ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจลงทุนในกองทุนรวม Thai ESG ของประชาชนในเขตกรุงเทพมหานคร
Publisher
Issued Date
2024
Issued Date (B.E.)
2567
Available Date
Copyright Date
Resource Type
Series
Edition
Language
tha
File Type
application/pdf
No. of Pages/File Size
4 แผ่น
ISBN
ISSN
eISSN
DOI
Other identifier(s)
Identifier(s)
Access Rights
Access Status
Rights
ผลงานนี้เผยแพร่ภายใต้ สัญญาอนุญาตครีเอทีฟคอมมอนส์แบบแสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 4.0 (CC BY-NC-ND 4.0)
Rights Holder(s)
Physical Location
Bibliographic Citation
Citation
ภควัต วิจิตรสาร (2024). ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจลงทุนในกองทุนรวม Thai ESG ของประชาชนในเขตกรุงเทพมหานคร. Retrieved from: https://repository.nida.ac.th/handle/123456789/7189.
Title
ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจลงทุนในกองทุนรวม Thai ESG ของประชาชนในเขตกรุงเทพมหานคร
Alternative Title(s)
Author(s)
Advisor(s)
Editor(s)
item.page.dc.contrubutor.advisor
Advisor's email
Contributor(s)
Contributor(s)
Abstract
ในปัจจุบันแนวคิดการลงทุนที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล (Environmental, Social, and Governance: ESG) ได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากนักลงทุนทั่วโลก เนื่องจากเป็นแนวทางที่สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนและการรับมือกับความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะในบริบทของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สำหรับประเทศไทย ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและหน่วยงานภาครัฐได้มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมการลงทุนในกองทุนรวม Thai ESG ผ่านการจัดทำดัชนีหุ้นยั่งยืนและมาตรการภาษีเพื่อจูงใจนักลงทุน อย่างไรก็ตาม แม้จะมีการส่งเสริมในระดับนโยบาย แต่ยังพบว่าข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจลงทุนในกองทุนรวม Thai ESG โดยเฉพาะในกลุ่มประชาชนที่มีรายได้ประจำในเขตกรุงเทพมหานคร ยังมีอยู่อย่างจำกัด งานวิจัยนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยดังกล่าวอย่างเป็นระบบ เพื่อที่จะเป็นประโยชน์ต่อการกำหนดกลยุทธ์ในการส่งเสริมการลงทุนอย่างยั่งยืนในระดับประเทศต่อไป
การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจลงทุนในกองทุนรวม Thai ESG ของประชาชนในเขตกรุงเทพมหานคร โดยพิจารณาปัจจัยด้านประชากรศาสตร์ ได้แก่ เพศ อายุ ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้เฉลี่ยต่อเดือน รวมถึงปัจจัยด้านการลงทุน ได้แก่ ผลตอบแทน ความรู้และการรับรู้เกี่ยวกับแนวคิด ESG (สิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล) และสิทธิประโยชน์ทางภาษี ตลอดจนศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างประเภทของกองทุนรวม Thai ESG กับพฤติกรรมการตัดสินใจลงทุนของประชาชนในเขตกรุงเทพมหานคร งานวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) โดยเก็บรวบรวมข้อมูลจากประชาชนทั่วไปที่มีรายได้ประจำในเขตกรุงเทพมหานคร จำนวน 400 คน ผ่านแบบสอบถามออนไลน์ (Google Form) และนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์ด้วยสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่การแจกแจงความถี่ (Frequency) ร้อยละ (Percentage) ค่าเฉลี่ย (Mean) และ สถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (F-test) และการวิเคราะห์สหสัมพันธ์ (Correlation Analysis)
