GSEDA: Independent Studies
Permanent URI for this collectionhttps://repository.nida.ac.th/handle/662723737/2947
Independent Studies and Termpapers
Browse
Recent Submissions
Item ปัจจัยที่ส่งผลต่อการมีส่วนร่วมของบุคลากรในการดำเนินงาน GREEN & CLEAN Hospital Challenge ในโรงพยาบาลสมุทรปราการสมรักษ์ บุญยอง; อัจฉรา โยมสินธุ์ (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2025)การศึกษานี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการมีส่วนร่วมของบุคลากร ในการดำเนินงาน GREEN & CLEAN Hospital Challenge ในโรงพยาบาลสมุทรปราการ โดยเก็บข้อมูลในการศึกษาเชิงปริมาณด้วยแบบสอบถามความคิดเห็นจากบุคลากร ในโรงพยาบาลสมุทรปราการ จำนวน 120 คน และการศึกษาเชิงคุณภาพ โดยการสัมภาษณ์ ผู้ที่เกี่ยวข้องระดับนโยบาย นำมาวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ สถิติเชิงพรรณนาและสถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ T-test, F-test และ Correlation analysis ผลการศึกษา พบว่า ปัจจัยส่วนบุคลของกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง อายุอยู่ในช่วง Gen Y มีระดับการศึกษาสูงสุดปริญญาตรี มีสายงานเป็น Non-clinic ตำแหน่งพนักงานกระทรวงสาธารณสุข ช่วงระยะเวลาในการทำงานมากกว่า10 ปี และมีช่วงรายได้น้อยกว่า 10,000 บาท ผลการทดสอบสมมติฐานชี้ให้เห็นว่า ปัจจัยส่วนบุคคลที่แตกต่างกัน ไม่มีผลต่อพฤติกรรม การมีส่วนร่วมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.1 ด้านการรับรู้ ข้อมูลข่าวสาร พบว่า ส่วนใหญ่ มาจากการประชาสัมพันธ์ของหน่วยงาน เช่น บอร์ดข้อมูลข่าวสาร ด้านความรู้ ความเข้าใจ และทัศนคติที่แตกต่างกัน ล้วนส่งผลต่อพฤติกรรมการมีส่วนร่วมในการดำเนินงาน GREEN & CLEAN Hospital Challenge ในโรงพยาบาลสมุทรปราการ ที่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ 0.1 โดยบุคลากรมีความรู้ ความเข้าใจ และทัศนคติที่เหมาะสมในระดับสูง จะมีพฤติกรรมการมีส่วนร่วมในการดำเนินงานอยู่ในระดับสูงItem การวิเคราะห์นโยบาย มาตรการและการมีส่วนร่วมของชุมชนใน การจัดการขยะทะเล: กรณีศึกษาเกาะเสม็ด จังหวัดระยองณิญาพัณณ์ หิรัญพิจิตร; วิชชุดา สร้างเอี่ยม (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2025)งานวิจัยนี้ศึกษาปัญหาขยะทะเลในพื้นที่เกาะเสม็ด จังหวัดระยอง ซึ่งเป็นพื้นที่ท่องเที่ยวสำคัญของไทย โดยใช้กรอบแนวคิดการจัดการเขตชายฝั่งแบบบูรณาการ (ICZM) และเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) เพื่อวิเคราะห์ระบบการจัดการขยะทะเล พบว่าขยะส่วนใหญ่เป็นพลาสติกใช้ครั้งเดียว โดยมีแหล่งกำเนิดทั้งจากบนบกและทางทะเล แม้มีนโยบายระดับชาติที่เกี่ยวข้อง แต่ยังขาดการบูรณาการที่มีประสิทธิภาพในระดับพื้นที่ รวมถึงกลไกสนับสนุนที่ชัดเจน ด้านการมีส่วนร่วมของชุมชนยังจำกัดอยู่ในกิจกรรมพื้นฐาน ขาดการมีบทบาทในกระบวนการวางแผนและติดตามผล ข้อเสนอแนะจากงานวิจัย ได้แก่ การพัฒนานโยบายในระดับพื้นที่ เสริมบทบาทองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชนในทุกระดับ และพัฒนาระบบรีไซเคิลให้เหมาะสมกับบริบทท้องถิ่น ควบคู่กับการสร้างจิตสำนึกอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ การแก้ปัญหาขยะทะเลต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนและการวางนโยบายที่ยืดหยุ่นและยั่งยืนItem แนวทางการปรับตัวของผู้ประกอบการไทย ในการควบคุมสาร MCCPs ภายใต้อนุสัญญาสตอกโฮล์มว่าด้วยสารมลพิษที่ตกค้างยาวนานภาสวัน ภริตานนท์; จุฑารัตน์ ชมพันธุ์ (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2025)งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาแนวทางการปรับตัวของผู้ประกอบการไทยต่อการควบคุม สาร Medium-Chain Chlorinated Paraffins (MCCPs) ภายใต้อนุสัญญาสตอกโฮล์มว่าด้วยสารมลพิษที่ตกค้างยาวนาน ซึ่งประเทศไทยในฐานะภาคีสมาชิกมีพันธกรณีที่จะต้องยุติการผลิต การนำเข้า การส่งออก และการใช้สารดังกล่าว โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ ผ่านการวิจัยเอกสารควบคู่กับการสัมภาษณ์ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ ได้แก่ ผู้ประกอบการและเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้อง โดยเลือกแบบเฉพาะเจาะจงและสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง ผลการศึกษาพบว่า แนวทางการควบคุมสาร MCCPs ของไทยสามารถดำเนินได้ 3 แนวทางหลัก ได้แก่ (1) การเลิกใช้สารทันที (Ban MCCPs) ซึ่งสอดคล้องกับพันธกรณีระหว่างประเทศแต่ก่อให้เกิดผลกระทบทางเศรษฐกิจสูง (2) การขึ้นทะเบียนข้อยกเว้นพิเศษ (Specific Exemption) ซึ่งช่วยบรรเทาผลกระทบและเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการปรับตัว แต่มีข้อจำกัดเรื่องระยะเวลาการอนุญาต และ (3) การแจ้งไม่สามารถยอมรับการแก้ไขภาคผนวก (Non-acceptance) ซึ่งเป็นกลไกในการชะลอผลผูกพันชั่วคราว เพื่อให้ประเทศ มีเวลาพัฒนากฎหมาย ระบบควบคุม และการวิจัยสารทดแทน อย่างไรก็ตาม ความท้าทายสำคัญ ได้แก่ ความพร้อมด้านเทคโนโลยี การวิจัยสารทดแทน การสนับสนุนทางการเงินแก่ผู้ประกอบการรายย่อย และ การสร้างฐานข้อมูลการใช้สารที่ถูกต้องและเป็นปัจจุบัน ข้อเสนอแนะจากการศึกษาพบว่า แนวทาง Non-acceptance เหมาะสมที่สุด เนื่องจากประเทศไทย ยังไม่มีความพร้อมด้านเทคโนโลยี สารทดแทน และมาตรการสนับสนุนที่เพียงพอ ดังนั้นจึงควรมีการกำหนดมาตรการเชิงนโยบาย ควบคู่ไปกับการสนับสนุนด้านการเงินและเทคโนโลยีแก่ผู้ประกอบการ ตลอดจนการพัฒนาฐานข้อมูลการใช้สารที่ถูกต้องและเป็นปัจจุบัน เพื่อรักษาสมดุลระหว่างการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม สุขภาพประชาชน และเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศ คำสำคัญ: สารมลพิษที่ตกค้างยาวนาน, MCCPs, อนุสัญญาสตอกโฮล์ม, การปรับตัวผู้ประกอบการItem การประยุกต์ใช้ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์วิเคราะห์การแพร่กระจายของฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ในพื้นที่จังหวัดกำแพงเพชรสารินทร์ สำราญ; ฆริกา คันธา (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2025)การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการแพร่กระจายของฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM2.5) ในพื้นที่จังหวัดกำแพงเพชร ระหว่างเดือนมกราคม - พฤษภาคม พ.ศ. 2568 โดยการประยุกต์ใช้ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (GIS) ร่วมกับเทคนิคการประมาณค่าเชิงพื้นที่แบบ Inverse Distance Weighting (IDW) ในการวิเคราะห์แนวโน้มและการแพร่กระจายเชิงพื้นที่ของ PM2.5 รวมถึง การวิเคราะห์ร่วมกับข้อมูลการใช้ประโยชน์ที่ดิน จุดความร้อน เพื่อหาความสัมพันธ์ของปัจจัยที่ก่อให้เกิดปัญหา PM2.5ในพื้นที่ศึกษา ผลการวิจัยพบว่า ค่าความเข้มข้นของ PM2.5 มีแนวโน้มสูงในช่วงฤดูหนาว โดยเดือนที่มี ค่าความเข้มข้นของ PM2.5 สูงสุด คือ เดือนมีนาคม (94.64 µg/m³) รองลงมาคือ เดือนมกราคม กุมภาพันธ์ เมษายนโดยมีค่าเกินมาตรฐานกำหนด (ตามประกาศคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เรื่อง กำหนดมาตรฐานฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM 2.5) ในบรรยากาศทั่วไป ต้องมีค่าไม่เกิน 37.5 µg/m³) ในขณะที่เดือนพฤษภาคมมีค่าค่าความเข้มข้นของ PM2.5 ต่ำสุด (24.59–32.69 µg/m³) การวิเคราะห์ร่วมกับการใช้ประโยชน์ที่ดิน พบว่า พื้นที่เกษตรเข้มข้นและพื้นที่ป่ามีค่าฝุ่นสูงกว่าพื้นที่ชุมชน โดยเฉพาะ อำเภอลานกระบือ และอำเภอไทรงาม ซึ่งมีสาเหตุมาจากการเผาเศษวัสดุทางการเกษตรและการเผาเพื่อความสะดวกในการเก็บเกี่ยว เช่น อ้อย นอกจากนี้ ยังพบความสัมพันธ์ระหว่างจำนวนจุดความร้อนที่เกิดขึ้นกับค่าความเข้มข้นของ PM2.5 โดยเดือนที่มีจุดความร้อนสูงที่สุดคือเดือนมีนาคม (701 จุด) ซึ่งสอดคล้องกับค่าความเข้มข้นของ PM2.5 ที่สูงที่สุดเช่นกัน ผลการศึกษา ยังชี้ให้เห็นว่าลักษณะทางภูมิอากาศมีผลอย่างมีนัยสำคัญต่อการสะสมของ PM2.5 โดยในช่วงที่สภาพอากาศนิ่ง และมีความกดอากาศสูงในฤดูหนาวส่งผลให้เกิดการสะสมของ PM2.5 สูงกว่าช่วงฤดูร้อน โดยสรุปงานวิจัยนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างกิจกรรมการเกษตร การเผาในที่โล่ง จุดความร้อน และฤดูกาล ที่ส่งผลต่อค่าความเข้มข้นของ PM2.5 ในจังหวัดกำแพงเพชร ผลลัพธ์จากการศึกษาเป็นข้อมูลสำคัญที่สามารถนำไปใช้ในการวางแผนเสนอนแนวทางในการเฝ้าระวังผลกระทบจากฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ให้สอดคล้องกับบริบทในพื้นที่จังหวัดกำแพงเพชรItem การพัฒนากรอบการทำงานแบบหลายภาคส่วนเพื่อป้องกันการฟอกเขียวของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย : กรณีศึกษาเปรียบเทียบกรอบการทำงานกับแนวปฏิบัติสากลตารนุช พรหมเพ็ญ; พรพรหม สุธาทร (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2025)การฟอกเขียวเป็นปัญหาระดับโลกที่ส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพของตลาดทุนและความน่าเชื่อถือของระบบนิเวศความยั่งยืน การค้นคว้าอิสระนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนากรอบการ ทำงานแบบหลายภาคส่วนสำหรับการตรวจสอบและป้องกันการฟอกเขียวของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย การศึกษาใช้วิธีการวิจัยเชิงเอกสาร (Documentary Research) ประกอบด้วย 3ขั้นตอนหลัก คือ การทบทวนวรรณกรรมและการสังเคราะห์ทฤษฎีเชิงพฤติกรรมองค์กร การวิเคราะห์เปรียบเทียบเชิงคุณภาพ (Qualitative Comparative Analysis) ของมาตรฐานและแนวปฏิบัติสากลจาก 5 ทวีป และเพื่อนำสู่การพัฒนากรอบการทำงานที่เหมาะสมกับบริบทประเทศไทย ผลการศึกษาพบว่า ประเทศไทยมีช่องว่างสำคัญได้แก่ การขาดหน่วยงานเฉพาะ การขาดเกณฑ์มาตรฐานการอ้างอิงด้านสิ่งแวดล้อม ช่องว่างในการเปิดเผยข้อมูลของบริษัทจดทะเบียน และช่องว่างในการติดตามตรวจสอบ เมื่อเปรียบเทียบกับแนวปฏิบัติสากล พบว่าปัจจัยแห่งความสำเร็จประกอบด้วย กรอบกฎหมายที่ชัดเจนและครอบคลุม การบังคับใช้ที่มีประสิทธิภาพ ความร่วมมือระหว่างหน่วยงาน และการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในหลายภาคส่วน ทั้งนี้กฎระเบียบข้อบังคับที่ครอบคลุมเข้มงวดของสหภาพยุโรป การร่วมมือระหว่างภาดส่วนที่มีประสิทธิภาพของประเทศสิงคโปร์ รวมทั้งกาคประชาสังคมที่เข้มแข็งในสหรัฐอเมริกาและเยอรมัน ถือเป็นแนวทางตัวอย่างที่ดีมาก กรอบการทำงานที่นำเสนอ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยจะเป็นผู้กำกับดูแลหลัก ในการปรับปรุงข้อบังคับและประเด็นสำคัญในการเปิดเผยข้อมูล ศึกษาความพร้อมการใช้เครื่องมือ SBTY เพื่อตรวจสอบเป้าหมาขสิ่งแวดล้อมเชิงวิทยาศาสตร์ ขกระดับ ESG Data Platform เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูล และพัฒนา ESG Excellence Index ให้ครอบคลุมความเสียงการฟอกเขียว ประสานร่วมกับคณะกรรมการป้องกันการฟอกเขียวแห่งชาติที่จะจัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นศูนย์กลางในการผลักดันให้เกิดบูรณาการความรู้ความชำนาญจากหลายภาคส่วน การริเริ่มร่างกรอบกฎหมาย เช่น พระราชบัญญัติป้องกันการฟอกเขียว มาตราฐานข้อบังคับใหม่เกี่ยวกับการอ้างอิงด้านสิ่งแวดล้อม รวมถึงการเร่ง พัฒนาThailand Taxonomy ให้พร้อมได้จริง เครื่องมือตรวจสอบและเทคโนโลยีจะถูกพัฒนามาใช้ เช่นการประเมินความเสี่ยงการฟอกเขียวของบริษัท Greenwashing Risk Assessment (GRA) และ ดัชนีการฟอกเขียวของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (TGSI) ส่วนระบบการตรวจจับการฟอกเขียว ประกอบไปด้วยด้วยปัญญาประดิษฐ์ที่พัฒนาขึ้นใหม่ Thai-ClimateBERT หรือ นอกจากนี้ ยังได้พัฒนาแนวทางเฉพาะ สำหรับการฟอกเขียวที่พบบ่อยในประเทศไทย 3 ประเด็น คือ การฟอกเขียวผ่านคาร์บอนเครดิต การตั้งเป้าหมาย Net Zero ที่ไม่สามารถทำได้จริง และการฟอกเขียวผ่านโครงการเพื่อสังคม (CSR) กรอบการทำงานที่นำเสนอ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยจะเป็นผู้กำกับดูแลหลัก ในการปรับปรุงข้อบังคับและประเด็นสำคัญในการเปิดเผยข้อมูล ศึกษาความพร้อมการใช้เครื่องมือ SBTY เพื่อตรวจสอบเป้าหมาขสิ่งแวดล้อมเชิงวิทยาศาสตร์ ขกระดับ ESG Data Platform เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูล และพัฒนา ESG Excellence Index ให้ครอบคลุมความเสียงการฟอกเขียว ประสานร่วมกับคณะกรรมการป้องกันการฟอกเขียวแห่งชาติที่จะจัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นศูนย์กลางในการผลักดันให้เกิดบูรณาการความรู้ความชำนาญจากหลายภาคส่วน การริเริ่มร่างกรอบกฎหมาย เช่น พระราชบัญญัติป้องกันการฟอกเขียว มาตราฐานข้อบังคับใหม่เกี่ยวกับการอ้างอิงด้านสิ่งแวดล้อม รวมถึงการเร่งพัฒนาThailand Taxonomy ให้พร้อมได้จริง เครื่องมือตรวจสอบและเทคโนโลยีจะถูกพัฒนามาใช้ เช่นการประเมินความเสี่ยงการฟอกเขียวของบริษัท Greenwashing Risk Assessment (GRA) และ ดัชนีการฟอกเขียวของตลาด หลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (TGSI) ส่วนระบบการตรวจจับการฟอกเขียว ประกอบไปด้วยด้วยปัญญาประดิษฐ์ที่พัฒนาขึ้นใหม่ Thai-ClimateBERT หรือ นอกจากนี้ ยังได้พัฒนาแนวทางเฉพาะ สำหรับการฟอกเขียวที่พบบ่อยในประเทศไทย 3 ประเด็น คือ การฟอกเขียวผ่านคาร์บอนเครดิต การตั้งเป้าหมาย Net Zero ที่ไม่สามารถทำได้จริง และการฟอกเขียวผ่านโครงการเพื่อสังคม (CSR)Item ปัจจัยที่ส่งผลต่อการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมตามหลักธรรมาภิบาลของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลในอำเภอเมืองตราด จังหวัดตราดนภัสสรต์ มีรส; จำลอง โพธิ์บุญ (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2025)การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมตามหลักธรรมาภิบาล วิเคราะห์ปัจจัยที่ส่งผลต่อการบริหารจัดการตามหลักธรรมาภิบาล และเสนอแนวทางการพัฒนาบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมตามหลักธรรมาภิบาลของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ในอำเภอเมืองตราด จังหวัดตราด กลุ่มตัวอย่างคือพนักงานใน รพ.สต. จำนวน 80 คน โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บข้อมูล และใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบสะดวก (Convenience Sampling) วิเคราะห์ข้อมูลโดยสถิติ เชิงพรรณนา ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทดสอบสมมติฐาน โดยสถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ T-test , F-test และสมการถดถอย ผลการศึกษาพบว่า การบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมตามหลักธรรมาภิบาลของ รพ.สต.โดยรวมอยู่ในระดับมาก ปัจจัยที่ส่งผลต่อการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมตามหลักธรรมาภิบาล ที่ระดับนัยสำคัญ 0.05 ประกอบด้วย ปัจจัยด้านผู้บริหาร คือ การรายงานผลการบริหารงานอย่างสม่ำเสมอ ปัจจัยด้านบุคลากร 5 ประการ ได้แก่ ความสามารถ ความรับผิดชอบ การมีปฏิสัมพันธ์ การมีส่วนร่วม และความทุ่มเทในการทำงาน ปัจจัยด้านวัฒนธรรมองค์กร ได้แก่ การเปิดโอกาสให้บุคลากรมีส่วนร่วม และมีค่านิยมที่ชัดเจนส่งผลอย่างเด่นชัดต่อธรรมาภิบาล ปัจจัยด้านกระบวนการบริหาร ได้แก่ การบริหารที่มีความยืดหยุ่น ชัดเจน และส่งเสริมพัฒนาศักยภาพบุคลากร โดยแนวทางการพัฒนาการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมตามหลักธรรมาภิบาล ได้แก่ 1. ผู้บริหารของ รพ.สต. ควรเน้นการสื่อสารผลการบริหารงานอย่างสม่ำเสมอ เพื่อสร้างความไว้วางใจ ความโปร่งใส และการมีส่วนร่วมของบุคลากรและประชาชน 2. ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของบุคลากรในการวางแผน และกำหนดค่านิยมหลักขององค์กรให้ชัดเจนและเป็นรูปธรรม และ 3. ปรับปรุงกระบวนการบริหารให้มีความยืดหยุ่น มีความชัดเจนในบทบาทหน้าที่ และเปิดโอกาสให้บุคลากรมีอิสระในการทำงานอย่างสร้างสรรค์Item ปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจชำระค่าธรรมเนียมการจัดการมูลฝอยของครัวเรือนในพื้นที่กรุงเทพมหานครสุทธิสาร แก้วดี; วิชชุดา สร้างเอี่ยม (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2024)การศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจชำระค่าธรรมเนียมการจัดการมูลฝอยของครัวเรือนในพื้นที่กรุงเทพมหานคร มีวัตถุประสงค์เพื่อทำความเข้าใจปัจจัยต่าง ๆ พฤติกรรม ความรู้ ความเข้าใจ และข้อจำกัดของประชาชนในการตัดสินใจชำระค่าธรรมเนียมการจัดการมูลฝอยให้กับกรุงเทพมหานคร เพื่อนำไปใช้ในการออกแบบนโยบายที่มีประสิทธิภาพและส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในการบริหารจัดการมูลฝอยอย่างยั่งยืน การศึกษาใช้วิธีวิจัยเชิงปริมาณ โดยเก็บข้อมูลจากแบบสอบถามกับผู้ชำระค่าธรรมเนียมการจัดการมูลฝอยของครัวเรือนในพื้นที่กรุงเทพมหานคร จำนวน 442 คน และวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ความถี่ ร้อยละ และสถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ Chi-Square Test of Independence ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่อยู่ใน Generation Y มีระดับการศึกษาสูงสุดปริญญาตรี ประกอบอาชีพพนักงานบริษัทเอกชน/รับจ้าง มีรายได้เฉลี่ยต่อครัวเรือน 30,001 - 40,000 บาท และพักอาศัยในทาวน์เฮาส์หรือทาวน์โฮม ผลการทดสอบสมมติฐานพบว่า ช่วงวัย ระดับการศึกษาสูงสุด อาชีพ รายได้เฉลี่ยต่อเดือนของครัวเรือน และประเภทที่อยู่อาศัย มีความสัมพันธ์กับความเต็มใจในการชำระค่าธรรมเนียมการจัดการมูลฝอยอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05 ระดับความพึงพอใจต่อระบบการจัดการมูลฝอยและระบบการจัดเก็บค่าธรรมเนียมฯ ของกรุงเทพมหานคร ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในระดับปานกลาง ก็มีความสัมพันธ์กับความเต็มใจในการชำระค่าธรรมเนียมฯ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05 อย่างไรก็ตาม ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการชำระค่าธรรมเนียมฯ ของครัวเรือนในพื้นที่กรุงเทพมหานครซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในระดับปานกลาง ไม่มีความสัมพันธ์กับความเต็มใจในการชำระค่าธรรมเนียมฯ กลุ่มที่เต็มใจชำระค่าธรรมเนียมมีเหตุผลหลัก คือ การเล็งเห็นประโยชน์ต่อการพัฒนาระบบการจัดการมูลฝอยของกรุงเทพมหานคร และการมีกฎหมายบังคับอย่างชัดเจน ส่วนกลุ่มที่ไม่เต็มใจชำระมีเหตุผลหลัก คือ ไม่เห็นประโยชน์ที่เกิดขึ้นจากการชำระค่าธรรมเนียมต่อการพัฒนาระบบการจัดการมูลฝอยของกรุงเทพมหานคร และไม่เชื่อมั่นในกรุงเทพมหานครเกี่ยวกับการใช้ค่าธรรมเนียมอย่างมีประสิทธิภาพและโปร่งใส ทั้งนี้ ปัญหาหลักในการจัดเก็บค่าธรรมเนียมการจัดการมูลฝอยของกรุงเทพมหานคร คือ การขาดความร่วมมือจากประชาชน สำหรับข้อเสนอแนะที่ได้จากการศึกษาครั้งนี้ คือ กรุงเทพมหานครต้องมีการปรับปรุงคุณภาพการให้บริการ เช่น การแยกเก็บมูลฝอยตามประเภทที่ชัดเจน และการเพิ่มทางเลือกในรูปแบบการชำระค่าธรรมเนียมฯ ซึ่งจะช่วยสร้างแรงจูงใจให้กับประชาชนได้ ขณะที่ความรู้ความเข้าใจเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ เนื่องจากบรรทัดฐานทางสังคมและการรับรู้ถึงความสะดวกและโปร่งใสของระบบอาจมีอิทธิพลมากกว่า ด้วยเหตุนี้ กรุงเทพมหานครจึงควรดำเนินมาตรการเชิงรุกในการสื่อสารผลประโยชน์จากการชำระค่าธรรมเนียมฯ ผ่านช่องทางดิจิทัลที่เข้าถึงง่าย เพิ่มประสิทธิภาพการบังคับใช้กฎหมายอย่างเป็นธรรม ปลูกฝังจิตสำนึกความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมในเยาวชน และส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชนเพื่อสร้างความรู้สึกเป็นเจ้าของและความรับผิดชอบร่วมกันในการจัดการมูลฝอยItem การพิจารณาการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมอื่นๆ (ประเภทที่ 