กฎหมายเพื่อการบริหารและพัฒนาการท่องเที่ยว: ศึกษากรณีการกำหนดเขตพัฒนาการท่องเที่ยว
Publisher
Issued Date
2018
Issued Date (B.E.)
2561
Available Date
Copyright Date
Resource Type
Series
Edition
Language
tha
File Type
application/pdf
No. of Pages/File Size
319 แผ่น
ISBN
ISSN
eISSN
Other identifier(s)
b203241
Identifier(s)
Access Rights
Access Status
Rights
ผลงานนี้เผยแพร่ภายใต้ สัญญาอนุญาตครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 4.0 (CC BY-NC-ND 4.0)
Rights Holder(s)
Physical Location
สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์. สำนักบรรณสารการพัฒนา
Bibliographic Citation
Citation
ชัยศิลป์ อุตส่าห์ (2018). กฎหมายเพื่อการบริหารและพัฒนาการท่องเที่ยว: ศึกษากรณีการกำหนดเขตพัฒนาการท่องเที่ยว. Retrieved from: https://repository.nida.ac.th/handle/662723737/6292.
Title
กฎหมายเพื่อการบริหารและพัฒนาการท่องเที่ยว: ศึกษากรณีการกำหนดเขตพัฒนาการท่องเที่ยว
Alternative Title(s)
Legal measures in tourism management and development : a case study on establishing a tourism zone
Author(s)
Advisor(s)
Editor(s)
item.page.dc.contrubutor.advisor
Advisor's email
Contributor(s)
Contributor(s)
Abstract
การกำหนดเขตพัฒนาการท่องเที่ยว นับเป็นเรื่องใหม่ในการบริหารและพัฒนาการท่องเที่ยว
เพื่อให้การท่องเที่ยวพัฒนาไปสู่ความยั่งยืนในประเทศไทย โดยการก าหนดขอบเขตพื้นที่ กำหนด
แผนพัฒนาและแผนปฏิบัติการ กำหนดหน่วยงานหรือองค์กรในการบริหารจัดการ การจัดเก็บรายได้
ตลอดจนการส่งเสริมและอ านวยความสะดวกต่อการเดินทางท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวและการ
ดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการ ซึ่งการบริหารจัดการการท่องเที่ยวโดยการการกำหนดเขตพัฒนาการ
ท่องเที่ยวนี้เป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่จะเพิ่มผลิตภัณฑ์ทางการท่องเที่ยวใหม่เข้าสู่ตลาดปัจจุบัน การบริหาร
จัดการและกำกับดูแลการท่องเที่ยว ทั้งนักท่องเที่ยว ผู้ประกอบการ กระทำโดยหน่วยงานของรัฐคือ
กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาผ่านกฎหมายระดับพระราชบัญญัติ กฎกระทรวง และแผนพัฒนาการ
ท่องเที่ยวฉบับต่าง ๆ ส่วนการก ากับดูแลแหล่งท่องเที่ยว กฎหมายให้อำนาจกระทรวงเจ้าของแหล่ง
ทรัพยากรธรรมชาติแต่ละแห่งเป็นหลักในการบริหารจัดการ จึงกล่าวได้ว่าการบริหารจัดการการ
ท่องเที่ยวแทบทั้งหมดกระทำผ่านกลไกบริหารจัดการโดยหน่วยงานของรัฐ ประชาชนหรือชุมชนใน
แหล่งท่องเที่ยวส่วนใหญ่มีส่วนร่วมแค่เสนอความคิดเห็น และรับฟังความคิดเห็นเท่านั้น ไม่ได้มีส่วน
ร่วมในโครงสร้างการบริหารลักษณะอื่นตามกฎหมาย