จากการเก็บรวบรวมข้อมูลจากประชาชนทั่วไปที่มีรายได้ประจำในเขตกรุงเทพมหานคร จำนวน 400 คนเพื่อวิเคราะห์ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจลงทุนในกองทุนรวม Thai ESG ของประชาชนในเขตกรุงเทพมหานคร ผลการศึกษาพบว่า
1.) ปัจจัยด้านประชากรศาสตร์
ผลการวิจัยโดยการเก็บรวบรวมข้อมูลจากประชาชนทั่วไปที่มีรายได้ประจำในเขตกรุงเทพมหานครพบว่า ปัจจัยด้านประชากรศาสตร์ที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจลงทุนในกองทุนรวม Thai ESG อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ได้แก่ อายุ อาชีพ และรายได้เฉลี่ยต่อเดือน โดยกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่อายุ 31 – 40 ปี (ร้อยละ 51.5) ซึ่งผลการทดสอบพบว่า ช่วงอายุที่ต่างกันส่งผลต่อการตัดสินใจลงทุนอย่างมีนัยสำคัญ (p-value (Sig.) = 0.007 < 0.1) ซึ่งจากการศึกษาพบว่า สอดคล้องกับงานวิจัยของ ณัฐพล ดวงจิตร์ (2563) ที่พบว่า กลุ่มวัยทำงานกลางคนมักมีการวางแผนการเงินที่ชัดเจนและสนใจการลงทุนระยะยาว ขณะที่กลุ่มอายุน้อยอาจยังไม่มีรายได้หรือความรู้ด้านการเงินเพียงพอ ขณะที่กลุ่มสูงวัยอาจเน้นความมั่นคงมากกว่าความยั่งยืน และปัจจัยด้านอาชีพ ส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มพนักงานบริษัทเอกชน (ร้อยละ 65.25) ผลการทดสอบพบว่า อาชีพที่แตกต่างกันมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจลงทุนอย่างมีนัยสำคัญ (p-value (Sig.) = 0.059 < 0.1) โดยมองว่ากลุ่มที่ทำงานในองค์กร โดยเฉพาะภาคเอกชน อาจมีการเข้าถึงข้อมูลด้านการเงินและ ESG มากกว่ากลุ่มอื่น อีกทั้งบริษัทเอกชนขนาดใหญ่เริ่มมีนโยบายส่งเสริม ESG มากขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับผลการศึกษาของ ณัฐกร เลาหสงคราม (2555) ที่พบว่า พนักงานบริษัทเอกชนมีแนวโน้มลงทุนในกองทุนรวมระยะยาวมากกว่า และรายได้เฉลี่ยต่อเดือน ส่วนใหญ่มีรายได้ 35,001 – 45,000 บาทต่อเดือน (ร้อยละ 33.25) ผลการทดสอบพบว่า รายได้ที่แตกต่างกันมีอิทธิพลอย่างมีนัยสำคัญ (p-value (Sig.) = 0.032 < 0.1) ซึ่งรายได้ที่มากขึ้นช่วยให้มีเงินเหลือเพื่อการลงทุนและมองหาทางเลือกการลงทุนที่สอดคล้องกับคุณค่าและความยั่งยืน เช่น กองทุนรวม Thai ESG จากการศึกษาพบว่า สอดคล้องกับงานวิจัยของ สุนทรี จึงประเสริฐกุล (2552) ที่พบว่าผู้มีรายได้สูงมีแนวโน้มลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาวมากกว่า โดยเฉพาะเมื่อได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี ทั้งนี้ปัจจัยด้านเพศและระดับการศึกษาไม่มีอิทธิพลอย่างมีนัยสำคัญ โดยกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง (ร้อยละ 53.25) ผลการทดสอบสมมติฐานพบว่า ไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญ ของการตัดสินใจลงทุนตามเพศ (p-value (Sig.) = 0.789 > 0.1) การไม่พบความแตกต่าง อาจสะท้อนว่าในบริบทของกองทุน ESG เพศไม่ใช่ปัจจัยหลักในการกำหนดพฤติกรรมการลงทุน ซึ่งไม่สอดคล้องกับสมมติฐาน ซึ่งขัดแย้งกับการศึกษาของ Kotler & Keller (2012) ที่เสนอว่าปัจจัยเพศอาจมีอิทธิพลต่อทัศนคติและพฤติกรรมผู้บริโภคในบางกรณี และระดับการศึกษา ส่วนใหญ่จบการศึกษาระดับปริญญาตรี (ร้อยละ 67.5) ผลการทดสอบพบว่า ระดับการศึกษาไม่มีผลต่อการตัดสินใจลงทุน (p-value (Sig.) = 0.366 > 0.1) อาจสะท้อนว่าการเข้าถึงข้อมูล ESG หรือความรู้เรื่องการลงทุนไม่ได้ขึ้นกับวุฒิการศึกษาโดยตรง แต่ขึ้นกับความสนใจส่วนบุคคลและการเรียนรู้ผ่านช่องทางอื่น ขัดแย้งกับงานวิจัยของ Sullivan & Mackenzie (2017) ที่เสนอว่าระดับการศึกษาสูงส่งผลต่อความเข้าใจในแนวคิด ESG และการประเมินความเสี่ยงที่ซับซ้อน