3) ของโรงงานประกอบรถยนต์แห่งหนึ่งในจังหวัดระยองศรีกัลยา โปรยรุ่งเงิน; ภัคพงศ์ พจนารถ (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2024)การศึกษาค้นคว้าอิสระฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษากรอบการประเมินการปล่อยก๊าซเรือนกระจกประเภทที่ 3 ของโรงงานประกอบรถยนต์ในอุตสาหกรรมยานยนต์ เพื่อกำหนดขอบเขตการดำเนินงานและพัฒนาแนวทางที่เหมาะสมกับบริบทของโรงงานประกอบรถยนต์ในประเทศไทย โดยเฉพาะโรงงานแห่งหนึ่งในจังหวัดระยองที่อยู่ในช่วงต้นของการดำเนินงานด้านความยั่งยืน รวมถึงการประเมินโอกาสและความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการจัดเก็บข้อมูลและรายงาน Scope 3 ซึ่งเป็นขอบเขตการปล่อยที่ซับซ้อนที่สุดขององค์กร ผลการศึกษาได้จำแนกกิจกรรมออกเป็น 15 หมวดหมู่ตามมาตรฐาน GHG Protocol และ ISO 14064-1:2018 ครอบคลุมกิจกรรมในห่วงโซ่อุปทานตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อการประเมินผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมที่องค์กรต้องรับผิดชอบ โดยหมวดหมู่ที่มีนัยสำคัญ ได้แก่ การจัดซื้อวัตถุดิบหลัก (Category 1) กิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับเชื้อเพลิงและพลังงาน (Category 3) การขนส่งต้นน้ำ (Category 4) การใช้งานผลิตภัณฑ์ (Category 11) และการกำจัดซากเมื่อหมดอายุการใช้งาน (Category 12) ปัจจุบันการจัดเก็บข้อมูล Scope 3 ยังเผชิญข้อจำกัดหลายด้าน เช่น การพึ่งพาข้อมูลจากภายนอกองค์กร ความซ้ำซ้อนกับ Scope 1–2 และสถานะของประเทศไทยที่ยังไม่มีข้อบังคับบังคับใช้การรายงาน Scope 3 อย่างเป็นทางการ การศึกษานี้จึงเสนอให้ภาครัฐสนับสนุนฐานข้อมูล เครื่องมือเก็บข้อมูล และส่งเสริมให้เกิดการรายงาน Scope 3 อย่างเป็นรูปธรรม ในขณะที่องค์กรควรตั้งเป้าหมายและพัฒนาศักยภาพภายในเพื่อรองรับแนวโน้มเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำอย่างยั่งยืนItem แนวทางการจัดการความเสี่ยงในการทำงานของพนักงานสวนสาธารณะ: กรณีศึกษาพนักงานสวนสาธารณะ สังกัดฝ่ายรักษาความสะอาดและสวนสาธารณะ สำนักงานเขตราชเทวี กรุงเทพมหานครณัฐวุฒิ ทาหาวงษ์; วิสาขา ภู่จินดา (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2024)การศึกษานี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับความรู้ปัจจัยสิ่งแวดล้อมในการทำงานของพนักงานสวนสาธารณะ ประเมินการจัดการความเสี่ยงในการทำงานของพนักงานสวนสาธารณะ ให้การปฏิบัติงานปลอดโรคปลอดภัย และจัดทำแนวทางการจัดการความเสี่ยงในการทำงานของพนักงานสวนสาธารณะ ให้การปฏิบัติงานปลอดโรคปลอดภัย ทำการเก็บข้อมูลโดยการเก็บแบบสอบถามกับพนักงานสวนสาธารณะทั้งหมด สังกัดฝ่ายรักษาความสะอาดและสวนสาธารณะ สังกัดสำนักงานเขตราชเทวี กรุงเทพมหานคร จำนวน 50 คน และสัมภาษณ์หัวหน้าฝ่ายรักษาความสะอาดและสวนสาธารณะ สังกัดสำนักงานเขตราชเทวี กรุงเทพมหานคร ทำการวิเคราะห์ด้วยสถิติเชิงพรรณนา (Descriptive Statistics) โดยการแจกแจงความถี่ และค่าร้อยละ แล้วนำผลการสอบถามและสัมภาษณ์มาพรรณนา ผลการศึกษา พบว่า ปัจจัยสิ่งแวดล้อมมีผลกระทบต่อการทำงานในระดับปานกลาง (ค่าเฉลี่ย 1.90 จาก 3.00) โดยฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) ที่มาจากการจราจรและการเผาไหม้ ส่งผลกระทบมากที่สุด (ค่าเฉลี่ย 2.86) รองลงมาคือปัจจัยด้านความร้อนจากการทำงานกลางแจ้ง (ค่าเฉลี่ย 2.76) ส่วนความรู้ด้านสิ่งแวดล้อม อาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงานของพนักงานอยู่ในระดับสูง (ค่าเฉลี่ย 0.77 จาก 1.00) โดยมีความรู้มากที่สุดในเรื่องการป้องกันโรคลมแดดและการยกของอย่างปลอดภัย (ค่าเฉลี่ย 1.00) ด้านทัศนคติ พบว่า พนักงานฯ มีทัศนคติเชิงบวกในระดับมากเกี่ยวกับอาชีวอนามัยและความปลอดภัย (ค่าเฉลี่ย 3.95 จาก 5.00) โดยเห็นด้วยอย่างยิ่งว่าทุกคนควรมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับความปลอดภัย (ค่าเฉลี่ย 4.60) ขณะที่พฤติกรรมการปฏิบัติงานให้ปลอดภัยอยู่ในระดับมาก (ค่าเฉลี่ย 1.86 จาก 2.00) เช่น การไม่ใช้ยาที่ทำให้ง่วงนอนและไม่ดื่มแอลกอฮอล์ก่อนหรือขณะทำงาน สำหรับการประเมินความเสี่ยงในการทำงานของพนักงานสวนสาธารณะ พบว่า ความร้อนเป็นปัจจัยเสี่ยงสูงสุด (6 คะแนน) รองลงมา คือ ฝุ่น PM2.5 (4 คะแนน) จากผลการศึกษานี้ ได้มีแนวทางการจัดการความเสี่ยง โดยการบริหารเวลางานให้เหมาะสม หลีกเลี่ยงช่วงเวลาที่มีอุณหภูมิสูง การจัดเตรียมสภาพแวดล้อมบริเวณพื้นที่ปฏิบัติงานให้ปลอดภัย และการจัดหาอุปกรณ์ป้องกัน เช่น หน้ากากกันฝุ่น พร้อมทั้งส่งเสริมความรู้เกี่ยวกับการป้องกันอันตรายจากสภาพแวดล้อม เพื่อเพิ่มความปลอดภัยในการปฏิบัติงานของพนักงานสวนสาธารณะItem ความท้าทายและโอกาสของการนำ ESG (Environment, Social and Governance) เข้าสู่กระบวนการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ในประเทศไทย กรณีศึกษาโครงการโรงไฟฟ้าชีวมวลทัศนีย์ แสงอินทร์; จำลอง โพธิ์บุญ; วิสาขา ภู่จินดา (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2024)การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินความท้าทายและโอกาสการบูรณาการ ESG ในกระบวนการ EIA ของโครงการโรงไฟฟ้าชีวมวล เสนอแนวทางการประยุกต์ ESG ในกระบวนการ EIA เพื่อการเพิ่มความยั่งยืน และเสนอแนะแนวทางเชิงนโยบายและเชิงปฏิบัติในการนำ ESG เข้ามาสู่กระบวนการ EIA กรณีศึกษาโครงการโรงไฟฟ้าชีวมวลในประเทศไทย โดยทำการรวบรวมข้อมูล ทุติยภูมิจากแนวคิดทฤษฎี เอกสารทางวิชาการ กฎหมาย และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งเก็บรวบรวมข้อมูลปฐมภูมิ โดยการสัมภาษณ์ (Interviews) กลุ่มผู้มีส่วนได้เสีย (Stakeholders) จำนวน 16 ราย ซึ่งเป็นผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในกระบวนการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) เช่น คณะกรรมการผู้ชำนาญการ (คชก.) ผู้ชำนาญการสิ่งแวดล้อม นักวิชาการสิ่งแวดล้อมอาวุโส และนักวิชาการด้านเศรษฐกิจสังคมและการมีส่วนร่วม ฯลฯ และวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพจากการสัมภาษณ์ด้วยวิธีการจับกลุ่มประเด็น และวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis) ร่วมกับการค้นคว้าข้อมูลทุติยภูมิจากเอกสารรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) โครงการโรงไฟฟ้าชีวมวล และเรียบเรียงเนื้อหาเพื่อหาข้อสรุปเป็นประเด็นหลักที่เกี่ยวข้องตามกรอบแนวคิดและวัตถุประสงค์การศึกษา ผลการศึกษาพบว่า การบูรณาการ ESG เข้าสู่ EIA มีความเหมาะสมและช่วยเสริมความยั่งยืนของโครงการ โดยเฉพาะในมิติด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล อย่างไรก็ตาม การดำเนินงานยังเผชิญกับอุปสรรค เช่น ข้อจำกัดของกรอบกฎหมายด้านสิ่งแวดล้อม และนโยบายต่าง ๆ การขาดเครื่องมือวิเคราะห์ ESG ที่ชัดเจน และความเข้าใจของเจ้าหน้าที่และผู้จัดทำรายงาน EIA ที่ยังไม่ลึกซึ้งในด้าน ESG ส่วนในด้านโอกาส การผลักดัน ESG มีแนวโน้มจากภาคการเงินและการลงทุนที่มุ่งเน้นพลังงานสะอาดและยั่งยืน การสนับสนุนจากหน่วยงานกำกับ และแรงขับเคลื่อนจากสังคมที่เรียกร้องความโปร่งใส รวมถึงการเปิดกว้างของเครื่องมือใหม่ ๆ เช่น LCA, SIA และ ESG Framework ของต่างประเทศ ที่สามารถประยุกต์ใช้ร่วมกับ EIA ได้ ข้อเสนอแนะแนวทางเชิงนโยบายและเชิงปฏิบัติที่ได้จากการศึกษานี้ ชี้ให้เห็นว่า ควรมีการปรับปรุงกฎหมายเพื่อรองรับ ESG อย่างเป็นระบบ พัฒนาศักยภาพบุคลากร จัดทำคู่มือหรือแนวทางการประเมิน ESG ที่ชัดเจนในบริบทของ EIA และส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนตั้งแต่ต้นทาง เพื่อนำไปสู่การพัฒนาโครงการที่โปร่งใส มีความรับผิดชอบและยั่งยืนItem แนวทางการกำหนดเป้าหมายและการเก็บข้อมูลด้านการสูญเสียอาหาร (Food Loss) ในการรายงานความยั่งยืนของอุตสาหกรรมอาหารรสสุคนธ์ เลิศชัยเพชร; จำลอง โพธิ์บุญ; วิสาขา ภู่จินดา (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2024)การสูญเสียอาหาร (Food Loss) และขยะอาหาร (Food Waste) (FLW) เป็นประเด็นสำคัญในความยั่งยืนด้านอาหารและสิ่งแวดล้อม งานวิจัยฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษายุทธศาสตร์ นโยบาย และสถานการณ์ด้าน Food Loss ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ ตลอดจนศึกษาการจัดทำรายงานความยั่งยืนในประเด็น Food Loss ของบริษัทผลิตอาหารกลุ่มเนื้อไก่แปรรูปในช่วงปี พ.ศ. 2565–2567 โดยเปรียบเทียบการรายงานกับกรอบหรือมาตรฐานสากลที่บริษัทใช้ในการรายงาน เช่น Global Reporting Initiative (GRI) เพื่อถอดบทเรียนที่สามารถนำไปสู่การพัฒนาข้อเสนอเชิงนโยบาย แนวทางการเก็บข้อมูลสำหรับอุตสาหกรรมอาหารในบริบทของประเทศไทย โดยวิเคราะห์ข้อมูลและเปรียบเทียบ จากข้อมูลนโยบายระดับประเทศ มาตรฐานหรือกรอบการการรายงาน และรายงานความยั่งยืนที่เปิดเผยต่อสาธารณะ ผู้วิจัยคัดเลือกบริษัทไทยที่ดำเนินธุรกิจส่งออกเนื้อไก่แปรรูป ซึ่งเป็นกลุ่มสินค้าที่มีมูลค่าการส่งออกสูงสุดของประเทศในช่วงเดือนมกราคม–พฤษภาคม พ.ศ. 2568 รวมถึงประเทศคู่ค้าหลักสามอันดับแรก จากนั้นวิเคราะห์รายงานความยั่งยืนที่เปิดเผยต่อสาธารณะ เพื่อเปรียบเทียบแนวทางการรายงาน ความครอบคลุมของห่วงโซ่อุปทาน ตัวชี้วัดที่ใช้ และความสอดคล้องกับนโยบายภาครัฐและมาตรฐานสากลด้านการลดการสูญเสียอาหาร (Food Loss) ข้อเสนอแนะแนวทางการจัดเก็บข้อมูลและการรายงานต่อการพัฒนานโยบายในบริบทของประเทศไทย จากการศึกษาพบว่าประเทศไทยแม้จะเริ่มให้ความสำคัญกับการลด FLW ในระดับนโยบาย แต่ยังขาดกฎหมายเฉพาะ ตัวชี้วัดสำหรับอุตสาหกรรมผลิตอาหาร และระบบข้อมูลที่สามารถเปรียบเทียบได้ในระดับอุตสาหกรรม ในขณะที่หลายประเทศ เช่น สหภาพยุโรป สหราชอาณาจักร และญี่ปุ่น ได้กำหนดแนวทางการวัด FLW อย่างเป็นระบบภายใต้กฎหมายหรือมาตรการบังคับอย่างชัดเจน จากการวิเคราะห์รายงานความยั่งยืนระหว่างปี พ.