การกำหนดเขตพัฒนาการท่องเที่ยวจะช่วยให้กำหนดแผนพัฒนาการท่องเที่ยวและ แผนปฏิบัติการท่องเที่ยวเป็นไปอย่างชัดเจน หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องก็สามารถกำหนดแนว ทางการให้การสนับสนุนการท่องเที่ยวได้อย่างรวดเร็วและตรงตามความต้องการของแหล่งท่องเที่ยว ส่งผลให้การบริหารการท่องเที่ยวเป็นการบริหารแบบบูรณาการอย่างแท้จริงและสอดคล้องกับ แผนพัฒนาการท่องเที่ยวแห่งชาติ
จากการศึกษาพบว่า การกำหนดเขตพัฒนาการท่องเที่ยวของประเทศไทยในปัจจุบัน เป็นการ กำหนดโดยภูมิศาสตร์หรือที่ตั้งของแหล่งท่องเที่ยวเป็นหลัก แม้จะมีการกำหนดเขตพัฒนาการ ท่องเที่ยวโดยการใช้หลักแหล่งวัฒนธรรมหรือทรัพยากรเป็นหลักในการก าหนดแต่ก็เป็นการกำหนด หรือแบ่งเขตพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างกว้าง ๆ ไม่สะท้อนหรือครอบคลุมทุกมิติ ส่วนการบริหาร จัดการเป็นการบริหารโดยคณะกรรมการประจำอาศัยเขต ซึ่งประธานและกรรมการส่วนใหญ่เป็น ข้าราชการประจำมีภารกิจหลักที่ไม่ใช่การท่องเที่ยว การมอบหมายหรือเพิ่มภารกิจให้ข้าราชการ ประจำรับหน้าที่บริหารจัดการการท่องเที่ยวซึ่งเป็นรายได้หลักที่สำคัญของประเทศ คาดว่าจะเป็น
ภาระหนักเกินไปและยากจะสัมฤทธิผลแม้การบริหารและพัฒนาเขตการท่องเที่ยวจะเป็นส่วนหนึ่งของ การท่องเที่ยวโดยรวมของประเทศก็ตาม ขณะที่ภาคประชาชน รวมทั้งผู้ประกอบกิจการเกี่ยวกับการ ท่องเที่ยวในเขตพัฒนาการท่องเที่ยวขาดการมีส่วนร่วมอย่างเป็นรูปธรรมในการบริหารและพัฒนาเขต การท่องเที่ยว นอกจากนี้ รายได้หลักของการบริหารและพัฒนาเขตการท่องเที่ยวเป็นการสนับสนุน โดยใช้งบประมาณแผ่นดินเป็นหลัก ไม่มีแนวทางในการสร้างรายได้จากช่องทางอื่น อีกทั้งยังไม่มีการ กำหนดมาตรการจูงใจหรือข้อได้เปรียบในการเดินทางมาท่องเที่ยวหรือการมาประกอบกิจการของนัก ธุรกิจในเขตพัฒนาการท่องเที่ยว ดังนั้นการเดินทางมาท่องเที่ยวหรือการประกอบกิจการในเขต พัฒนาการท่องเที่ยวก็ไม่มีความแตกต่างจากการเดินทางท่องเที่ยวหรือประกอบกิจการนอกเขต พัฒนาการท่องเที่ยว
จึงเห็นควรให้แก้ไขพระราชบัญญัตินโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติ พ.ศ.2551 โดยการเพิ่ม สิทธิและหน้าที่ตามกฎหมายโดยการให้ชุมชนและผู้ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับการท่องเที่ยวในเขต พัฒนาการท่องเที่ยวมีส่วนร่วมเป็นหนึ่งในคณะกรรมการบริหารและพัฒนาเขตการท่องเที่ยว มีสิทธิใน ฐานะกรรมการมีส่วนร่วมขั้นตอนการวางแผนพัฒนาการท่องเที่ยว การกำหนดแผนปฏิบัติการ ท่องเที่ยว การติดตามและประเมินผล ทั้งนี้เพื่อให้รูปแบบของการบริหารเขตพัฒนาการท่องเที่ยวที่ทุก ฝ่ายมีส่วนร่วม เป็นการอำนวยประโยชน์ให้ทั้งนักท่องเที่ยว ผู้ประกอบการ โดยที่หน่วยงานของรัฐที่มี หน้าที่กำกับดูแล ก็สามารถตรวจสอบ ส่งเสริม หรือสนับสนุนด้านต่าง ๆ ได้อย่างเหมาะสม จึงจะ ประกันได้ว่าจะสามารถแก้ไขปัญหาหรือส่งเสริมการท่องเที่ยว รวมทั้งสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับการ ท่องเที่ยวของประเทศให้เป็นการท่องเที่ยวที่ยั่งยืนได้อย่างแท้จริง
การกำหนดเขตพัฒนาการท่องเที่ยวจะช่วยให้กำหนดแผนพัฒนาการท่องเที่ยวและ แผนปฏิบัติการท่องเที่ยวเป็นไปอย่างชัดเจน หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องก็สามารถกำหนดแนว ทางการให้การสนับสนุนการท่องเที่ยวได้อย่างรวดเร็วและตรงตามความต้องการของแหล่งท่องเที่ยว ส่งผลให้การบริหารการท่องเที่ยวเป็นการบริหารแบบบูรณาการอย่างแท้จริงและสอดคล้องกับ แผนพัฒนาการท่องเที่ยวแห่งชาติ
จากการศึกษาพบว่า การกำหนดเขตพัฒนาการท่องเที่ยวของประเทศไทยในปัจจุบัน เป็นการ กำหนดโดยภูมิศาสตร์หรือที่ตั้งของแหล่งท่องเที่ยวเป็นหลัก แม้จะมีการกำหนดเขตพัฒนาการ ท่องเที่ยวโดยการใช้หลักแหล่งวัฒนธรรมหรือทรัพยากรเป็นหลักในการก าหนดแต่ก็เป็นการกำหนด หรือแบ่งเขตพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างกว้าง ๆ ไม่สะท้อนหรือครอบคลุมทุกมิติ ส่วนการบริหาร จัดการเป็นการบริหารโดยคณะกรรมการประจำอาศัยเขต ซึ่งประธานและกรรมการส่วนใหญ่เป็น ข้าราชการประจำมีภารกิจหลักที่ไม่ใช่การท่องเที่ยว การมอบหมายหรือเพิ่มภารกิจให้ข้าราชการ ประจำรับหน้าที่บริหารจัดการการท่องเที่ยวซึ่งเป็นรายได้หลักที่สำคัญของประเทศ คาดว่าจะเป็น
ภาระหนักเกินไปและยากจะสัมฤทธิผลแม้การบริหารและพัฒนาเขตการท่องเที่ยวจะเป็นส่วนหนึ่งของ การท่องเที่ยวโดยรวมของประเทศก็ตาม ขณะที่ภาคประชาชน รวมทั้งผู้ประกอบกิจการเกี่ยวกับการ ท่องเที่ยวในเขตพัฒนาการท่องเที่ยวขาดการมีส่วนร่วมอย่างเป็นรูปธรรมในการบริหารและพัฒนาเขต การท่องเที่ยว นอกจากนี้ รายได้หลักของการบริหารและพัฒนาเขตการท่องเที่ยวเป็นการสนับสนุน โดยใช้งบประมาณแผ่นดินเป็นหลัก ไม่มีแนวทางในการสร้างรายได้จากช่องทางอื่น อีกทั้งยังไม่มีการ กำหนดมาตรการจูงใจหรือข้อได้เปรียบในการเดินทางมาท่องเที่ยวหรือการมาประกอบกิจการของนัก ธุรกิจในเขตพัฒนาการท่องเที่ยว ดังนั้นการเดินทางมาท่องเที่ยวหรือการประกอบกิจการในเขต พัฒนาการท่องเที่ยวก็ไม่มีความแตกต่างจากการเดินทางท่องเที่ยวหรือประกอบกิจการนอกเขต พัฒนาการท่องเที่ยว
จึงเห็นควรให้แก้ไขพระราชบัญญัตินโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติ พ.ศ.2551 โดยการเพิ่ม สิทธิและหน้าที่ตามกฎหมายโดยการให้ชุมชนและผู้ประกอบธุรกิจเกี่ยวกับการท่องเที่ยวในเขต พัฒนาการท่องเที่ยวมีส่วนร่วมเป็นหนึ่งในคณะกรรมการบริหารและพัฒนาเขตการท่องเที่ยว มีสิทธิใน ฐานะกรรมการมีส่วนร่วมขั้นตอนการวางแผนพัฒนาการท่องเที่ยว การกำหนดแผนปฏิบัติการ ท่องเที่ยว การติดตามและประเมินผล ทั้งนี้เพื่อให้รูปแบบของการบริหารเขตพัฒนาการท่องเที่ยวที่ทุก ฝ่ายมีส่วนร่วม เป็นการอำนวยประโยชน์ให้ทั้งนักท่องเที่ยว ผู้ประกอบการ โดยที่หน่วยงานของรัฐที่มี หน้าที่กำกับดูแล ก็สามารถตรวจสอบ ส่งเสริม หรือสนับสนุนด้านต่าง ๆ ได้อย่างเหมาะสม จึงจะ ประกันได้ว่าจะสามารถแก้ไขปัญหาหรือส่งเสริมการท่องเที่ยว รวมทั้งสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับการ ท่องเที่ยวของประเทศให้เป็นการท่องเที่ยวที่ยั่งยืนได้อย่างแท้จริง