2.) ปัจจัยด้านการลงทุน
ผลการวิจัยโดยการเก็บรวบรวมข้อมูลจากประชาชนทั่วไปที่มีรายได้ประจำในเขตกรุงเทพมหานครพบว่าปัจจัยด้านการลงทุนที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจลงทุนในกองทุนรวม Thai ESG อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ได้แก่ ปัจจัยด้านผลตอบแทน ปัจจัยด้านการรับรู้ข่าวสาร และปัจจัยด้านสิทธิประโยชน์ทางภาษี โดยปัจจัยด้านผลตอบแทน มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจลงทุนในกองทุนรวม ThaiESG ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ให้ความสำคัญในประเด็นที่เชื่อว่าการลงทุน ESG สร้างผลตอบแทนระยะยาวได้ดี คาดหวังให้ผลตอบแทนเหนือกว่าเงินฝาก และให้ความสำคัญกับผลตอบแทนก่อนตัดสินใจลงทุน ซึ่งสอดคล้องกับการศึกษาของ Friede, Busch, & Bassen (2015) ที่สรุปว่า ESG investment โดยรวมมีแนวโน้มให้ผลตอบแทนเป็นบวกเมื่อเทียบกับการลงทุนทั่วไป การตระหนักถึง "ผลตอบแทนทางการเงิน" ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญ แม้จะเป็นกองทุนที่เน้นคุณค่า ESG ก็ตาม ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของ Markowitz (1952) ที่เสนอว่า นักลงทุนมีแนวโน้มเลือกการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนคาดหวังสูงสุด ภายใต้ระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ นอกจากนี้ ยังสอดคล้องกับการศึกษาของ สุนทรี จึงประเสริฐกุล (2552) ที่ระบุว่าผลตอบแทนเป็นปัจจัยหลักในการเลือกกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) การศึกษาของ สุรเดช จองวรรณศิริ (2559) ศึกษาเรื่อง ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความตั้งใจลงทุนใน หลักทรัพย์ของนักลงทุนบุคคล พบว่า ระดับความสำคัญที่นักลงทุนให้กับแหล่งข้อมูลต่างๆ มีความสัมพันธ์โดยตรงกับความคาดหวังต่อผลตอบแทนจากการลงทุน และความตั้งใจที่จะลงทุนใน หลักทรัพย์นั้นๆ กล่าวคือ ยิ่งนักลงทุนให้ความสำคัญกับแหล่งข้อมูลมาก ก็ยิ่งคาดหวังผลตอบแทนที่ สูงขึ้น และมีความตั้งใจลงทุนมากขึ้นตามไปด้วย โดยแหล่งข้อมูลสำคัญที่นักลงทุนให้ความสนใจ
ปัจจัยด้านการรับรู้ข่าวสารด้าน ESG มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจลงทุนในกองทุนรวม ThaiESG ของประชาชนในเขตกรุงเทพมหานคร ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ให้ความสำคัญในประเด็น ความตื่นตัวด้านสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะประเด็นการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ มีผลต่อทัศนคติในการลงทุนใน ESG Fund อย่างชัดเจน การรับรู้เกี่ยวกับประเด็น ESG จึงเป็นเครื่องมือสำคัญในการโน้มน้าวพฤติกรรมผู้ลงทุน งานวิจัยของ Krüger (2015) ชี้ให้เห็นว่าข้อมูลข่าวสาร ESG สามารถกระทบต่อราคาหุ้นได้ในระยะสั้นถึงกลาง เพราะนักลงทุนเริ่มให้ความสำคัญกับความเสี่ยงที่มาจากสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล การศึกษาของ Khemir et al. (2562) ได้กล่าวไว้ว่าปัจจัยด้านข้อมูลข่าวสาร ESG มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจลงทุน ของนักลงทุนซึ่งสอดคล้องกับการศึกษาวิจัยภายในประเทศไทยอย่างการศึกษาของ วิภาพร ตรีทิพยโชค และ ณักษ์ กุลิสร์ (2554) ก็พบว่าข้อมูลข่าวสารมีผลต่อการตัดสินใจของนักลงทุนเช่นเดียวกัน นอกจากนั้นยังสอดคล้องกับการศึกษาของ กรณิศ ช่วยชูวงษ์ (2566) ได้ศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจ ในการลงทุนในกองทุนรวม Thai ESG ของนักลงทุนทั้งหมด 11 ท่าน พบว่าปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจลงทุนในกองทุนรวม Thai ESG ของนักลงทุน คือ ปัจจัยด้านภาษี และปัจจัยด้านข้อมูลข่าวสาร