ศ. 2565–2567 ของบริษัทในประเทศไทยจำนวน 3 บริษัท และบริษัทต่างประเทศ 3 บริษัท ในประเทศ ญี่ปุ่น อังกฤษ และเนเธอร์แลนด์ พบว่ามีการใช้คำว่า Food Waste ในรายงานซึ่งในบางกรณีอาจรวมถึง Food Loss และมีความหลากหลายในรูปแบบการรายงาน เช่น การตั้งเป้าหมายเชิงปริมาณ ได้แก่ น้ำหนักของเสีย หรือเชิงคุณภาพ ได้แก่ การดำเนินกิจกรรมหรือโครงการที่มุ่งลด Food Loss ในกระบวนการผลิต อีกทั้งการใช้มาตรฐานหรือกรอบการรายงานมีการระบุตัวชี้วัดทั้งในเชิงสัดส่วนการสูญเสียและอัตราการนำของเสียกลับมาใช้ใหม่ นอกจากนี้บริษัทในประเทศไทยที่นำมาศึกษา 1 ใน 3 บริษัท ได้แยกนิยาม FL และ FW ชัดเจนและกำหนดเป้าหมายที่วัดผลได้เป็นเชิงปริมาณ เช่น หน่วยน้ำหนักเมตริกตัน สอดคล้องกับบริษัทต่างประเทศมีการจัดการ FLW อย่างเป็นระบบ โดยแยกนิยาม FL และ FW ชัดเจน กำหนดเป้าหมายที่วัดผลได้ ใช้เครื่องมือมาตรฐาน และเปิดเผยข้อมูลอย่างต่อเนื่อง ข้อเสนอแนะของงานวิจัยแบ่งเป็น 2 ด้าน คือเชิงปฏิบัติการ ได่แก่ ส่งเสริมให้ผู้ประกอบการกำหนดเป้าหมายลด Food Loss ที่วัดผลได้ ใช้กรอบการรายงานสากล เช่น FLW Protocol และเทคโนโลยีดิจิทัล เช่น IoT พร้อมพัฒนาศักยภาพบุคลากรและส่งเสริมความร่วมมือในอุตสาหกรรม และเชิงนโยบาย ได้แก่ ภาครัฐควรจัดทำแนวทางการรายงานที่ชัดเจนสำหรับอุตสาหกรรมอาหาร จัดตั้งฐานข้อมูลกลาง และสนับสนุน SMEs ผ่านการอบรมและให้คำปรึกษา เพื่อยกระดับการรายงานอย่างทั่วถึงและมีประสิทธิภาพItem การศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมของถ่านชีวภาพณิชาภา กระต่ายอินทร์; ภัคพงศ์ พจนารถ; อัจฉรา โยมสินธุ์ (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2024)การศึกษาฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมของถ่านชีวภาพ (biochar) ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการแปรรูปชีวมวลผ่านกระบวนการไพโรไลซิส (pyrolysis) โดยมีจุดประสงค์เพื่อการจัดการของเสียทางการเกษตร การปรับปรุงคุณภาพดิน และการลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การศึกษานี้ใช้วิธีการทบทวนวรรณกรรมและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา (พ.ศ. 2557–2567) รวม 50 บทความ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อรวบรวมและวิเคราะห์ผลกระทบทั้งในเชิงบวกและเชิงลบของถ่านชีวภาพต่อสิ่งแวดล้อม ผลการศึกษาพบว่าถ่านชีวภาพ ซึ่งได้จากการไพโรไลซิส (pyrolysis) ของชีวมวลทางการเกษตรมีคุณสมบัติทางกายภาพและเคมีที่ช่วยเสริมสร้างคุณภาพดิน กักเก็บคาร์บอน ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และบรรเทาปัญหามลพิษในดิน น้ำ อากาศ และขยะอินทรีย์ โดยผลการศึกษาถูกจัดหมวดหมู่เป็น 4 ด้านหลัก ได้แก่: การศึกษาผลกระทบต่อดิน ถ่านชีวภาพมีบทบาทที่สำคัญในการปรับปรุงคุณสมบัติทางกายภาพ เคมีและชีวภาพของดิน เมื่อผสมลงในดินจะช่วยเพิ่มความพรุนและความสามารถในการกักเก็บน้ำ ส่งผลให้ดินสามารถเก็บน้ำไว้ได้นานขึ้นและช่วยให้รากพืชรับน้ำและธาตุอาหารได้ดีขึ้น ส่วนในแง่ของเคมีถ่านชีวภาพมีคุณสมบัติที่ช่วยปรับปรุงค่า pH ของดินในบริเวณที่เป็นดินเปรี้ยวช่วยเพิ่มปริมาณธาตุอาหารที่อัดแน่นด้วยธาตุคาร์บอน การมีพื้นที่ผิวที่สูงและมีช่องว่างภายในของถ่านชีวภาพยังเป็นที่อยู่อาศัยของจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ ทำให้เกิดการกระจายตัวและเพิ่มจำนวนของจุลินทรีย์ในดิน ซึ่งส่งผลต่อการย่อยสลายของอินทรีย์และการหมุนเวียนธาตุในดินอย่างมีประสิทธิภาพ การศึกษาผลกระทบต่อน้ำ ถ่านชีวภาพสามารถนำมาใช้ในกระบวนการบำบัดน้ำได้เนื่องจากมีคุณสมบัติในการดูดซับมลพิษ เช่น โลหะหนักและสารเคมีที่เป็นอันตราย คุณสมบัติเหล่านี้เกิดจากโครงสร้างรูพรุนและฟังก์ชันทางเคมีที่ถูกดัดแปลงในถ่านชีวภาพ ทำให้สามารถจับกับสารอินทรีย์และสารอนินทรีย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผลการศึกษาพบว่าการใช้ถ่านชีวภาพในระบบบำบัดน้ำสามารถลดปริมาณสารพิษในน้ำและปรับปรุงคุณภาพน้ำได้ โดยเฉพาะในระบบน้ำเสียทางการเกษตรที่มักมีสารละลายที่เป็นพิษเข้มข้น นอกจากนี้ ถ่านชีวภาพยังสามารถใช้เป็นวัสดุกรองเพื่อช่วยลดความขุ่นของน้ำและฟื้นฟูคุณภาพของแหล่งน้ำในสภาพแวดล้อมธรรมชาติ การศึกษาผลกระทบต่อขยะ การนำถ่านชีวภาพไปใช้มีส่วนช่วยในการจัดการกับของเสียจากเศษวัสดุชีวมวลในภาคการเกษตรและอุตสาหกรรมต่าง ๆ เปลี่ยนของเสียที่อาจจะเป็นปัญหาให้กลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีคุณค่าและนำมาใช้ประโยชน์ในภาคการเกษตร งานวิจัยระบุว่าการผลิตถ่านชีวภาพจากของเสียชีวมวลช่วยลดปริมาณของเสียที่ต้องนำไปทิ้งในหลุมฝังกลบ นอกจากนี้ การแปรรูปเศษวัสดุเหล่านี้เป็นถ่านชีวภาพยังส่งเสริมแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) โดยสร้างมูลค่าเพิ่มจากของเสียและช่วยลดภาระการจัดการของเสียในระดับชุมชนและระดับประเทศ การศึกษาผลกระทบต่ออากาศ ถ่านชีวภาพเป็นเครื่องมือสำคัญในการกักเก็บคาร์บอนและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เมื่อผสมลงในดินจะช่วยกักเก็บคาร์บอนในรูปแบบของคาร์บอนที่เสถียร ส่งผลให้การปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ที่เป็นสาเหตุหนึ่งของภาวะโลกร้อนลดลง นอกจากนี้ บางงานวิจัยยังชี้ว่าการใช้ถ่านชีวภาพสามารถลดการผลิตก๊าซมีเทน (CH₄) และไนตรัสออกไซด์ (N₂O) จากดินในระบบเกษตรกรรมได้อย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสภาวะของจุลินทรีย์ในดินที่ได้รับการปรับปรุงด้วยถ่านชีวภาพ ซึ่งหมายความว่าถ่านชีวภาพไม่เพียงแต่ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในกระบวนการผลิตอาหารเท่านั้น แต่ยังเป็นกลไกที่ช่วยบรรเทาผลกระทบด้านอากาศในวงกว้างด้วย จากการศึกษาข้างต้นทั้งหมด ผลกระทบของถ่านชีวภาพในแต่ละด้านนั้นมีความเกี่ยวโยงและสนับสนุนกันในการสร้างระบบนิเวศที่ยั่งยืน โดยการศึกษาผลกระทบในดินได้รับความสนใจมากที่สุดและในแต่ละด้านมีจุดเด่นและข้อจำกัดเฉพาะตัว แต่การปรับปรุงกระบวนการผลิตและการใช้ถ่านชีวภาพที่เหมาะสมในแต่ละบริบทจะสามารถช่วยให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับประเทศ งานวิจัยในอนาคตจึงควรมุ่งเน้นการพัฒนามาตรฐานการผลิตและการใช้งานที่สอดคล้องกัน รวมทั้งประเมินผลระยะยาวของการใช้ถ่านชีวภาพในระบบนิเวศและการเกษตรอย่างเป็นระบบ เพื่อให้เทคโนโลยีนี้สามารถนำมาใช้เป็นเครื่องมือสำคัญในการต่อสู้กับปัญหาสิ่งแวดล้อมซึ่งเป็นการสนับสนุนการพัฒนาที่ยั่งยืนItem การวิเคราะห์เปรียบเทียบกรอบแนวทางการปฏิบัติตามมาตรฐานสากลกับการรายงานความยั่งยืนด้านความหลากหลายทางชีวภาพ : กรณีศึกษาโรงไฟฟ้าใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติแบบพลังงานความร้อนร่วมในประเทศไทยเมธินี พงษ์ศัก; จำลอง โพธิ์บุญ; วิสาขา ภู่จินดา (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2024)การศึกษาวิจัยฉบับนี้เป็นการวิจัยเอกสารมีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ เปรียบเทียบ และนำเสนอแนวทางในประยุกต์ใช้ พัฒนา และปรับปรุงการปฏิบัติตามกรอบมาตรฐานสากล ด้านความหลากหลายทางชีวภาพกับรายงานความยั่งยืน กรณีศึกษาโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติแบบพลังงานความร้อนร่วม ใช้วิธีวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis) เปรียบเทียบ(Benchmarking) วิเคราะห์ช่องว่าง (Gap Analysis) จากเอกสารรายงานความยั่งยืนและข้อมูลที่เปิดเผยสู่สาธารณะด้านความหลากหลายทางชีวภาพในช่วงปีพ.ศ. 2565–2567 ของบริษัทพลังงานโรงไฟฟ้า 6 แห่ง (ในประเทศไทย 3 แห่งและต่างประเทศ 3 แห่ง) พบว่ามาตรฐานด้านความหลากหลายทางชีวภาพทั้งสามฉบับได้แก่ GRI101 Biodiversity, TNFD และ ESRS E4 มีจุดเชื่อมโยงกันของข้อกำหนดใน 9 ประเด็นสำคัญ และ 6 มิติ จากนั้นได้พัฒนาเครื่องมือรายการตรวจสอบแบบบูรณาการทั้ง 3 มาตรฐาน (Integrated Checklist) เพื่อใช้ประเมินเนื้อหาเอกสารรายงานความยั่งยืนด้านความหลากหลายทางชีวภาพ ผลการวิเคราะห์และเปรียบเทียบพบช่องว่างสำคัญ ได้แก่ การเปิดเผยข้อมูลเชิงพื้นที่ การพึ่งพาธรรมชาติ การประเมินความเสี่ยงจากธรรมชาติ การกำหนดตัวชี้วัดเชิงระบบนิเวศ และการบูรณาการกลยุทธ์ความหลากหลายทางชีวภาพระดับองค์กร โดยพบโรงไฟฟ้า (B) ในประเทศไทยและโรงไฟฟ้า (E) ในต่างประเทศมีการดำเนินการและเปิดเผยข้อมูลด้านความหลากหลายทางชีวภาพครอบคลุม 9 ประเด็นสำคัญและ 6 มิติ ผลการเปรียบเทียบแบ่งระดับการเปิดเผยรายงานความยั่งยืนด้านความหลากหลายทางชีวภาพของโรงไฟฟ้าออกเป็น 3 กลุ่มคือ กลุ่มผู้นำมีการดำเนินการเชิงรุกสอดคล้องกับมาตรฐานสากลด้านความหลากหลายทางชีวภาพทั้ง 3 มาตรฐานในมุมมองแบบบูรณาการ 9 ประเด็นสำคัญและ 6 มิติ กลุ่มปานกลางมีบางมิติที่ทำได้แต่หลายมิติ สามารถพิจารณายกระดับต่อไป และกลุ่มเริ่มต้นเพิ่งเริ่มดำเนินการประยุกต์ปฏิบัติตามกรอบการดำเนินการตามมาตรฐานสากล โดยสรุปช่องว่างและโอกาสในการพัฒนาซึ่งเรียงลำดับจากมากไปน้อย 3 อันดับแรกดังนี้ 1)การเปิดเผยข้อมูลเชิงพื้นที่ระบุพื้นที่ที่มีความอ่อนไหวทางชีวภาพ พื้นที่สำคัญตามระบบนิเวศในรายงาน การแสดงพิกัดหรือการทำแผนที่ที่ชัดเจนของพื้นที่ดำเนินงานที่อาจมีผลกระทบต่อความหลากหลายทางชีวภาพ 2)การพึ่งพาธรรมชาติถึงข้อมูลการวิเคราะห์ว่ากิจกรรมขององค์กรพึ่งพาระบบนิเวศด้านใด เช่น แหล่งน้ำ บริการระบบนิเวศ และเปิดเผยว่าความเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติมีผลต่อการดำเนินธุรกิจขององค์กร 3)การประเมินความเสี่ยงจากธรรมชาติเชื่อมโยงความเสี่ยงและโอกาสจากธรรมชาติกับการบริหารความเสี่ยงระดับองค์กร เสนอแนวทางในการพัฒนาและปรับปรุงดังนี้ (1) เชิงนโยบายการส่งเสริมให้มีการจัดทำนโยบายและแนวทางระดับประเทศที่บูรณาการความหลากหลายทางชีวภาพเข้ากับแผนพลังงานและแผน ESG (2) เชิงกลยุทธ์การตั้งเป้าหมายที่วัดผลได้ในระดับองค์กร เช่น การไม่มีความสูญเสียสุทธิ (No Net Loss) และการพัฒนาตัวชี้วัดที่เชื่อมโยงกับเป้าหมายโลก เช่น