและเป็นเครื่องมือในการดำเนินงานกิจกรรมทางงบประมาณอันเกี่ยวกับการกำหนดหลักเกณฑ์วิธีการของกระบวนการในการขอรับและการจัดสรรงบประมาณให้เป็นรูปธรรมที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น ซึ่งการจัดทำระบบงบประมาณเฉพาะตนร่วมกันขององค์กรรัฐสภา ศาล องค์กรอิสระ หรือองค์กรอัยการ ตามที่รัฐธรรมนูญได้รับรองไว้นั้นจะธำรงไว้ซึ่งหลักประกันความเป็นอิสระทางด้านงบประมาณและสร้างระบบกลไกการบริหารงบประมาณให้สอดคล้องตามหลักวินัยการเงินการคลังของรัฐให้สมดุลตามสัดส่วนที่เหมาะสมภายใต้บริบทของหน่วยงานนั้น ๆ เพื่อให้เกิดความโปร่งใสทางการคลังงบประมาณตามหลักการสากล
4) การแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายวิธีการทางงบประมาณในการกำหนดสัดส่วนที่เหมาะสมกับบริบทของศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งจากหลักการเฉพาะเจาะจง ซึ่งเป็นหลักการทั่วไปของหลักงบประมาณ การขอรับจัดสรรงบประมาณของหน่วยรับงบประมาณ จึงต้องมีเหตุผลความจำเป็นภายใต้กรอบวัตถุประสงค์ ที่มีความชัดเจน เพื่อให้การบริหารงบประมาณของหน่วยงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โปร่งใส และตรวจสอบได้ภายใต้กรอบวินัยการเงินการคลังของรัฐที่ดี จึงต้องมีการดำเนินการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายในกรอบวงเงินจัดสรรงบประมาณ สำหรับการกำหนดสัดส่วนของการขอรับงบประมาณที่เหมาะสมกับบริบทของศาลรัฐธรรมนูญ โดยสัดส่วนการขอรับงบประมาณรายจ่ายประจำปี คำนวณจากต้นทุนผลิตต่อหน่วยจากเกณฑ์ปันส่วนที่พิจารณาจากความสัมพันธ์ของค่าใช้จ่ายทุกหมวดและประเภทรายจ่ายตามแผนการใช้จ่ายเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่ผ่านมาภายในวงเงินตามความจำเป็น โดยกำหนดเพดานงบประมาณรายจ่ายประจำปีให้ใช้ฐานดัชนีราคาผู้บริโภคตามภาวะอัตราเงินเฟ้อประจำปีแต่ไม่เกินร้อยละหนึ่งจุดสองห้าในการจัดสรรงบประมาณเพื่อเป็นกรอบการเงินการคลังของรัฐที่ดี
5) มีการกำหนดสถานะเงินรายการค้างเบิกว่าเป็นเงินนอกงบประมาณประเภทใดและอยู่ในกรอบตามกฎหมายใด ทั้งนี้รายการค้างเบิกที่สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญมีคงเหลือไว้ในระบบของคลังเองตามระเบียบงบประมาณข้อ 16 ในส่วนของการเบิกจ่ายตามแผนการใช้จ่ายงบประมาณประจำปีให้ดำเนินการให้เสร็จสิ้นในปีงบประมาณนั้น หากเบิกจ่ายไม่ทันให้เสนอเป็นรายการค้างเบิกไว้ในแผนการใช้จ่ายประจำปีงบประมาณถัดไป ซึ่งในการจัดทำงบประมาณเพื่อเสนอของบประมาณรายจ่ายประจำปีของสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ กรณีของสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญมีจำนวนเงินที่เหลือจ่ายในแต่ละปีงบประมาณที่ไม่สามารถเบิกจ่ายได้ในปีงบประมาณไปรวมอยู่ในกองของรายการค้างเบิกอยู่เป็นจำนวนเงินเหลือจ่ายที่มากพอสมควรจนอาจเป็นเหตุผลที่สำนักงบประมาณ คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปีใช้เป็นเหตุผลในการปรับลดวงเงินงบประมาณให้มิได้เป็นไปตามเป้าหมายที่หน่วยงานได้กำหนดไว้ ตามพระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ ลำดับศักดิ์ของกฎหมายเป็นพระราชบัญญัติ ดังนั้นการที่เว้นแต่จะมีกฎหมายกำหนดเป็นอย่างอื่น กฎหมายที่จะยกเว้นไม่ต้องนำเงินส่งคลังนั้น จะต้องเป็นกฎหมายที่มีลำดับศักดิ์ของกฎหมายเท่ากันหรือลำดับศักดิ์ของกฎหมายไม่ต่ำกว่ากัน ซึ่งกรณีของสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญการไม่นำเงินส่งคลัง ได้กำหนดไว้ตามระเบียบศาลรัฐธรรมนูญว่าด้วยงบประมาณ หมวด 2 การจัดทำแผนการใช้จ่ายงบประมาณประจำปีและการบริหารงบประมาณรายจ่าย ข้อ 16 การเบิกจ่ายเงินตามแผนการใช้จ่ายงบประมาณประจำปีให้ดำเนินการเสร็จสิ้นในปีงบประมาณนั้น หากเบิกจ่ายไม่ทันให้เสนอเป็นรายการค้างเบิกไว้ในแผนการใช้จ่ายประจำปีงบประมาณถัดไป เมื่อพิจารณาตามหลักการดังกล่าว เพื่อมิให้ขัดกับลำดับศักดิ์ของกฎหมายเพราะเป็นกฎหมายในระดับพระราชบัญญัติเช่นเดียวกัน และเป็นการรับรองจากฝ่ายนิติบัญญัติ ผู้ตรากฎหมายและเป็นผู้อนุมัติงบประมาณ หากเพียงกำหนดไว้ในระเบียบศาลรัฐธรรมนูญว่าด้วยงบประมาณ ซึ่งตามลำดับศักดิ์ของกฎหมายนั้นไม่เหมาะสมด้วยประการทั้งปวง เนื่องจากระเบียบนั้นถือว่ามีศักดิ์ต่ำกว่ากฎหมายในระดับพระราชบัญญัติ ดังนั้นจึงควรนำมาบัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญเช่นเดียวกับพระราชบัญญัติวิธีทางงบประมาณ
6) การพิจารณาดำเนินการปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย ระเบียบที่เกี่ยวกับการเงินการคลังของสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ อันได้แก่ พระราชบัญญัติสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2562 ระเบียบศาลรัฐธรรมนูญว่าด้วยงบประมาณ พ.ศ. 2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 จนถึง (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2565 และระเบียบศาลรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเงิน
พ.ศ. 2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2544 จนถึง (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2562 ให้สอดคล้องตามหลักวินัยการเงินการคลังของรัฐที่รัฐธรรมนูญได้รับรองไว้
7) การนำเทคโนโลยีมาสร้างเป็นนวัตกรรมทางระบบงบประมาณ โดยมีการกำหนดวิธีการทางงบประมาณที่บูรณาการร่วมกันในการจัดทำระบบฐานข้อมูลเสริมสร้างวินัยการเงินการคลังในรูปแบบของ Web Application ด้านวิชาการที่เกี่ยวข้องในมิติต่าง ๆ ในวงจรงบประมาณอย่างเป็นระบบ เพื่อให้สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญสามารถใช้ประเมินตนเองเบื้องต้นในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการขอรับจัดสรรงบประมาณ การบริหารงบประมาณของหน่วยงานเพื่อเป็นการสร้างกลไกเครื่องมือสำหรับการรักษาวินัยการเงินการคลังของรัฐ อันจะทำให้การขอรับงบประมาณให้เพียงพอ และบริหารการใช้จ่ายงบประมาณของแผ่นดินมีความคุ้มค่า โปร่งใส และเกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติ และสนับสนุนฐานข้อมูลให้ฝ่ายที่ใช้อำนาจบริหาร อำนาจนิติบัญญัติ สามารถสืบค้นหรือเรียกใช้ข้อมูลงบประมาณ ที่โปร่งใส ตรวจสอบได้ สำหรับประกอบการพิจารณารายจ่ายประจำปีได้