ปัจจัยด้านสิทธิประโยชน์ทางภาษี มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจลงทุนในกองทุนรวม ThaiESG ของประชาชนในเขตกรุงเทพมหานคร ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ให้ความสำคัญในประเด็นที่มองว่าสิทธิประโยชน์ทางภาษีเป็นแรงจูงใจการลงทุนระยะยาว ซึ่งแรงจูงใจทางภาษีเป็นอีกหนึ่งปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญในการเลือกลงทุนในกองทุนรวม โดยเฉพาะในบริบทของ กองทุนรวม ESG ที่อาจยังใหม่และมีผลตอบแทนไม่แน่นอนในระยะสั้น สอดคล้องกับการศึกษาของ ณัฐกร เลาหสงคราม (2555) ซึ่งพบว่า เหตุผลสำคัญของการลงทุนใน LTF หรือ RMF ของนักลงทุนไทย คือ การใช้สิทธิลดหย่อนภาษี ทั้งนี้ สะท้อนให้เห็นว่าการออกแบบผลิตภัณฑ์การลงทุนที่มีแรงจูงใจทางภาษีที่ชัดเจน จะสามารถเพิ่มการมีส่วนร่วมของประชาชนในการลงทุนเพื่อความยั่งยืนได้มากขึ้น การศึกษาของ ณัฐกร เลาหสงคราม (2555) และสุนทรี จึงประเสริฐกุล (2552) ซึ่งพบว่าปัจจัยหลักในการลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาว คือ ความต้องการใช้สิทธิลดหย่อนภาษี นอกจากนั้นยังสอดคล้องกับการศึกษาของ กรณิศ ช่วยชูวงษ์ (2566) ได้ศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจ ในการลงทุนในกองทุนรวม Thai ESG ของนักลงทุนทั้งหมด 11 ท่าน พบว่าปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจลงทุนในกองทุนรวม Thai ESG ของนักลงทุน คือ ปัจจัยด้านภาษี และปัจจัยด้านข้อมูลข่าวสาร
เพื่อยกระดับความเชื่อมั่นและจูงใจให้กับนักลงทุนทั้งรายเดิมและรายใหม่ ควรมีการดำเนินการในเชิงกลยุทธ์ ดังต่อไปนี้ 1.) ส่งเสริมการให้ข้อมูลด้าน ESG ที่เข้าใจง่าย ชัดเจน และน่าเชื่อถือ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรจัดให้มีการเผยแพร่ข้อมูลด้าน ESG อย่างเป็นระบบ โดยนำเสนอในรูปแบบที่เข้าถึงได้ง่าย เหมาะสมกับระดับความรู้ของผู้ลงทุนทั่วไป และมีความน่าเชื่อถือ เพื่อช่วยลดอุปสรรคในการทำความเข้าใจหลักการ ESG และสร้างความมั่นใจในการตัดสินใจลงทุน 2.) กำหนดนโยบายสนับสนุนหรือแรงจูงใจทางภาษีเพิ่มเติมสำหรับกองทุน ESG ภาครัฐควรพิจารณามาตรการทางภาษี เช่น การให้สิทธิหักลดหย่อนเพิ่มเติม หรือการเพิ่มวงเงินลงทุนในกองทุน ESG ที่สามารถใช้ลดหย่อนภาษีได้ ซึ่งจะช่วยสร้างแรงจูงใจเชิงบวกสำหรับนักลงทุนรายใหม่ และเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของกองทุน ESG เมื่อเทียบกับกองทุนรูปแบบอื่น 3.) เปิดเผยผลการดำเนินงานของกองทุน ESG อย่างโปร่งใส และสม่ำเสมอ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ควรนำเสนอข้อมูลด้านผลตอบแทนทางการเงินควบคู่กับผลกระทบเชิงบวกทางสิ่งแวดล้อมและสังคมของกองทุน ESG อย่างเป็นรูปธรรมและต่อเนื่อง เพื่อให้ผู้ลงทุนเห็นถึง “คุณค่าในระยะยาว” ทั้งในด้านผลตอบแทนและผลกระทบที่กองทุนมีต่อความยั่งยืน
Table of contents
Description
การค้นคว้าอิสระ คณะบริหารการพัฒนาสิ่งแวดล้อม สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2567