SDG 14 SDG 15 และ GBF 2573 (3) เชิงปฏิบัติการการจัดทำแผนการจัดการความหลากหลายทางชีวภาพรายพื้นที่ (BAP) การติดตามผลและเปิดเผยข้อมูลเชิงพื้นที่อย่างโปร่งใส และ (4) เชิงกฎหมายการเร่งออกกฎหมายด้านความหลากหลายทางชีวภาพที่สนับสนุนให้ภาคธุรกิจดำเนินการตามกรอบมาตรฐานสากล เช่น GRI, TNFD และ ESRS โดยสอดคล้องกับกรอบงานกรอบความหลากหลายทางชีวภาพโลกคุนหมิงมอนทรีออล ข้อเสนอแนะนี้มีเป้าหมายนำไปสู่การยกระดับความยั่งยืนของภาคพลังงานไทยในบริบทของการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบเศรษฐกิจที่เป็นมิตรต่อธรรมชาติและระบบนิเวศ และยกระดับประเทศไทยสู่การดำเนินงานที่สอดคล้องกับเป้าหมายธรรมชาติเป็นบวกและเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนด้านความหลากหลายทางชีวภาพในระดับสากลItem แนวทางการส่งเสริมอุตสาหกรรมไม้สัก ด้วยแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนกรณีศึกษาอำเภอสูงเม่น จังหวัดแพร่ธิดารัตน์ แผนพรหม; ภัคพงศ์ พจนารถ; อัจฉรา โยมสินธุ์ (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2024)การศึกษาเรื่อง “แนวทางการส่งเสริมอุตสาหกรรมไม้สัก ด้วยแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนกรณีศึกษาอำเภอสูงเม่น จังหวัดแพร่” มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาห่วงโซ่คุณค่าของอุตสาหกรรมไม้สัก และศึกษาแนวทางการส่งเสริมอุตสาหกรรมไม้สัก ด้วยแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน รวมถึงจัดทำข้อเสนอแนะเชิงนโยบายแก่ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมไม้สัก จังหวัดแพร่ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) ผ่านการสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth Interview) และการสนทนากลุ่ม (Focus Group Discussion) กับผู้มีส่วนได้เสีย (Stakeholder) ในห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมไม้สัก อำเภอสูงเม่น จังหวัดแพร่ ผลการศึกษาพบว่าอุตสาหกรรมไม้สักในจังหวัดแพร่มีความเข้มแข็งจากรากฐานวัฒนธรรม วิถีชีวิต และความเชี่ยวชาญของช่างฝีมือท้องถิ่นมาอย่างยาวนาน ทั้งยังมีห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ที่ครอบคลุมตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำอย่างชัดเจน ทั้งนี้จากผลการศึกษาพบว่าวัตถุดิบไม้สักมาจาก 4 แหล่งที่มา ได้แก่ 1) สวนป่าเอกชน/เกษตรกรรายย่อย 2) องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ (อ.อ.ป.) 3) ไม้สักเรือนเก่า และ 4) การรับซื้อไม้แปรรูปจากจังหวัดอื่น ผู้ประกอบการมีทั้งในระดับครัวเรือน (โรงงานใต้ถุนบ้าน) และระดับอุตสาหกรรม เช่น องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ หรือ อ.อ.ป. แต่ปัญหาและอุปสรรคที่พบในอุตสาหกรรมไม้สักยังคงมีข้อจำกัดในเรื่องคุณภาพไม้จากสวนป่าเอกชน และการเข้าถึงโรงอบไม้ในกลุ่มผู้ประกอบการรายย่อย ในด้านกิจกรรมของห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) พบว่ากิจกรรมหลักที่สร้างมูลค่าเพิ่ม ได้แก่ 1) การจัดหาวัตถุดิบ 2) การแปรรูปไม้ 3) การจัดจำหน่ายสินค้า 4) การตลาด และ 5) การให้บริการลูกค้า โดยมีโครงสร้างสนับสนุนจากนโยบายรัฐ เทคโนโลยี ทักษะแรงงาน และการบริหารจัดการวัตถุดิบ ส่วนแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ถูกนำมาเป็นแนวปฏิบัติในอุตสาหกรรมไม้สักผ่าน 4 กิจกรรม ได้แก่ 1) Reduce: ลดการใช้ทรัพยากรเกินจำเป็น 2) Reuse: การนำเศษไม้ ปีกไม้ และขี้เลื่อยในกระบวนการผลิต มาแปรรูปเพื่อใช้ประโยชน์อีกครั้ง 3) Recycle: นำไม้เรือนเก่ามาแปรรูปเป็นเฟอร์นิเจอร์ใหม่ 4) Regenerate: มีการปลูกไม้ทดแทนในสวนป่าของ อ.อ.ป. ทั้งนี้แม้จะมีการดำเนินงานที่สอดคล้องกับแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนแต่อุตสาหกรรมไม้สักจังหวัดแพร่ยังคงเผชิญกับข้อจำกัด ได้แก่ การแก้ไขระเบียบและข้อบังคับกฎหมาย ขั้นตอนการขออนุญาตที่ซ้ำซ้อน การขาดเทคโนโลยีระบบฐานข้อมูลกลาง และแรงจูงใจที่ไม่เพียงพอในการส่งเสริมการปลูกไม้สักทดแทนในกลุ่มเกษตรกรรายย่อย ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย เพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมไม้สักอย่างยั่งยืน ได้แก่ 1) การลดขั้นตอนและปรับปรุงระเบียบข้อกฎหมายเพื่อสร้างแรงจูงใจให้ผู้ประกอบการปลูกสวนป่าทดแทน 2) การพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลกลาง (One Stop Service) เพื่อความโปร่งใสและตรวจสอบย้อนกลับได้ 3) การส่งเสริมนวัตกรรมและเทคโนโลยี เช่น โรงอบไม้ และเทคโนโลยีการอัดความร้อนในการแปรรูปไม้คุณภาพต่ำ 4) การสร้างตลาดผลิตภัณฑ์ไม้หมุนเวียน และส่งเสริมการปลูกไม้เศรษฐกิจทดแทน กล่าวโดยสรุป อุตสาหกรรมไม้สักจังหวัดแพร่มีความเข้มแข็งในหลายด้าน แต่ยังมีจุดเปราะบาง โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ผลิตรายย่อยในด้านการเข้าถึงทรัพยากรและเทคโนโลยี การส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียนจึงเป็นแนวทางสำคัญที่จะช่วยเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ ลดของเสีย และนำไปสู่การใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืน โดยต้องอาศัยการร่วมมือจากภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนในพื้นที่อย่างเป็นระบบ ซึ่งการนำแนวทางการดำเนินงานนี้มาสู่แนวทางการฏิบัติจะช่วยให้จังหวัดแพร่สามารถยกระดับอุตสาหกรรมไม้สักให้กลายเป็นต้นแบบของการพัฒนาอุตสาหกรรมไม้ในระดับประเทศได้อย่างยั่งยืนItem การประเมินผลกระทบทางสังคม (SIA) และการประเมินผลตอบแทนทางสังคมจากการลงทุน (SROI) ภายใต้โครงการยุวเกษตรสู่ความยั่งยืน ของธุรกิจพืชครบวงจร ข้าว ขนส่งและบริการ เครือเจริญโภคภัณฑ์วรัญญา โยธาผาบ; จุฑารัตน์ ชมพันธุ์; พรพรหม สุธาทร (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2024)การพัฒนาอย่างยั่งยืนได้รับความสนใจจากทั้งภาครัฐและเอกชน โดยเฉพาะในภาคธุรกิจที่ต้องคำนึงถึงผลกระทบทางสังคมและสิ่งแวดล้อมควบคู่กับการสร้างกำไร โครงการ CSR ของธุรกิจพืชครบวงจร ข้าว ขนส่งและบริการ เครือเจริญโภคภัณฑ์ (CPCRT) เช่น โครงการยุวเกษตรสู่ความยั่งยืน มีเป้าหมายในการส่งเสริมความมั่นคงทางอาหารในโรงเรียนผ่านการปรับปรุงแปลงเกษตร การสนับสนุนวัสดุและอุปกรณ์ทางการเกษตร รวมถึงการถ่ายทอดความรู้ด้านการเกษตรแก่เยาวชน เพื่อสร้างคลังอาหารที่ปลอดภัยและลดต้นทุนอาหารในโรงเรียน การศึกษานี้มีเป้าหมายในการประเมินผลกระทบทางสังคม (SIA) และผลตอบแทนทางสังคมจากการลงทุน (SROI) ของโครงการยุวเกษตรสู่ความยั่งยืน โดยการวิเคราะห์ผลกระทบในด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม เพื่อหามูลค่าผลตอบแทนจากการลงทุนในโครงการ และประเมินความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจและสังคม รวมถึงความคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในการพัฒนาโครงการให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ผลการประเมินพบว่า โครงการยุวเกษตรสู่ความยั่งยืนมีอัตราผลตอบแทนทางสังคม (SROI) ในช่วงระยะเวลาการลงทุนปีแรกปีที่ 1 ถึงปีที่ 6 เท่ากับ 1.047 ซึ่งแสดงถึงความคุ้มค่าในการลงทุนที่ 1 บาท สามารถสร้างผลลัพธ์ทางสังคมได้ 1.047 บาท นอกจากนี้ยังแสดงถึงความสามารถของธุรกิจ CPCRT ในการออกแบบและวางแผนกลยุทธ์ของโครงการที่ตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย และสร้างผลลัพธ์การเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นตั้งแต่เริ่มโครงการ อย่างไรก็ตาม ผลลัพธ์ที่ได้ยังมีบางตัวชี้วัดที่ไม่สามารถแปลงเป็นมูลค่าทางการเงิน เช่น "ประโยชน์เชิงเศรษฐกิจในอนาคต" ซึ่งทำให้ผลตอบแทนทางสังคมที่ได้คำนวณมีค่าน้อยกว่าความเป็นจริง โดยไม่ได้สะท้อนถึงผลกระทบที่แท้จริงจากโครงการ ข้อเสนอแนะ ได้แก่ 1) ควรพัฒนาและใช้ตัวชี้วัดเชิงคุณภาพเพื่อสะท้อนผลกระทบที่ไม่สามารถแปลงเป็นมูลค่าทางการเงินได้ 2) ควรมีการติดตามผลการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องในระยะยาว เพื่อเปรียบเทียบผลลัพธ์จากกิจกรรมต่าง ๆ และ 3) ควรมีนโยบายเก็บข้อมูลที่ชัดเจน เพื่อประเมินผลลัพธ์ทางสังคมและปรับปรุงโครงการตามความเหมาะสมItem การวิเคราะห์ช่องว่าง (Gap Analysis) และแนวทางพัฒนาคะแนน FTSE Russell ESG Scores กรณีศึกษาธุรกิจโทรคมนาคมแห่งหนึ่งกรรณิกา สมเชื้อเวียง; จุฑารัตน์ ชมพันธุ์; พรพรหม สุธาทร (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2024)การวิจัยนี้เป็นการวิเคราะห์ช่องว่าง (Gap Analysis) และแนวทางพัฒนาคะแนน FTSE Russell ESG Scores กรณีศึกษาธุรกิจโทรคมนาคมแห่งหนึ่ง โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาและเสนอแนวทางการพัฒนาคะแนน FTSE Russell ESG Scores สำหรับธุรกิจโทรคมนาคมแห่งหนึ่งในประเทศไทย โดยมุ่งเน้นการวิเคราะห์ช่องว่าง ในกระบวนการดำเนินงานด้านความยั่งยืน และการยกระดับคะแนน FTSE Russell ESG Scores โดยใช้ตัวชี้วัด ที่เกี่ยวข้องและมาตรฐานการประเมินที่กำหนดจาก FTSE Russell ESG Scores การพัฒนาคะแนน ESG ในธุรกิจโทรคมนาคมไม่เพียงแต่ช่วยสร้างความยั่งยืนในองค์กร แต่ยังเสริมสร้างความโปร่งใส เพิ่มความเชื่อมั่น จากผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และเปิดโอกาสในการเข้าถึงแหล่งทุนใหม่ ๆ ซึ่งจะช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน ในตลาดที่มีการแข่งขันสูง ในการวิจัยนี้ได้ทำการสัมภาษณ์ผู้ให้ข้อมูลหลัก จำนวน 8 ท่าน ซึ่งประกอบด้วยผู้บริหารและบุคคลที่มีความรู้เกี่ยวกับการพัฒนาและการดำเนินงานด้านความยั่งยืน ข้อมูลที่ได้จากการสัมภาษณ์เหล่านี้ช่วยให้ได้ข้อมูลสำคัญในการวิเคราะห์ช่องว่างและแนวทางในการพัฒนากลยุทธ์ที่สามารถยกระดับคะแนน ESG ของบริษัทตามเกณฑ์ FTSE Russell นอกจากนี้ยังมีการเก็บรวบรวมข้อมูลจากรายงานประจำปี