8) การจัดทำความตกลงความร่วมมือทางงบประมาณ (MOU) ขององค์กรรัฐสภา ศาล องค์กรอิสระ หรือองค์กรอัยการตามที่รัฐธรรมนูญได้รับรองไว้ เพื่อเป็นหลักประกันความเป็นอิสระทางด้านงบประมาณ เพื่อเป็นกลไกในระบบการบริหารงบประมาณให้สอดคล้องตามหลักวินัยการเงินการคลังของรัฐให้สมดุลตามสัดส่วนที่เหมาะสม ภายใต้แผนงานยุทธศาสตร์ แผนงานโครงการต่างขององค์กรดังกล่าวนี้ เพื่อให้เกิดความโปร่งใสทางการคลังและความโปร่งใสในงบประมาณตามหลักสากลเฉกเช่นประเทศเกาหลีใต้ และใช้เป็นฐานข้อมูลในการเข้าชี้แจงเหตุผลประกอบความชัดเจนในการขอรับจัดสรรงบประมาณให้มีความสมดุลตามสัดส่วนที่เหมาะสมตามเป้าประสงค์ของหน่วยงานให้เป็นไปในทิศทางแนวเดียวกัน
9) การกำหนดให้ศาลรัฐธรรมนูญ โดยสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญที่เป็นหน่วยธุรการของศาลรัฐธรรมนูญดำเนินการจัดทำระบบบริหารงบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพและสัมฤทธิ์ผล มีการจัดทำต้นทุนหน่วยปฏิบัติ โดยการนำนโยบายให้ใช้ต้นทุนต่อหน่วยปฏิบัติ (OUC: Operating Unit Cost) และต้นทุนผลผลิต (Output Costing) จากเกณฑ์ปันส่วนมากำหนดสัดส่วนของตัวเลขงบประมาณให้เหมาะสมต่อการบริหารงบประมาณรายจ่ายประจำปี และอยู่ในความสามารถของหน่วยงานที่จะสามารถดำเนินการได้ตามภารกิจ เพื่อกำหนดกรอบค่าใช้จ่ายตามความจำเป็น และเหมาะสมของแต่ละหน่วยปฏิบัติและกำหนดหลักเกณฑ์ให้ใช้อัตราภาวะเงินเฟ้อมาประกอบการพิจารณาขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี เพื่อใช้เป็นฐานข้อมูลประกอบการพิจารณาการรับจัดสรรงบประมาณ ให้คณะรัฐมนตรี รัฐสภา พิจารณาจัดสรรงบประมาณให้มีความสมดุลตามสัดส่วนที่เหมาะสมสอดคล้องตามหลักวินัยการเงินการคลังของรัฐรัฐธรรมนูญได้รับรองไว้เพื่อเป็นหลักประกันความเป็นอิสระทางด้านงบประมาณและลดทอนเหตุผลในการปรับลดวงเงินงบประมาณ
10) การดำเนินการแต่งตั้งคณะทำงานการบริหารงบประมาณของหน่วยงานสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญในภาพรวมทั้งหมดในการจัดทำงบประมาณตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ หรือเรียกชื่อว่าคณะกรรมการบริหารงบประมาณสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ เรียกชื่อย่อว่า “กบง.ศร” โดยกำหนดให้กระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ สภาพัฒนาเศรษฐกิจ ธนาคารแห่งประเทศไทย เข้ามามีบทบาทในการจัดทำงบประมาณของสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญเพื่อให้การจัดสรรงบประมาณของสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญมีความสมดุลในสัดส่วนที่เหมาะสมตามเป้าประสงค์ของหน่วยงานและ ใช้เป็นฐานข้อมูลประกอบการพิจารณาขอรับจัดสรรงบประมาณโดยไม่ถูกปรับลดลงของงบประมาณรายจ่ายประจำปีอย่างมีนัยสำคัญ
Table of contents
Description
วิทยานิพนธ์ (น.ม.)--สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2567