และเอกสารที่เกี่ยวข้องที่ช่วยในการพัฒนากลยุทธ์ในการดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพItem การศึกษาความเป็นไปได้และปัจจัยที่ควรพิจารณาในการขอรับรองมาตรฐาน ISCC PLUS ของบริษัทผลิตบบรรจุภัณฑ์พลาสติกชนิดอ่อนตัวแห่งหนึ่งชนิดา ตาลพร้า; จุฑารัตน์ ชมพันธุ์; พรพรหม สุธาทร (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2024)ปัจจุบันโลกเผชิญกับวิกฤตการณ์ด้านสิ่งแวดล้อมที่ทวีความรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะปัญหาขยะพลาสติกที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อระบบนิเวศและสุขภาพของมนุษย์ จากการเพิ่มขึ้นของปริมาณขยะพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว (Single-use Plastics) ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากภาคอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์พลาสติกส่งผลให้เกิดแรงกดดันทั้งภาคนโยบายและภาคตลาดในการเร่งปรับเปลี่ยนรูปแบบการผลิตให้สอดคล้องกับหลักการของเศรษฐกิจหมุนเวียนและการพัฒนาอย่างยั่งยืน ระบบการรับรอง ISCC PLUS (International Sustainability and Carbon Certification PLUS) จึงเป็นกลไกหนึ่งที่สำคัญที่ได้รับการยอมรับในระดับสากลจากฝั่งยุโรป เพื่อช่วยส่งเสริมการใช้วัตถุดิบหมุนเวียน ลดการพึ่งพาทรัพยากรฟอสซิล และการสร้างระบบการผลิตที่สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ในทุกขั้นตอนของห่วงโซ่อุปทานอย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ประกอบการในประเทศไทย โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์พลาสติกชนิดอ่อนตัว ซึ่งเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่ควรได้รับการผลักดันให้เข้าสู่ระบบการรับรองดังกล่าว เนื่องจากข้อจำกัดด้านความรู้ ความเข้าใจ และการประยุกต์ใช้ข้อกำหนดของมาตรฐาน ISCC PLUS ในบริบทขององค์กรจริง การศึกษาครั้งนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความเป็นไปได้และความพร้อมของบริษัทผลิตบรรจุภัณฑ์พลาสติกชนิดอ่อนตัวแห่งหนึ่งในการเข้าสู่กระบวนการขอรับรอง ISCC PLUS โดยมีเป้าหมายเพื่อ (1) ศึกษาวิธีการดำเนินงานของบริษัทในการเตรียมความพร้อมเข้าสู่การรับรอง (2) วิเคราะห์ช่องว่างเมื่อเปรียบเทียบกับข้อกำหนดของ ISCC PLUS (3) ศึกษาปัจจัยภายในและภายนอกที่ส่งผลต่อความสำเร็จขององค์กรในการผ่านการรับรอง และ (4) เสนอแนะแนวทางการพัฒนาระบบและกลยุทธ์ที่เหมาะสมสำหรับการดำเนินการรับรองในอนาคต ในการศึกษาครั้งนี้ได้มีการเก็บข้อมูลใช้วิธีการวิเคราะห์เอกสารที่เกี่ยวข้องกับระบบการจัดการภายในของบริษัท ประกอบกับการสัมภาษณ์เชิงลึกแบบกึ่งโครงสร้างกับผู้บริหารที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการวางแผน การดำเนินการ และควบคุมระบบการผลิต รวมถึงมีส่วนในการผลักดันให้เกิดการรับรองมาตรฐานนี้ โดยผลการเก็บข้อมูลจะนำไปวิเคราะห์โดยใช้วิธีการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา (Content Analysis) เพื่อสังเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ และดำเนินการวิเคราะห์ช่องว่าง (Gap Analysis) เพื่อเปรียบเทียบระหว่างสถานะปัจจุบันของบริษัทกับข้อกำหนดของมาตรฐาน ISCC PLUS นอกจากนี้ยังใช้การวิเคราะห์แนวปฏิบัติที่ดี (Benchmarking) จากองค์กรที่ได้รับการรับรองแล้ว เพื่อเปรียบเทียบและเสนอแนะแนวทางปฏิบัติที่ดีสำหรับการพัฒนาองค์กรในกรณีศึกษา จากผลการศึกษาพบว่าบริษัทมีจุดแข็งในด้านระบบการจัดการที่มีความเป็นระบบแบบแผน โดยเฉพาะการนำระบบ ISO 14001 และ BRCGS Packaging Materials มาบูรณาการ ซึ่งมีองค์ประกอบหลายประการที่สามารถประยุกต์ใช้รองรับข้อกำหนดของ ISCC PLUS ได้ เช่น ระบบ PDCA การควบคุมเอกสาร และระบบตรวจสอบย้อนกลับในระดับรอบการผลิตของวัตถุดิบ อย่างไรก็ตามยังพบข้อจำกัดสำคัญในเรื่องของระบบแยกวัตถุดิบตามสถานะรับรอง และการบริหารจัดการตามแนวทางดุลยภาพมวล (Mass Balance Approach) ที่ยังไม่สามารถดำเนินการได้อย่างสมบูรณ์ นอกจากนี้พบว่าบุคคลากรยังไม่มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับข้อกำหนดและหลักการของ ISCC PLUS ทำให้ทราบถึงความสำคัญของการให้ความรู้และการสื่อสาร ประชาสัมพันธ์ จากผลการศึกษาดังกล่าว จึงเสนอว่าบริษัทควรดำเนินการเสริมสร้างองค์ความรู้และประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับความยั่งยืน รวมถึงมาตรฐาน ISCC PLUS ให้แก่บุคลากรในทุกระดับ และตั้งเป้าหมายอย่างเป็นรูปธรรม รวมถึงการพัฒนาระบบบริหารจัดการข้อมูลที่สามารถเชื่อมโยงการดำเนินงานระหว่างแผนกต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมจัดทำแผนการบริหารจัดการวัตถุดิบที่สอดคล้องกับหลักการ Mass Balance และแนวคิด Circular Economy อย่างชัดเจน เพื่อสร้างความพร้อมและเพิ่มความเป็นไปได้ในการขอรับรองมาตรฐานดังกล่าวได้สำเร็จในระยะยาว รวมถึงการติดตามข่าวสาร ความเป็นปัจจุบันสถาณการณ์ที่สอดคล้องเรื่องธุรกิจและสิ่งแล้วล้อมเช่น สถาณการณ์การจัดเก็บภาษีพลาสติก (Plastic Tax) เพื่อให้องค์กรสามารถปรับตัวได้ทันกับสิ่งที่เปลี่ยนแปลง และประกอบการตัดสินใจในการกำหนดทิศทางในอนาคต ทั้งนี้ข้อเสนอแนะจากการศึกษาครั้งนี้สามารถประยุกต์ใช้เป็นแนวทางในการเตรียมความพร้อมสำหรับผู้ประกอบการรายอื่นในอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์พลาสติก ตลอดจนใช้ประกอบการวางนโยบายของภาครัฐในการส่งเสริมระบบการผลิตที่ยั่งยืนในประเทศไทยItem ปัจจัยที่มีผลต่อนักลงทุนรายย่อยในการลงทุนอย่างยั่งยืนวิรัชอร ศรีทรัพย์; ภัคพงศ์ พจนารถ; อัจฉรา โยมสินธุ์ (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2024)การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ทราบถึงความรู้และทัศนคติในเรื่องของการลงทุนอย่างยั่งยืน และปัจจัยที่มีผลต่อการลงทุนอย่างยั่งยืนของนักลงทุนรายย่อยในและนอกอุตสาหกรรมบริการทางการเงิน โดยใช้วิธีการศึกษาเชิงปริมาณด้วยการเก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างผ่านแบบสอบถามออนไลน์ ทั้งในและนอกอุตสาหกรรมบริการทางการเงิน กลุ่มละอย่างน้อย 200 ราย ผลการศึกษา พบว่าผู้ตอบแบบสอบถามจำนวน 457 คน ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง Gen Y (เกิดระหว่างปี พ.ศ. 2523-2540) สถานภาพโสด ระดับการศึกษาสูงสุดระดับปริญญาโท ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเป็นพนักงานบริษัทเอกชน รายได้รวมเฉลี่ยต่อเดือน 50,001 – 100,000 บาท โดยมีผู้ตอบแบบสอบถามที่ทำงานในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับผู้ให้บริการทางการเงินจำนวน 200 คน และทำงานนอกอุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับผู้ให้บริการทางการเงินจำนวน 257 คน ด้านประสบการณ์การลงทุน ผู้ตอบแบบสอบถามจำนวน 457 คน มีประสบการณ์การลงทุนจำนวน 282 คน โดยนับว่าเป็นนักลงทุนรายย่อย แบ่งเป็นในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับผู้ให้บริการทางการเงินจำนวน 160 คน และนอกอุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับผู้ให้บริการทางการจำนวน 122 คน ด้านความรู้และทัศนคติเกี่ยวกับการลงทุนเพื่อความยั่งยืน ระดับการประเมินตัวเองว่ารู้จักการลงทุนที่มุ่งเน้นความยั่งยืน ส่วนใหญ่รู้จักแต่ไม่แน่ใจในรายละเอียด ขณะที่มีความเข้าใจความหมายของการลงทุนที่มุ่งเน้นความยั่งยืนที่หมายถึงการลงทุนที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environmental Social and Governance: ESG) นอกจากนี้ ส่วนใหญ่มีความสนใจบ้างในการลงทุนที่มุ่งเน้นสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล โดยผลิตภัณฑ์ทางการเงินเพื่อความยั่งยืนในประเทศไทยที่รู้จักนั้น ส่วนใหญ่รู้จักหุ้นบริษัทจดทะเบียนไทยที่อยู่ในรายชื่อหุ้นยั่งยืน (SET ESG Ratings) รองลงมาเป็นตราสารหนี้เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม (Green Bond) และกองทุนรวมเพื่อความยั่งยืน (Sustainable and Responsible Investing Fund: SRI Fund) ผลิตภัณฑ์ทางการเงินเพื่อความยั่งยืนในประเทศไทยที่มีการลงทุน ส่วนใหญ่ลงทุนหุ้นบริษัทจดทะเบียนไทยที่อยู่ในรายชื่อหุ้นยั่งยืน และกองทุนรวมเพื่อความยั่งยืน การรับรู้เกี่ยวกับการลงทุนในหุ้นบริษัทจดทะเบียนไทย ส่วนใหญ่ทราบบ้างว่าหุ้นบริษัทจดทะเบียนที่ลงทุนอยู่ใน SET ESG Rating และ/หรือ Dow Jones Sustainability Index (DJSI) และกองทุนรวมที่มีนโยบายมุ่งเน้นการลงทุนในบริษัทที่ดำเนินงานตามหลักความยั่งยืนซึ่งคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาลนั้น ส่วนใหญ่เห็นว่าสามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ โดยเลือกลงทุนในกองทุนรวม Thai ESG และผลตอบแทนในระยะยาวจากการลงทุนที่มุ่งเน้นความยั่งยืน ส่วนใหญ่เห็นว่าดีกว่าการลงทุนทั่วไป เมื่อวิเคราะห์เปรียบเทียบระหว่างนักลงทุนรายย่อยที่อยู่ในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับผู้ให้บริการทางการเงินและนอกอุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับผู้ให้บริการทางการเงินในด้านประสบการณ์การลงทุน พบว่ากลุ่มนักลงทุนรายย่อยที่อยู่ในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับผู้ให้บริการทางการเงินมีสัดส่วนที่สูงกว่า ขณะที่ความรู้และทัศนคติเกี่ยวกับการลงทุนเพื่อความยั่งยืนมีความสอดคล้องกันระหว่างนักลงทุนรายย่อยทั้งสองกลุ่มในเรื่องของความสนใจ ความรู้ในการลงทุน รวมทั้งผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่มุ่งเน้นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล รวมถึงการให้ความสำคัญกับปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล ในระหว่างการตัดสินใจลงทุนที่อยู่ในระดับปานกลาง ขณะที่ความแตกต่างของนักลงทุนรายย่อยทั้งสองกลุ่มในทางสถิติที่นักลงทุนรายย่อยในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับผู้ให้บริการทางการเงินมีสัดส่วนที่สูงกว่านักลงทุนรายย่อยที่อยู่นอกอุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับผู้ให้บริการทางการเงินนั้น จะเป็นในเรื่องของการประเมินตัวเองว่ารู้จักการลงทุนที่มุ่งเน้นความยั่งยืนอย่างดี การเข้าใจความหมายของการลงทุนที่มุ่งเน้นความยั่งยืน และการรู้จักผลิตภัณฑ์ทางการเงินเพื่อความยั่งยืนในประเทศไทย สำหรับปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจลงทุนเพื่อความยั่งยืนของนักลงทุนรายย่อยทั้งสองกลุ่มพบว่าผลตอบแทนเป็นปัจจัยที่สำคัญต่อการตัดสินใจลงทุนเป็นอันดับแรก รองลงมาเป็นธรรมาภิบาล และความเสี่ยง สอดคล้องกับการให้ความสำคัญกับปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล มาพิจารณาระหว่างการตัดสินใจลงทุนที่ให้ความสำคัญน้อยกว่าผลตอบแทนจากการลงทุน เมื่อพิจารณาถึงความกังวลในด้านความเสี่ยงส่วนใหญ่กังวลอยู่ในระดับปานกลาง ทั้งในด้านความเสี่ยงของการลงทุน ด้านผลตอบแทนจากการลงทุน และด้านความรู้ ความเข้าใจ นอกจากนี้ หากพิจารณาที่จะลงทุนอย่างยั่งยืน ส่วนใหญ่เลือกกองทุนรวมเพื่อความยั่งยืน ปัจจัยที่จะสนับสนุนให้มีแนวโน้มที่จะพิจารณาการลงทุนอย่างยั่งยืนหรือลงทุนอย่างยั่งยืนเพิ่มขึ้นเป็นอันดับแรก คือ ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี รองลงมาเป็นผลตอบแทนทางการเงินจากการลงทุน และการเปรียบเทียบให้เห็นถึงผลการดำเนินงานของการลงทุนอย่างยั่งยืนกับการลงทุนโดยทั่วไป โดยช่วงอายุที่เริ่มมีการลงทุนอย่างยั่งยืน ส่วนใหญ่เป็นช่วงอายุ 30-40 ปี โดยระยะเวลาในการลงทุนอย่างยั่งยืน ส่วนใหญ่เป็นระยะเวลา 5 ปี ขึ้นไป จากผลการศึกษา สรุปได้ว่านักลงทุนรายย่อยทั้งในและนอกอุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับผู้ให้บริการทางการเงินมีความรู้ ความเข้าใจ ความสนใจในการลงทุน และการให้ความสำคัญกับปัยจัยด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล อยู่ในระดับปานกลาง ขณะที่ความเข้าใจในผลิตภัณฑ์การเงินเพื่อความยั่งยืนจำกัดอยู่ในบางผลิตภัณฑ์ และยังมีความเข้าใจไม่ถูกต้อง นอกจากนี้ นักลงทุนรายย่อยทั้งสองกลุ่มจะพิจารณาลงทุนอย่างยั่งยืน โดยให้ความสำคัญในเรื่องของผลตอบแทนทางการเงินจากการลงทุนมากที่สุด รวมถึงผลประโยชน์อื่นที่นักลงทุนรายย่อยจะได้รับ และการมีข้อมูลของผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่มีนโยบายการลงทุนอย่างความยั่งยืน ดังนั้น ในการส่งเสริมให้นักลงทุนรายย่อยมีการลงทุนอย่างยั่งยืนนั้น ทั้งบริษัทที่ดำเนินธุรกิจ บริษัทที่ออกตราสารทางการเงินเพื่อความยั่งยืน และหน่วยงานกำกับดูแลต่าง ๆ อาทิ สามารถมีส่วนร่วมในการสนับสนุนให้นักลงทุนรายย่อยมีการลงทุนอย่างยั่งยืนในด้านการดำเนินการและการสร้างความยั่งยืนในธุรกิจ การเน้นผลตอบแทนและการตรวจสอบการลงทุน การสร้างความเข้าใจและการเข้าถึงคำว่า 'ยั่งยืน' และการพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ตอบสนองต่อความต้องการของนักลงทุนรายย่อยItem ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจลงทุนในกองทุนรวม Thai ESG ของประชาชนในเขตกรุงเทพมหานครภควัต วิจิตรสาร; จุฑารัตน์ ชมพันธุ์; พรพรหม สุธาทร (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2024)ในปัจจุบันแนวคิดการลงทุนที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล (Environmental, Social, and Governance: ESG) ได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากนักลงทุนทั่วโลก เนื่องจากเป็นแนวทางที่สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนและการรับมือกับความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะในบริบทของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สำหรับประเทศไทย ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและหน่วยงานภาครัฐได้มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมการลงทุนในกองทุนรวม Thai ESG ผ่านการจัดทำดัชนีหุ้นยั่งยืนและมาตรการภาษีเพื่อจูงใจนักลงทุน อย่างไรก็ตาม แม้จะมีการส่งเสริมในระดับนโยบาย แต่ยังพบว่าข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจลงทุนในกองทุนรวม Thai ESG โดยเฉพาะในกลุ่มประชาชนที่มีรายได้ประจำในเขตกรุงเทพมหานคร ยังมีอยู่อย่างจำกัด งานวิจัยนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยดังกล่าวอย่างเป็นระบบ เพื่อที่จะเป็นประโยชน์ต่อการกำหนดกลยุทธ์ในการส่งเสริมการลงทุนอย่างยั่งยืนในระดับประเทศต่อไป การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจลงทุนในกองทุนรวม Thai ESG ของประชาชนในเขตกรุงเทพมหานคร โดยพิจารณาปัจจัยด้านประชากรศาสตร์ ได้แก่ เพศ อายุ ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้เฉลี่ยต่อเดือน รวมถึงปัจจัยด้านการลงทุน ได้แก่ ผลตอบแทน ความรู้และการรับรู้เกี่ยวกับแนวคิด ESG (สิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล) และสิทธิประโยชน์ทางภาษี ตลอดจนศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างประเภทของกองทุนรวม Thai ESG กับพฤติกรรมการตัดสินใจลงทุนของประชาชนในเขตกรุงเทพมหานคร งานวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) โดยเก็บรวบรวมข้อมูลจากประชาชนทั่วไปที่มีรายได้ประจำในเขตกรุงเทพมหานคร จำนวน 400 คน ผ่านแบบสอบถามออนไลน์ (Google Form) และนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์ด้วยสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่การแจกแจงความถี่ (Frequency) ร้อยละ (Percentage) ค่าเฉลี่ย (Mean) และ สถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (F-test) และการวิเคราะห์สหสัมพันธ์ (Correlation Analysis) จากการเก็บรวบรวมข้อมูลจากประชาชนทั่วไปที่มีรายได้ประจำในเขตกรุงเทพมหานคร จำนวน 400 คนเพื่อวิเคราะห์ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจลงทุนในกองทุนรวม Thai ESG ของประชาชนในเขตกรุงเทพมหานคร ผลการศึกษาพบว่า 1.) ปัจจัยด้านประชากรศาสตร์ ผลการวิจัยโดยการเก็บรวบรวมข้อมูลจากประชาชนทั่วไปที่มีรายได้ประจำในเขตกรุงเทพมหานครพบว่า ปัจจัยด้านประชากรศาสตร์ที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจลงทุนในกองทุนรวม Thai ESG อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ได้แก่ อายุ อาชีพ และรายได้เฉลี่ยต่อเดือน โดยกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่อายุ 31 – 40 ปี (ร้อยละ 51.5) ซึ่งผลการทดสอบพบว่า ช่วงอายุที่ต่างกันส่งผลต่อการตัดสินใจลงทุนอย่างมีนัยสำคัญ (p-value (Sig.) = 0.007 < 0.1) ซึ่งจากการศึกษาพบว่า สอดคล้องกับงานวิจัยของ ณัฐพล ดวงจิตร์ (2563) ที่พบว่า กลุ่มวัยทำงานกลางคนมักมีการวางแผนการเงินที่ชัดเจนและสนใจการลงทุนระยะยาว ขณะที่กลุ่มอายุน้อยอาจยังไม่มีรายได้หรือความรู้ด้านการเงินเพียงพอ ขณะที่กลุ่มสูงวัยอาจเน้นความมั่นคงมากกว่าความยั่งยืน และปัจจัยด้านอาชีพ ส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มพนักงานบริษัทเอกชน (ร้อยละ 65.25) ผลการทดสอบพบว่า อาชีพที่แตกต่างกันมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจลงทุนอย่างมีนัยสำคัญ (p-value (Sig.) = 0.059 < 0.1) โดยมองว่ากลุ่มที่ทำงานในองค์กร โดยเฉพาะภาคเอกชน อาจมีการเข้าถึงข้อมูลด้านการเงินและ ESG มากกว่ากลุ่มอื่น อีกทั้งบริษัทเอกชนขนาดใหญ่เริ่มมีนโยบายส่งเสริม ESG มากขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับผลการศึกษาของ ณัฐกร เลาหสงคราม (2555) ที่พบว่า พนักงานบริษัทเอกชนมีแนวโน้มลงทุนในกองทุนรวมระยะยาวมากกว่า และรายได้เฉลี่ยต่อเดือน ส่วนใหญ่มีรายได้ 35,001 – 45,000 บาทต่อเดือน (ร้อยละ 33.25) ผลการทดสอบพบว่า รายได้ที่แตกต่างกันมีอิทธิพลอย่างมีนัยสำคัญ (p-value (Sig.) = 0.032 < 0.1) ซึ่งรายได้ที่มากขึ้นช่วยให้มีเงินเหลือเพื่อการลงทุนและมองหาทางเลือกการลงทุนที่สอดคล้องกับคุณค่าและความยั่งยืน เช่น กองทุนรวม Thai ESG จากการศึกษาพบว่า สอดคล้องกับงานวิจัยของ สุนทรี จึงประเสริฐกุล (2552) ที่พบว่าผู้มีรายได้สูงมีแนวโน้มลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาวมากกว่า โดยเฉพาะเมื่อได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี ทั้งนี้ปัจจัยด้านเพศและระดับการศึกษาไม่มีอิทธิพลอย่างมีนัยสำคัญ โดยกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง (ร้อยละ 53.25) ผลการทดสอบสมมติฐานพบว่า ไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญ ของการตัดสินใจลงทุนตามเพศ (p-value (Sig.) = 0.789 > 0.1) การไม่พบความแตกต่าง อาจสะท้อนว่าในบริบทของกองทุน ESG เพศไม่ใช่ปัจจัยหลักในการกำหนดพฤติกรรมการลงทุน ซึ่งไม่สอดคล้องกับสมมติฐาน ซึ่งขัดแย้งกับการศึกษาของ Kotler & Keller (2012) ที่เสนอว่าปัจจัยเพศอาจมีอิทธิพลต่อทัศนคติและพฤติกรรมผู้บริโภคในบางกรณี และระดับการศึกษา ส่วนใหญ่จบการศึกษาระดับปริญญาตรี (ร้อยละ 67.5) ผลการทดสอบพบว่า ระดับการศึกษาไม่มีผลต่อการตัดสินใจลงทุน (p-value (Sig.) = 0.366 > 0.1) อาจสะท้อนว่าการเข้าถึงข้อมูล ESG หรือความรู้เรื่องการลงทุนไม่ได้ขึ้นกับวุฒิการศึกษาโดยตรง แต่ขึ้นกับความสนใจส่วนบุคคลและการเรียนรู้ผ่านช่องทางอื่น ขัดแย้งกับงานวิจัยของ Sullivan & Mackenzie (2017) ที่เสนอว่าระดับการศึกษาสูงส่งผลต่อความเข้าใจในแนวคิด ESG และการประเมินความเสี่ยงที่ซับซ้อน 2.) ปัจจัยด้านการลงทุน ผลการวิจัยโดยการเก็บรวบรวมข้อมูลจากประชาชนทั่วไปที่มีรายได้ประจำในเขตกรุงเทพมหานครพบว่าปัจจัยด้านการลงทุนที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจลงทุนในกองทุนรวม Thai ESG อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ได้แก่ ปัจจัยด้านผลตอบแทน ปัจจัยด้านการรับรู้ข่าวสาร และปัจจัยด้านสิทธิประโยชน์ทางภาษี โดยปัจจัยด้านผลตอบแทน มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจลงทุนในกองทุนรวม ThaiESG ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ให้ความสำคัญในประเด็นที่เชื่อว่าการลงทุน ESG สร้างผลตอบแทนระยะยาวได้ดี คาดหวังให้ผลตอบแทนเหนือกว่าเงินฝาก และให้ความสำคัญกับผลตอบแทนก่อนตัดสินใจลงทุน ซึ่งสอดคล้องกับการศึกษาของ Friede, Busch, & Bassen (2015) ที่สรุปว่า ESG investment โดยรวมมีแนวโน้มให้ผลตอบแทนเป็นบวกเมื่อเทียบกับการลงทุนทั่วไป การตระหนักถึง "ผลตอบแทนทางการเงิน" ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญ แม้จะเป็นกองทุนที่เน้นคุณค่า ESG ก็ตาม ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของ Markowitz (1952) ที่เสนอว่า นักลงทุนมีแนวโน้มเลือกการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนคาดหวังสูงสุด ภายใต้ระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ นอกจากนี้ ยังสอดคล้องกับการศึกษาของ สุนทรี จึงประเสริฐกุล (2552) ที่ระบุว่าผลตอบแทนเป็นปัจจัยหลักในการเลือกกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) การศึกษาของ สุรเดช จองวรรณศิริ (2559) ศึกษาเรื่อง ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความตั้งใจลงทุนใน หลักทรัพย์ของนักลงทุนบุคคล พบว่า ระดับความสำคัญที่นักลงทุนให้กับแหล่งข้อมูลต่างๆ มีความสัมพันธ์โดยตรงกับความคาดหวังต่อผลตอบแทนจากการลงทุน และความตั้งใจที่จะลงทุนใน หลักทรัพย์นั้นๆ กล่าวคือ ยิ่งนักลงทุนให้ความสำคัญกับแหล่งข้อมูลมาก ก็ยิ่งคาดหวังผลตอบแทนที่ สูงขึ้น และมีความตั้งใจลงทุนมากขึ้นตามไปด้วย โดยแหล่งข้อมูลสำคัญที่นักลงทุนให้ความสนใจ ปัจจัยด้านการรับรู้ข่าวสารด้าน ESG มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจลงทุนในกองทุนรวม ThaiESG ของประชาชนในเขตกรุงเทพมหานคร ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ให้ความสำคัญในประเด็น ความตื่นตัวด้านสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะประเด็นการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ มีผลต่อทัศนคติในการลงทุนใน ESG Fund อย่างชัดเจน การรับรู้เกี่ยวกับประเด็น ESG จึงเป็นเครื่องมือสำคัญในการโน้มน้าวพฤติกรรมผู้ลงทุน งานวิจัยของ Krüger (2015) ชี้ให้เห็นว่าข้อมูลข่าวสาร ESG สามารถกระทบต่อราคาหุ้นได้ในระยะสั้นถึงกลาง เพราะนักลงทุนเริ่มให้ความสำคัญกับความเสี่ยงที่มาจากสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล การศึกษาของ Khemir et al. (2562) ได้กล่าวไว้ว่าปัจจัยด้านข้อมูลข่าวสาร ESG มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจลงทุน ของนักลงทุนซึ่งสอดคล้องกับการศึกษาวิจัยภายในประเทศไทยอย่างการศึกษาของ วิภาพร ตรีทิพยโชค และ ณักษ์ กุลิสร์ (2554) ก็พบว่าข้อมูลข่าวสารมีผลต่อการตัดสินใจของนักลงทุนเช่นเดียวกัน นอกจากนั้นยังสอดคล้องกับการศึกษาของ กรณิศ ช่วยชูวงษ์ (2566) ได้ศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจ ในการลงทุนในกองทุนรวม Thai ESG ของนักลงทุนทั้งหมด 11 ท่าน พบว่าปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจลงทุนในกองทุนรวม Thai ESG ของนักลงทุน คือ ปัจจัยด้านภาษี และปัจจัยด้านข้อมูลข่าวสาร ปัจจัยด้านสิทธิประโยชน์ทางภาษี มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจลงทุนในกองทุนรวม ThaiESG ของประชาชนในเขตกรุงเทพมหานคร ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ให้ความสำคัญในประเด็นที่มองว่าสิทธิประโยชน์ทางภาษีเป็นแรงจูงใจการลงทุนระยะยาว ซึ่งแรงจูงใจทางภาษีเป็นอีกหนึ่งปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญในการเลือกลงทุนในกองทุนรวม โดยเฉพาะในบริบทของ กองทุนรวม ESG ที่อาจยังใหม่และมีผลตอบแทนไม่แน่นอนในระยะสั้น สอดคล้องกับการศึกษาของ ณัฐกร เลาหสงคราม (2555) ซึ่งพบว่า เหตุผลสำคัญของการลงทุนใน LTF หรือ RMF ของนักลงทุนไทย คือ การใช้สิทธิลดหย่อนภาษี ทั้งนี้ สะท้อนให้เห็นว่าการออกแบบผลิตภัณฑ์การลงทุนที่มีแรงจูงใจทางภาษีที่ชัดเจน จะสามารถเพิ่มการมีส่วนร่วมของประชาชนในการลงทุนเพื่อความยั่งยืนได้มากขึ้น การศึกษาของ ณัฐกร เลาหสงคราม (2555) และสุนทรี จึงประเสริฐกุล (2552) ซึ่งพบว่าปัจจัยหลักในการลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาว คือ ความต้องการใช้สิทธิลดหย่อนภาษี นอกจากนั้นยังสอดคล้องกับการศึกษาของ กรณิศ ช่วยชูวงษ์ (2566) ได้ศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจ ในการลงทุนในกองทุนรวม Thai ESG ของนักลงทุนทั้งหมด 11 ท่าน พบว่าปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจลงทุนในกองทุนรวม Thai ESG ของนักลงทุน คือ ปัจจัยด้านภาษี และปัจจัยด้านข้อมูลข่าวสาร เพื่อยกระดับความเชื่อมั่นและจูงใจให้กับนักลงทุนทั้งรายเดิมและรายใหม่ ควรมีการดำเนินการในเชิงกลยุทธ์ ดังต่อไปนี้ 1.) ส่งเสริมการให้ข้อมูลด้าน ESG ที่เข้าใจง่าย ชัดเจน และน่าเชื่อถือ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรจัดให้มีการเผยแพร่ข้อมูลด้าน ESG อย่างเป็นระบบ โดยนำเสนอในรูปแบบที่เข้าถึงได้ง่าย เหมาะสมกับระดับความรู้ของผู้ลงทุนทั่วไป และมีความน่าเชื่อถือ เพื่อช่วยลดอุปสรรคในการทำความเข้าใจหลักการ ESG และสร้างความมั่นใจในการตัดสินใจลงทุน 2.) กำหนดนโยบายสนับสนุนหรือแรงจูงใจทางภาษีเพิ่มเติมสำหรับกองทุน ESG ภาครัฐควรพิจารณามาตรการทางภาษี เช่น การให้สิทธิหักลดหย่อนเพิ่มเติม หรือการเพิ่มวงเงินลงทุนในกองทุน ESG ที่สามารถใช้ลดหย่อนภาษีได้ ซึ่งจะช่วยสร้างแรงจูงใจเชิงบวกสำหรับนักลงทุนรายใหม่ และเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของกองทุน ESG เมื่อเทียบกับกองทุนรูปแบบอื่น 3.) เปิดเผยผลการดำเนินงานของกองทุน ESG อย่างโปร่งใส และสม่ำเสมอ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ควรนำเสนอข้อมูลด้านผลตอบแทนทางการเงินควบคู่กับผลกระทบเชิงบวกทางสิ่งแวดล้อมและสังคมของกองทุน ESG อย่างเป็นรูปธรรมและต่อเนื่อง เพื่อให้ผู้ลงทุนเห็นถึง “คุณค่าในระยะยาว” ทั้งในด้านผลตอบแทนและผลกระทบที่กองทุนมีต่อความยั่งยืนItem การประยุกต์ใช้กลยุทธ์การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของ IMO 2023 กับเรือขนาดใหญ่ประเภท Post Panamax ในอุตสาหกรรมขนส่งตู้คอนเทนเนอร์ของประเทศไทยจันจิรา แกล้วกล้า; จำลอง โพธิ์บุญ; วิสาขา ภู่จินดา (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2024)งานวิจัยฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษากลยุทธ์การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของ IMO 2023 ที่มีผลต่อการเดินเรือขนาดใหญ่ประเภท Post Panamax เพื่อศึกษาการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของขั้นตอนการดำเนินงานของการเดินเรือขนาดใหญ่ประเภท Post Panamax ในอุตสาหกรรมขนส่งตู้คอนเทนเนอร์ของประเทศไทยและเพื่อศึกษาและวิเคราะห์แนวทางการประยุกต์ใช้กลยุทธ์การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของ IMO 2023 กับเรือขนาดใหญ่ประเภท Post Panamax ในอุตสาหกรรมขนส่งตู้คอนเทนเนอร์ของประเทศไทย การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยใช้วิธีการวิเคราะห์เอกสารเกี่ยวกับกลยุทธ์ IMO และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากอุตสาหกรรมเดินเรือ โดยพิจารณาจากกิจกรรมหลัก 8 ขั้นตอน ตั้งแต่กระบวนการผลิตเชื้อพลิง (ต้นน้ำ) ไปจนถึงการจัดการตู้คอนเทนเนอร์เมื่อหมดอายุการใช้งาน (ปลายน้ำ) และทำการสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้องจำนวน 8 ท่าน อาทิ กรมเจ้าท่า การท่าเรือแห่งประเทศไทยและบริษัทเดินเรือในประเทศไทย ทำการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหา Content Analysis และพรรณนาความจากผลสัมภาษณ์ โดยสรุปประเด็นตามวัตถุประสงค์การศึกษาและกรอบแนวคิด เพื่อให้ได้ข้อมูลเกี่ยวกับแนวทางการดำเนินกลยุทธ์ ความพร้อมของประเทศไทย และอุปสรรคเชิงระบบที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบการเดินเรือที่ปล่อยคาร์บอนต่ำอย่างยั่งยืน ผลการศึกษาพบว่า กลยุทธ์ด้านการปฏิบัติการ (Operational Measures) เช่น การลดความเร็วเรือ (Slow Steaming) เป็นแนวทางที่มีความเป็นไปได้สูงที่สุดในระยะสั้น เนื่องจากมีต้นทุนการดำเนินการต่ำและสามารถนำไปใช้ได้ทันที ในขณะที่กลยุทธ์ด้านเทคนิค (Technical Measures) และ การติดตั้งอุปกรณ์ประหยัดพลังงาน มีความเป็นไปได้ในระดับปานกลาง โดยขึ้นอยู่กับอายุของเรือและศักยภาพในการดัดแปลง ส่วนกลยุทธ์ด้านเชื้อเพลิงทางเลือก (Alternative Fuels) เช่น LNG เมทานอล และแอมโมเนีย ยังมีความเป็นไปได้ต่ำในบริบทของประเทศไทย เนื่องจากเผชิญข้อจำกัดด้านต้นทุนการลงทุนที่สูง โครงสร้างพื้นฐานท่าเรือที่ยังไม่พร้อม และความไม่แน่นอนของมาตรฐานระดับสากล ทั้งนี้ การประยุกต์ใช้เครื่องมือวัดผลประสิทธิภาพ เช่น ดัชนีประสิทธิภาพพลังงานของเรือ (EEXI) และตัวชี้วัดความเข้มข้นของคาร์บอน (CII) ยังคงเป็นกลไกสำคัญในการกำกับดูแลและขับเคลื่อนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของเรือขนาดใหญ่ในระยะสั้นและระยะกลาง ส่วนข้อเสนอแนะเชิงนโยบายที่สำคัญ คือ ภาครัฐควรมีบทบาทเชิงรุกในการแก้ไขข้อจำกัดเชิงโครงสร้างที่เป็นอุปสรรคต่อการเปลี่ยนผ่านสู่การเดินเรือที่ปล่อยคาร์บอนต่ำ โดยเสนอให้กรมเจ้าท่าจัดทำ “แผนแม่บทแห่งชาติว่าด้วยการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากภาคการเดินเรือ” ให้การท่าเรือแห่งประเทศไทยเร่งรัด “โครงการนำร่องด้านโครงสร้างพื้นฐานสีเขียว” เพื่อรองรับเชื้อเพลิงสะอาด และให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) กำหนดมาตรการจูงใจทางการเงินที่ชัดเจน เพื่อสนับสนุนการลงทุนจากภาคเอกชน ทั้งหมดนี้เพื่อรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมเดินเรือไทยภายใต้บริบทของการเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืน