GSL: Dissertations
Permanent URI for this collectionhttps://repository.nida.ac.th/handle/662723737/43
Browse
Recent Submissions
Item มาตรการทางกฎหมายในการกำกับดูแลการเปิดเผยข้อมูลและรายงานด้านความยั่งยืนของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์กิ่งฟ้า ม่วงศิริ; ประพิน นุชเปี่ยม; ณรัณ โพธิ์พัฒนชัย (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2024)ปัจจุบันขณะที่ความเจริญทางด้านเทคโนโลยีต่าง ๆ มีการพัฒนาก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว แต่ประชาคมโลกก็ต้องเผชิญกับปัญหาความเสื่อมโทรมของสภาพแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ ปัญหาด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งเกิดจากการกระทำของมนุษย์โดยเฉพาะองค์กรภาคธุรกิจขนาดใหญ่ แนวคิดการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนซึ่งเป็นการดำเนินธุรกิจโดยมีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม สังคมและมีหลักธรรมาภิบาลที่ดี (Environment, Social and Governance : ESG) จึงเกิดขึ้น ทำให้การเปิดเผยข้อมูลด้านความยั่งยืนของบริษัทจดทะเบียนกลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยสร้างความรับผิดชอบด้านความยั่งยืนของบริษัท สร้างความโปร่งใสในการดำเนินงาน สื่อสารให้ผู้มีส่วนได้เสียได้รับรู้ถึงเจตนารมณ์ในการประกอบธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบของบริษัท และบริษัทก็สามารถนำข้อมูลเหล่านั้นไปใช้ในการวางกลยุทธ์ การบริหารจัดการความเสี่ยงด้าน ESG เช่นกัน วิทยานิพนธ์ฉบับนี้มุ่งศึกษาถึงมาตรการกำกับดูแลการเปิดเผยข้อมูลและรายงานด้านความยั่งยืนของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในประเด็นปัญหาเกี่ยวกับรูปแบบการกำกับดูแล ประเภทของข้อมูลที่ควรเปิดเผย และองค์กรภายใต้การกำกับดูแล โดยมีการเริ่มศึกษาจากสภาพปัญหา แนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง มาตรการทางกฎหมายต่างประเทศ มาตรการทางกฎหมายของประเทศไทย การสัมภาษณ์เชิงลึกและศึกษาเชิงปริมาณ การวิเคราะห์ประเด็นปัญหา และบทสรุปพร้อมข้อเสนอแนะ โดยการศึกษาได้ใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ ได้แก่ การศึกษาเอกสาร กฎหมายต่างประเทศ การสัมภาษณ์เชิงลึก และระเบียบวิธีวิจัยเชิงปริมาณ ได้แก่ การหาความสัมพันธ์ระหว่างระดับการเปิดเผยข้อมูลด้านความยั่งยืนและอัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น แต่อย่างไรก็ตามจะใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพเป็นหลักและนำผลสรุปข้อมูลเชิงปริมาณมาใช้เป็นข้อมูลสนับสนุนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ในการวิเคราะห์ปัญหาเกี่ยวกับมาตรการกำกับดูแลที่เหมาะสมว่าควรจะเป็นภาคบังคับที่เข้มงวดมากขึ้นหรือไม่ จึงจะเหมาะสมกับบริบทของประเทศไทยซึ่งปัจจุบันนี้ประเทศไทยมีคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยกำกับดูแลการเปิดเผยข้อมูลด้านความยั่งยืนตามประกาศที่ ทจ.55/2563 ได้มีการกำหนดให้บริษัทจดทะเบียนยื่นแบบรายงานงบการเงินและรายงานด้านความยั่งยืนรวมเป็นฉบับเดียวกันตามแบบ 56-1 One Report แต่ในหัวข้อที่ 3 การขับเคลื่อนด้านความยั่งยืน ยังมีลักษณะไม่เข้มงวด ถ้าไม่ปฏิบัติตามให้มีการแสดงเหตุผลอธิบายเพิ่มเติม (Comply or Explain Basis) ไม่มีบทกำหนดการลงโทษ ผู้เขียนมีความเห็นว่าการบังคับใช้กฎหมายในลักษณะแบบ Soft Law ไม่ช่วยในการแก้ไขปัญหาผลกระทบทางด้านสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเท่าที่ควร ถ้าเปลี่ยนให้มีรูปแบบภาคบังคับมากขึ้นจะเหมาะสมกว่า จากการศึกษาพบว่าการมีมาตรการทางกฎหมายในการกำกับดูแลการเปิดเผยข้อมูลด้านความยั่งยืนที่เข้มงวดขึ้นจะช่วยลดช่องว่างเกี่ยวกับสมมติฐานตลาดที่มีประสิทธิภาพ (Efficient Market Hypothesis) ที่แสดงให้เห็นถึงการที่ข้อมูลข่าวสารสะท้อนถึงความมีประสิทธิภาพของตลาด และปัญหาความอสมมาตรของข้อมูล (Asymmetric Information) จากการที่คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายได้รับข้อมูลไม่เท่าเทียมกัน นอกจากนี้ได้ศึกษาถึงกฎหมายระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องพบว่า เนื่องจากสถานการณ์ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ทวีความรุนแรงไปทั่วโลก ภายหลังการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วย การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 21 (COP21) จึงได้มีการเจรจาความตกลงปารีส (Paris Agreement) เกิดขึ้น มีเป้าหมายสำคัญในการรักษาการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกให้ต่ำกว่า 2 องศาเซลเซียส ซึ่งประเทศไทยได้ร่วมเป็นรัฐภาคีด้วย นอกจากนี้ยังมีหลักการและข้อเสนอแนะขององค์กรคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์นานาชาติ (International Organization of Securities Commissions: IOSCO) ที่เกี่ยวข้องกับกลไกการจัดอันดับด้าน ESG และการให้บริการข้อมูลด้าน ESG ซึ่งคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาตหลักทรัพย์ไทยก็เป็นสมาชิกในองค์กรนี้เช่นกัน สำหรับการศึกษากฎหมายต่างประเทศพบว่าปัจจุบันหลายประเทศเริ่มมีการออกมาตรการทางกฎหมายบังคับให้บริษัทมีการจัดทำรายงานการเปิดเผยข้อมูลด้านความยั่งยืนในลักษณะภาคบังคับมากขึ้นเช่นในสหภาพยุโรปที่มีการออกกฎหมายการจัดทำรายงานด้านความยั่งยืนของบริษัท (Corporate Sustainability Reporting Directive: CSRD) ทำให้ส่งผลกระทบต่อบริษัทที่ประกอบธุรกิจข้ามชาติ หรือบริษัทที่เป็นบริษัทในห่วงโซ่อุปทานของบริษัทในสหภาพยุโรป ที่อยู่ในหลักเกณฑ์ตามกฎหมายต้องเปิดเผยข้อมูลด้านความยั่งยืน สหรัฐก็มีการออกมาตรการกำกับดูแลการเปิดเผยข้อมูลด้านความยั่งยืนในภาคบังคับโดยคณะกรรมการกำกับดูแลตลาดหลักทรัพย์แห่งสหรัฐได้ออก SEC Climate-Related Disclosure Rules ที่บังคับให้บริษัทที่มีส่วนในการสร้างผลกระทบเชิงลบต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต้องเปิดเผยข้อมูลก๊าซเรือนกระจก เช่นเดียวกับในประเทศสิงคโปร์ที่มีการออกมาตรการบังคับเพิ่มเติมคือให้บริษัทจดทะเบียนทั้งหมดต้องทำรายงานเกี่ยวกับผลกระทบด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศยื่นเพิ่มเติม จะเห็นว่าหลายประเทศมีการแก้ไขมาตรการทางกฎหมายในการกำกับดูแลการเปิดเผยข้อมูลด้านความยั่งยืนจากภาคสมัครใจเป็นแบบภาคบังคับ ในขณะที่ประเทศไทยมีมาตรการกำกับดูแลการเปิดเผยข้อมูลด้านความยั่งยืนตามแบบ 56-1 One Report ที่มีรูปแบบไม่เข้มงวด ไม่มีบทลงโทษที่ชัดเจน จึงควรจะเปลี่ยนรูปแบบเป็นภาคบังคับให้มากขึ้น และต้องพิจารณาถึงการเปิดเผยข้อมูลว่าควรจะบังคับให้เปิดเผยข้อมูลประเภทใด ตลอดจนควรกำหนดให้องค์กรใดอยู่ภายใต้การกำกับดูแลตามมาตรการบังคับนั้นจึงจะเหมาะสมกับบริบทของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ผู้วิจัยจึงได้เสนอให้มีมาตรการทางกฎหมายกำกับดูแลการเปิดเผยข้อมูลและรายงานด้านความยั่งยืนในภาคบังคับมากขึ้น โดยมีมาตรการบังคับในการเปิดเผยข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อมและมาตรการบังคับนี้ควรใช้กับบริษัทในกลุ่มดัชนี SET100 ก่อน เพื่อไม่เป็นการส่งผลกระทบต่อการเจริญเติบโตของบริษัทจดทะเบียนขนาดเล็กมากนัก เพราะในช่วงเปลี่ยนผ่านสู่การลงทุนด้านความยั่งยืนจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นเกี่ยวกับการเปลี่ยนเครื่องจักรหรือเชื้อเพลิงในระบบการผลิต โดยผู้วิจัยได้เสนอให้มีการร่างประกาศฉบับใหม่เพื่อให้บริษัทจดทะเบียนในกลุ่มดัชนี SET100 ต้องยื่นรายงานเกี่ยวกับผลกระทบด้านสภาพภูมิอากาศเพิ่มเติมในภาคบังคับเช่นเดียวกับประเทศสิงคโปร์ โดยจัดทำรายงานตามมาตรฐานสากล เพื่อสร้างมาตรฐานการจัดทำรายงานด้านความยั่งยืนให้สอดคล้องกับหลักสากล เป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุน และสร้างภาพลักษณ์ที่ดีแก่ตลาดทุน ส่งเสริมการพัฒนาประเทศสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนต่อไปItem การบังคับชำระหนี้ด้วยสิทธิบัตรและเครื่องหมายการค้าในคดีล้มละลายกฤษฎา อภินวถาวรกุล; ประพิน นุชเปี่ยม; วริยา ล้ำเลิศ (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2024)ดุษฎีนิพนธ์ฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการบังคับชำระหนี้ด้วยสิทธิบัตรและเครื่องหมายการค้าในคดีล้มละลายของประเทศไทยและต่างประเทศ ตลอดจนแนวคิด ทฤษฎีและหลักการที่เกี่ยวข้อง เพื่อใช้วิเคราะห์แนวทางการบังคับชำระหนี้ด้วยสิทธิบัตรและเครื่องหมายการค้าในคดีล้มละลายที่สอดคล้องกับกฎหมายล้มละลายและบริบทต่าง ๆ ของประเทศไทย วิธีการศึกษาในครั้งนี้เป็นวิธีการศึกษาวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Study) โดยแบ่งการศึกษาออกเป็น 2 รูปแบบ กล่าวคือ 1) ค้นคว้ารวบรวมจากข้อมูลที่เกี่ยวข้องจากเอกสารวิชาการ (Documentary Analysis) 2) สัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth Interview) ผู้เชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้อง 7 กลุ่ม จำนวนกลุ่มละ 2 คน ผลการศึกษาพบว่า ประเด็นแรก ปัญหาเรื่องความรู้ ความเชี่ยวชาญของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ในการจัดการสิทธิบัตรและเครื่องหมายการค้า พบว่าแม้พระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช 2483 มาตรา 139 จะไม่ปิดโอกาสให้มีการแต่งตั้งภาคเอกชนเข้ามาเป็นเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ เช่นเดียวกับกฎหมายล้มละลายของสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักรและประเทศญี่ปุ่นก็ตาม แต่ด้วยบริบทของประเทศไทยที่ยังขาดความเชื่อมั่นภาคเอกชนประกอบกับยังไม่มีองค์กรวิชาชีพที่ทำหน้าที่ในการกำกับดูแล จึงเห็นควรแก้ปัญหาดังกล่าวโดยแบ่งออกเป็นสองระยะดังนี้ ระยะสั้น เสนอให้มีการแต่งตั้งผู้ช่วยเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์โดยอาศัยบทบัญญัติมาตรา 6 ประกอบกับมาตรา 139 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 เปิดโอกาสให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์สามารถมอบหมายบุคคลอื่นให้ปฏิบัติหน้าที่ในการจัดการกิจการและทรัพย์สินของลูกหนี้ในคดีล้มละลายได้ แต่การแต่งตั้งผู้ช่วยเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์นั้นควรจำกัดไว้เฉพาะการจัดการกิจการหรือทรัพย์สินของลูกหนี้ที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มอบหมายเป็นรายกรณี ๆ ไปเท่านั้น รวมถึงการกำหนดคุณสมบัติของภาคเอกชนที่เข้ามาเป็นผู้ช่วยเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ในการจัดการสิทธิบัตรและเครื่องหมายการค้าในคดีล้มละลาย ระยะยาว ควรมีการจัดตั้งองค์กรที่หน้าที่กำหนดมาตรฐานและควบคุมภาคเอกชนที่มีความประสงค์จะเข้ามาทำหน้าที่เป็นเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ภาคเอกชนเช่นเดียวกับ Insolvency Practitioner ของสหราชอาณาจักร ประเด็นที่สอง ปัญหาเรื่องการประเมินมูลค่าสิทธิบัตรและเครื่องหมายการค้า พบว่ากฎหมายล้มละลายของทั้งสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักรและประเทศญี่ปุ่น ได้แต่งตั้งภาคเอกชนที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ เพื่อทำให้หน้าที่ในการจัดการซึ่งรวมถึงการประเมินมูลค่าและจำหน่ายสิทธิบัตรและเครื่องหมายการค้า แต่ในส่วนของประเทศไทยนั้นยังขาดบุคคลผู้มีความรู้ ความเชี่ยวชาญดังกล่าว จึงเห็นควรจัดลำดับวิธีการประเมินมูลค่าแบบพื้นฐานที่เหมาะสมสำหรับสิทธิบัตรและเครื่องหมายการค้าเพื่อให้สะดวกและง่ายต่อการประเมินมูลค่า ประเด็นที่สามคือ ปัญหาเรื่องการขายสิทธิบัตรและเครื่องหมายการค้า พบว่าแม้พระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช 2483 มาตรา 123 จะเปิดโอกาสให้สามารถขายทรัพย์สินของลูกหนี้ในคดีล้มละลายด้วยวิธีการอื่นนอกเหนือจากการขายทอดตลาดก็ตาม แต่ไม่มีบทบัญญัติ ระเบียบหรือกฎกระทรวงใดกำหนดการขายด้วยวิธีการอื่นไว้ชัดแจ้ง ทำให้ในทางปฏิบัติการขายสิทธิบัตรและเครื่องหมายการค้ามักใช้วิธีการขายทอดตลาดหรือขายในที่ประชุมเจ้าหนี้ อันแตกต่างกับสหรัฐอเมริกาและประเทศญี่ปุ่นได้นำวิธีการรูปแบบอื่นนอกเหนือจากการขายทอดตลาดรูปแบบปกติ ซึ่งเรียกว่า “Stalking Horse Bids” มาใช้กับการขายสิทธิบัตรและเครื่องหมายการค้าในคดีล้มละลาย โดยวิธีการดังกล่าวมีลักษณะผสมผสานระหว่างการขายโดยเฉพาะเจาะจงกับการขายทอดตลาดแบบปกติทำให้มีความเหมาะสมกับการขายสิทธิบัตรและเครื่องหมายการค้าซึ่งเป็นทรัพย์สินอันมีลักษณะพิเศษกล่าวคือจะมีมูลค่าสูงเป็นพิเศษก็ต่อเมื่ออยู่ในแวดวงธุรกิจและอุตสาหกรรมเดียวกัน จึงเห็นควรให้ประยุกต์วิธีการขายทอดตลาดแบบ “Stalking Horse Bids” ให้สอดคล้องกับบริบทของประเทศไทย ดังนั้นเพื่อให้การบังคับชำระหนี้ด้วยสิทธิบัตรและเครื่องหมายการค้าในคดีล้มละลายมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุด ผู้เขียนจึงมีข้อเสนอแนะดังต่อไปนี้ 1) แก้ไขเพิ่มเติมระเบียบกระทรวงยุติธรรมว่าด้วยการบังคับคดีล้มละลายและการชำระบัญชี พุทธศักราช 2520 ในเรื่องของการแต่งตั้งผู้ช่วยเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ อำนาจและหน้าที่ การกำหนดค่าบำเหน็จ การกำกับและดูแล การวางเงินประกัน รวมถึงคุณสมบัติเบื้องต้นของผู้ช่วยเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ และกำหนดวิธีการขายด้วยวิธีการพิเศษไว้โดยชัดแจ้ง 2) ปรับปรุงคู่มือการประเมินมูลค่า กรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ ด้วยการเพิ่มเรื่องแนวทางการประเมินมูลค่าสิทธิบัตรและเครื่องหมายการค้าโดยจัดลำดับวิธีการประเมินมูลค่าแบบพื้นฐานตามความเหมาะสมของสิทธิบัตรและเครื่องหมายการค้า 3) พัฒนาระบบและกลไกสำหรับการกำกับ ดูแลและควบคุมมาตรฐานของภาคเอกชนในการเข้ามามีส่วนร่วมเป็นคนกลางสำหรับการจัดการกิจการและทรัพย์สินของลูกหนี้ในคดีล้มละลาย 4) ส่งเสริมให้เจ้าพนักงานเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ ในการจัดการกิจการและทรัพย์สิน 5) พัฒนาระบบสารสนเทศที่มีความเชื่อมโยงระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐ เพื่อให้การบังคับชำระหนี้ด้วยสิทธิบัตรและเครื่องหมายการค้าในคดีล้มละลายมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นItem การใช้เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นกับการคุ้มครองสิทธิส่วนบุคคลกรณีการกลั่นแกล้งทางไซเบอร์ณัฐวรรณ อารัมภ์วิโรจน์; บรรเจิด สิงคะเนติ (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2024)ดุษฎีนิพนธ์นี้มุ่งศึกษาถึงปัญหาการกลั่นแกล้งทางไซเบอร์ที่เกิดขึ้นในสังคมปัจจุบันว่ากฎหมายที่ใช้บังคับเป็นอุปสรรค หรือมีข้อจำกัดในการคุ้มครองผู้ถูกกลั่นแกล้งทางไซเบอร์และการลงโทษผู้กระทำความผิดกลั่นแกล้งทางไซเบอร์อย่างไร อีกทั้งควรมีกฎหมายให้ความคุ้มครองผู้ถูกกลั่นแกล้งทางไซเบอร์โดยเฉพาะหรือไม่ โดยวิเคราะห์เปรียบเทียบแนวคิดในการคุ้มครองผู้ถูกกลั่นแกล้งทางไซเบอร์และการลงโทษผู้กระทำความผิดกลั่นแกล้งทางไซเบอร์กับกฎหมายของต่างประเทศ เพื่อกำหนดขอบเขต คำนิยาม มาตรการที่เหมาะสมในการเยียวยาและลงโทษในกรณีที่มีการกลั่นแกล้งทางไซเบอร์เกิดขึ้นกับปัจเจกบุคคลที่มีสถานะแตกต่างกัน ผลการศึกษาพบว่า เมื่อปัจเจกบุคคลมีสิทธิและเสรีภาพในยุคสมัยที่เทคโนโลยีมีการเอื้ออำนวยให้ปัจเจกบุคคลสามารถสื่อสารถึงกันได้ง่ายสะดวกและรวดเร็ว อาจมีการใช้เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นไปละเมิดสิทธิส่วนบุคคลของปัจเจกบุคคลอื่นด้วยวิธีการกลั่นแกล้งทางไซเบอร์ (Cyber Bullying) แต่ประเทศไทยยังไม่มีกฎหมายเฉพาะที่จะคุ้มครองผู้ถูกกลั่นแกล้งและลงโทษผู้กลั่นแกล้งทางไซเบอร์ สามารถกระทำได้เพียงการปรับใช้กับกฎหมายที่มีการบัญญัติและใช้บังคับอยู่ในปัจจุบัน แต่กฎหมายดังกล่าวก็มีข้อจำกัดไม่สามารถนำมาปรับใช้กับการกลั่นแกล้งทางไซเบอร์ได้ทุกกรณี ในการศึกษาครั้งนี้ผู้เขียนเห็นว่า ควรที่จะมีการตรากฎหมายเฉพาะให้ความคุ้มครองกรณีการกลั่นแกล้งทางไซเบอร์ อันมีลักษณะเป็นกระบวนการยุติธรรมทางเลือก ซึ่งมีวัตถุประสงค์ในการเยียวยาเหยื่อที่ถูกกลั่นแกล้งทางไซเบอร์มากกว่าการมุ่งลงโทษผู้กลั่นแกล้ง โดยศาลสามารถกำหนดมาตรการที่เหมาะสมเพื่อเยียวยาผลกระทบที่เกิดขึ้นได้อย่างทันท่วงที มีการนำเอากระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์มาใช้และกำหนดให้มีหน่วยงานของรัฐมาทำหน้าที่ให้ความช่วยเหลือผู้ถูกกลั่นแกล้งทางไซเบอร์ และให้ความรู้ วิธีการแก้ไขปัญหาหรือวิธีการรับมือกับปัญหาการกลั่นแกล้งทางไซเบอร์เหมือนอย่างในต่างประเทศ นอกจากนั้นหากการกลั่นแกล้งทางไซเบอร์เป็นการกระทำความผิดตามกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่เหยื่อก็สามารถเลือกที่จะดำเนินการตามกฎหมายนั้นด้วยก็ได้Item การคุ้มครองสิทธิในการถูกลืมบนระบบอินเทอร์เน็ต: ศึกษากรณีเสิร์ชเอนจินภารดี ปลื้มโกศล; อัญธิกา ณ พิบูลย์ (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2022)การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาแนวคิดพื้นฐาน ทฤษฎี ความเป็นมาของการคุ้มครอง สิทธิความเป็นส่วนตัว การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล เสรีภาพในการแสดงออกซึ่งความคิดเห็น ประโยชน์สาธารณะและสิทธิในการถูกลืมบนระบบอินเทอร์เน็ตกรณีเสิร์ชเอนจิน 2) ศึกษาหลักเกณฑ์ ในการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลสิทธิในการถูกลืมบนระบบอินเทอร์เน็ตกรณีเสิร์ชเอนจินในกฎหมาย ต่างประเทศและกฎหมายไทย 3) ศึกษาแนวปฏิบัติ ปัญหาและผลกระทบในการคุ้มมครองข้อมูลส่วน บุคคลและสิทธิในการถูกลืมบนระบบอินเทอร์เน็ตกรณีเสิร์ชเอนจินในต่างประเทศ 4) ศึกษาปัญหา เกี่ยวกับการใช้สิทธิในการถูกลืมบนระบบอินเทอร์เน็ตกรณีเสิร์ชเอนจินในบริบทของประเทศไทย 5) ศึกษาและเสนอแนวทางในการคุ้มครองสิทธิในการถูกลืมบนระบบอินเทอร์เน็ตในกรณีเสิร์ชเอนจินที่ เหมาะสมสำหรับประเทศไทยต่อไป ซึ่งวิธีวิจัยในเรื่องนี้เป็นการใช้แนวทางการศึกษาด้วยวิธีการวิจัย เชิงคุณภาพ (Qualitative Research) โดยศึกษาด้วยวิธีการวิจัยเชิงเอกสาร (Documentary Research) ที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองสิทธิในการถูกลืมในกรณีของเสิร์ชเอนจิน การคุ้มครองข้อมูล ส่วนบุคคล สิทธิความเป็นส่วนตัว เสรีภาพในการแสดงออกซึ่งความคิดเห็น ประโยชน์สาธารณะ และ เสิร์ชเอนจิน จากหนังสือ บทความ วิทยานิพนธ์ คำพิพากษาของศาล แนวปฏิบัติเกี่ยวกับเกณฑ์ในการ ใช้สิทธิในการถูกลืมในกรณีของเสิร์ชเอนจินของระหว่างประเทศ และของไทย เอกสารจากฐานข้อมูล ออนไลน์ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ ผลการวิจัยพบว่า สิทธิในการถูกลืมบนระบบอินเทอร์เน็ต กรณีเสิร์ชเอนจินได้มีการบัญญัติคุ้มครองไว้ในมาตรา 33 ของพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วน บุคคล พ.ศ. 2562 แต่อย่างใดก็ตามยังคงมีปัญหาบางประการ ไม่ว่าจะเป็นประเด็นปัญหาในเรื่อง ขอบเขตในการบังคับใช้สิทธิในการถูกลืมตามพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 ยัง ไม่มีรายละเอียดหลักเกณฑ์ในการยื่นคำร้อง ข้อยกเว้นและขั้นตอนการใช้สิทธิในการถูกลืมที่มีความชัดเจน และองค์ประกอบของคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญซึ่งอาจส่งผลให้เกิดปัญหาในการบังคับใช้ ดังนั้นจึงสมควรแก้ไขปัญหาโดยมีการพัฒนาระบอบการคุ้มครองข้อมูลระหว่างประเทศโดยจะเป็น ความร่วมมือกันในลักษณะสนธิสัญญาหรืออนุสัญญาเกี่ยวกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลระหว่าง ประเทศ และจำเป็นต้องมีการกำหนดแนวทางในการใช้สิทธิในการถูกลืมบนระบบอินเทอร์เน็ตในกรณี เสิร์ชเอนจินในลักษณะกฎหมายลำดับรองเป็นประกาศคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลตาม มาตรา 33 โดยกำหนดรายละเอียดเกี่ยวกับการกำหนดหลักเกณฑ์การใช้สิทธิในการถูกลืมและ ข้อยกเว้นการใช้สิทธิในการถูกลืมนและขั้นตอนในการใช้สิทธิในการถูกลืม กรณีเสิร์ชเอนจินเป็นผู้ ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลที่เหมาะสม รวมถึงมีการแก้ไขกฎหมายลำดับรองกำหนดรายละเอียด องค์ประกอบคุณสมบัติของคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญที่เหมาะสมในประเทศไทยต่อไปItem การพัฒนากฎหมายว่าด้วยการจัดการนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรรในประเทศไทยอนัณญา นุมาศ; ประพิน นุชเอี่ยม (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2022)วิทยานิพนธ์นี้มีวัตถุประสงค์ มุ่งศึกษาแนวทางการพัฒนากฎหมายว่าด้วยเรื่องการจัดการนิติ บุคคลหมู่บ้านจัดสรรในประเทศไทย เพื่อเสนอแนวทางการปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อพัฒนาการบริหารจัดการของนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรรในประเทศไทย เนื่องจากพระราชบัญญัติ การจัดสรรที่ดิน พ.ศ. 2543 ที่บังคับใช้ในปัจจุบัน พบว่ามีปัญหาในเรื่องการบริหารจัดการที่เกี่ยวข้อง กับสมาชิกนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรร ไม่ว่าจะเป็นปัญหาในเรื่องสาธารณูปโภคและสิ่งอำนวยความ สะดวกไม่ได้รับการบำรุงรักษาให้อยู่ในสภาพดีปัญหาสิ่งอำนวยความสะดวก การรักษาความ ปลอดภัยให้แก่สมาชิก ปัญหาเกี่ยวกับสิทธิและหน้าที่ของสมาชิกที่ไม่ได้รับความคุ้มครอง ตลอดจน ปัญหาข้อพิพาทในสังคมหมู่บ้านจัดสรรที่ส่งผลต่อปัญหาการจัดเก็บค่าใช้จ่ายที่กระทบถึงการ บำรุงรักษาสาธารณูปโภคที่สมาชิกใช้ร่วมกัน นอกจากนี้ยังพบว่ามีปัญหาในเรื่องการบังคับใช้ กฎหมาย วิธีการระงับและการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท รวมทั้งการกำกับดูแลจากหน่วยงานของรัฐไม่ เพียงพอ ไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ในการตราพระราชบัญญัติฉบับนี้ในการศึกษาวิจัยนี้ได้ใช้วิธีการ วิจัยเชิงคุณภาพ โดยนำทฤษฎีแนวคิดทางกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับนิติบุคคล และแนวคิดเกี่ยวกับชุมชน เอกชนที่มีประโยชน์ร่วมกัน และแนวคิดทางกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรร ประกอบ กับการศึกษากฎหมายของรัฐฟลอริด้าประเทศสหรัฐอเมริกา และรัฐนิวเซาท์เวลส์ ประเทศ ออสเตรเลีย ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการองค์กรที่อยู่อาศัย โดยศึกษาเปรียบเทียบ กฎหมายที่ทั้งสองประเทศใช้ในการบริหารจัดการองค์กรที่อยู่อาศัย เพื่อนำผลการศึกษามาเป็นหลักใน การแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป จากการศึกษาในเรื่องนิติบุคคลในเรื่องชุมชนที่มีประโยชน์ร่วมกันเพื่อนำมาใช้ตอบคำถามใน เรื่องโครงสร้างของนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรร พบว่า บทบาทของนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรรมีความสำคัญในการบำรุงรักษาสาธารณูปโภคส่วนกลางของหมู่บ้านจัดสรร และสมาชิกมีความจำเป็นต้องมีส่วน ร่วมในการบริหารจัดการ และจากการศึกษาเรื่องนิติบุคคลชุมชน และแนวคิดเกี่ยวกับการบริหารงาน ของนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรร พบว่าอำนาจหน้าที่ของผู้บริหารชุมชน และสิทธิหน้าที่ของสมาชิก จะอยู่ ภายใต้กฎหมายที่ใช้บังคับในปัจจุบัน ร่วมกับข้อบังคับของหมู่บ้านจัดสรรนั้น โดยหน่วยงานภาครัฐมี ความจำเป็นต้องเข้ามามีบทบาทในการกำกับดูแล เพื่อให้การบริหารจัดการเป็นไปโดยมีประสิทธิภาพ และไม่เกิดความเสียหายแก่ทรัพย์สินที่ใช้ร่วมกันของชุมชน และเมื่อได้ศึกษาประกอบกับกฎหมายของ รัฐฟลอริด้า ประเทศสหรัฐอเมริกา และรัฐนิวเซาท์เวลส์ประเทศออสเตรเลียแล้ว พบว่าหลักการ พื้นฐานในจัดตั้งองค์กรที่อยู่อาศัยนี้เป็นไปตามหลักการชุมชนเอกชนที่มีสมาชิกใช้ประโยชน์ใน ทรัพย์สินร่วมกัน โดยสมาชิกมีหน้าที่ต้องชำระค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาทรัพย์สินเหล่านั้น ซึ่งแตกต่างจากการซื้อขายบริการโดยทั่วไป โดยในปัจจุบันกฎหมายของไทยที่เกี่ยวกับการจัดตั้งนิติ บุคคลหมู่บ้านจัดสรรนั้น กำหนดหน้าที่ให้เป็นของสมาชิกผู้ซื้อที่ดินและสมาชิกมีหน้าที่ในการ บำรุงรักษาสาธารณูปโภคต่อจากผู้จัดสรรที่พ้นหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนด ซึ่งเกิดปัญหาการบริหาร จัดการนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรรเป็นไปโดยไม่มีประสิทธิภาพ ทำให้สาธารณูปโภคไม่ได้รับการ บำรุงรักษาที่เหมาะสม โดยจากการศึกษากฎหมายเปรียบเทียบของประเทศสหรัฐอเมริกาและ ประเทศออสเตรเลีย พบว่าหน้าที่ในการจัดตั้งองค์กรบริหารจัดการประเภทนี้เป็นของผู้จัดสรร เนื่องจากเป็นผู้ที่มีความพร้อมและมีทรัพยากรที่เหมาะสมในการบริหารจัดการ กฎหมายจึงกำหนดให้ เป็นหน้าที่ของผู้จัดสรร นอกจากนี้การบริหารจัดการนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรรมีความสัมพันธ์กับ ทรัพย์สินที่มีมูลค่าสูง ดังนั้นผู้มาทำหน้าที่บริหารจึงควรต้องเป็นผู้มีคุณสมบัติที่เหมาะสมด้วย ในส่วน ของปัญหาที่เกี่ยวกับการใช้สิทธิของสมาชิกนั้น พบว่าการให้ความคุ้มครองสิทธิของสมาชิกจะทำให้ สมาชิกตระหนักถึงหน้าที่ของตน ทำให้ปัญหาเรื่องการจัดเก็บเงินค่าใช้จ่ายลดน้อยลง และยังทำให้ ปัญหาข้อพิพาทลดลงด้วย ท้ายที่สุดจากการศึกษาในเรื่องทฤษฎีการทำหน้าที่ของรัฐ ที่รัฐไม่อาจพ้น จากความรับผิดจากการกระทำของเอกชนที่รัฐมอบหมายให้ทำได้แม้จะมีข้อโต้แย้งในเรื่องการ ดำเนินการของนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรรมีลักษณะเป็นบริการเสริมที่เพิ่มเติมจากหน้าที่ของรัฐ รัฐจึงไม่ ต้องรับผิดจากการกระทำของนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรรได้ก็ตาม อย่างไรก็ดีรัฐในฐานะผู้ควบดูแลจึง ต้องมีส่วนเข้ามากำกับดูแลเมื่อเกิดปัญหา จึงอาจกล่าวได้ว่า ปัญหาเรื่องการไม่มีการกำกับดูแลจาก หน่วยงานภาครัฐที่เพียงพอ ก็มีความสำคัญที่ต้องได้รับการแก้ไข นอกจากนี้นิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรร เป็นองค์กรที่ไม่แสวงหากำไร และไม่มีรายได้ดังเช่นองค์กรธุรกิจโดยทั่วไป การที่นำเอากฎหมายทั่วไป มาใช้บังคับใช้กับนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรรจึงไม่ตอบสนองและไม่อาจแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในปัจจุบันได้ จึงควรมีการกำหนดสถานะทางกฎหมายของนิติบุคคลให้เป็นองค์กรประเภทไม่แสวงหากำไร จากการศึกษาหลักในเรื่องการระงับข้อพิพาททางเลือก พบว่า การมีวิธีการระงับและไกล่เกลี่ยข้อพิพาททางเลือกที่อาจเหมาะสมกับบริบทของสังคมหมู่บ้านจัดสรรเพื่อควบคุมให้การบริหารจัดการนิติ บุคคลหมู่บ้านจัดสรรเป็นไปตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย จากข้อค้นพบสรุปว่ากฎหมายของประเทศไทย ยังมีข้อบกพร่องที่ต้องแก้ไขเพื่อสามารถแก้ไข ปัญหาที่เกิดขึ้นในปัจจุบันได้ผู้วิจัยจึงมีข้อเสนอแนะให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการจัดสรร ที่ดิน พ.ศ. 2543 โดยกำหนดหน้าที่ในการจัดตั้งนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรรให้เป็นของผู้จัดสรรที่ดิน และ ให้ผู้จัดสรรที่ดินจัดให้มีผู้บริหารนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรรที่มีคุณสมบัติตามที่กฎหมายกำหนด การแก้ไขเพิ่มเติมในการกำหนดอำนาจหน้าที่ของผู้บริหารนิติบุคคลที่มีอย่างจำกัดและมีการกำกับ ดูแลจากหน่วยงานภาครัฐ รวมไปถึงบทลงโทษแก่ผู้ทำละเมิดต่อนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรร และเมื่อ สมาชิกผู้ซื้อที่ดินมีความพร้อมในการรับโอนหน้าที่มาบริหารจัดการเองผู้จัดสรรจึงจะพ้นจากหน้าที่ใน การบำรุงรักษาสาธารณูปโภคส่วนกลาง แก้ไขเพิ่มเติมโดยมีการกำหนดคุณสมบัติของผู้มาทำหน้าที่ บริหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งการป้องกันในเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน และต้องมีแก้ไขกฎหมายในการ กำหนดสิทธิและหน้าที่ของสมาชิกอย่างเป็นระบบ เพื่อให้สมาชิกเข้าใจบทบาทหน้าที่ของตนในการ บริหารนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรร ในส่วนของสถานะทางกฎหมาย ต้องมีการกำหนดสถานะทาง กฎหมายของนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรรให้เป็นองค์กรที่ไม่แสวงหากำไร เพื่อให้ได้รับสิทธิประโยชน์เพื่อ ลดค่าใช้จ่ายของนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรร และส่วนสุดท้ายต้องมีการแก้ไขเพิ่มเติมในเรื่องการกำกับ ดูแลการบริหารจัดการนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรรและการระงับและไกล่เกลี่ยข้อพิพาทที่เหมาะสมจาก หน่วยงานภาครัฐ โดยมีความจำเป็นที่ภาครัฐต้องเข้ามามีบทบาทในการกำกับดูแลมากขึ้น เพื่อให้การ บริหารจัดการนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรร เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นไปตามเจตนารมณ์ของ พระราชบัญญัติการจัดสรรที่ดิน พ.ศ.2543Item สิทธิเด็กและการคุ้มครองสิทธิเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยในการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์พรรณธิพา สุขจิตร์; เกียรติพร อำไพ (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2021)ความก้าวหน้าทางวิทยาการและเทคโนโลยีทางการแพทย์ในการบำบัดรักษาภาวะการมีบุตรยาก สามารถช่วยให้ผู้มีภาวะการมีบุตรยากสามารถมีบุตรได้โดยการใช้เทคโนโลยีช่วยในการเจริญพันธุ์ทาง การแพทย์ซึ่งรวมไปถึงการตั้งครรภ์แทน และประเทศไทยได้ตรากฎหมายขึ้นรองรับการตั้งครรภ์แทนตาม พระราชบัญญัติคุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยในการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ พ.ศ. 2558 กฎหมายได้บัญญัติกำหนดความเป็นบิดา มารดาที่ชอบด้วยกฎหมายของเด็กที่เกิดจากการตั้งครรภ์แทน ตลอดจนถึงการควบคุมการศึกษาวิจัยทางวิทยาศาสตร์การแพทย์เกี่ยวกับตัวอ่อนและเทคโนโลยีช่วยในการ เจริญพันธุ์ทางการแพทย์ และกำหนดการคุ้มครองสิทธิเด็กที่เกิดจากการตั้งครรภ์แทน โดยมีกฎหมายลูก เป็นประกาศกระทรวงสาธารณสุข ประกาศแพทยสภาและประกาศคณะกรรมการคุ้มครองเด็กที่เกิดโดย อาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์รวมทั้งสิ้น 21 ฉบับ พระราชบัญญัติฯ และประกาศ 21 ฉบับดังกล่าวยังไม่สามารถให้ความคุ้มครองสิทธิเด็กที่เกิดจากการตั้งครรภ์ที่มีลักษณะเฉพาะอันแตกต่าง จากเด็กทั่วไปได้สมบูรณ์ เกิดเป็นประเด็นปัญหาความไม่สอดคล้องกับอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กที่ประเทศ ไทยเป็นภาคีและมีพันธกรณีที่ต้องปฏิบัติตามและเป็นประเด็นปัญหาการให้ความคุ้มครองสิทธิเด็กที่เกิด จากการตั้งครรภ์แทน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่หญิงผูู้ตั้งครรภ.แทนมิใช่ญาติผูู้สืบสายโลหิตของสามีหรือ ภรรยาผู้ประสงค์ให้มีการตั้งครรภ์แทน และวสามีและภรรยาเกิดเสียชีวิตก่อนเด็กเกิด บทบัญญัติตาม พระราชบัญญัติฯ กำหนดให้หญิงผู้ตั้งครรภ์แทนเป็นผู้ปกครองของเด็กชั่วคราว แต่เนื่องด้วยหญิงผู้ตั้งครรภ์ แทนมิได้เป็นผู้ถูกกำหนดให้ต้องทำหน้าที่ผู้ปกครองมาแต่ต้น ความไม่พร้อมและเหตุปัจจัยต่าง ๆย่อม ส่งผลต่อการคุ้มครองสิทธิในการอยู่รอด สิทธิที่จะได้รับการปกป้องคุ้มครอง และสิทธิที่จะได้รับการพัฒนา ของเด็กที่เกิดจากการตั้งครรภ์แทน ส่วนในกรณีสามีและภริยาผู้ประสงค์ให้มีการตั้งครรภ์แทนไม่ปรากฏตัว เมื่อเด็กเกิด พระราชบัญญัติฯ ไม่มีบทบัญญัติใช้บังคับกับกรณี จึงยิ่งเลวร้ายกว่ากรณีแรก นอกจากนี้ยังมี ประเด็นปัญหาการไม่มีบทบัญญัติคุ้มครองสิทธิการเข้าถึงข้อมูลของผู้ที่มีความสัมพันธ์ทางพันธุกรรมระหว่างเด็กกับผู้บริจาคอสุจิหรือไข่อันกระทบต่อสิทธิในการรับรู้ข้อมูลที่เกี่ยวกับตนเอง และอาจก่อให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับการรับบริการทางการแพทย์การดูแลสุขภาพและปัญหาจากการสมรสกับผู้ที่มีความใกล้ชิด ทางสายโลหิต ประเด็นปัญหาอีกประการหนึ่งคือ บทบัญญัติที่ห้ามปฏิเสธเด็กในทุกกรณีโดยไม่มีบท ข้อยกเว้น หากคู่สมรสผู้ประสงค์ให้มีการตั้งครรภ์แทนเกิดตกอยู่ในสภาวะไม่เหมาะสมอย่างร้ายแรงทั้งใน สภาพร่างกายสภาพทางเศรษฐกิจ หรือสภาพทางสังคม กลายเป็นกรณีที่บทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติ เป็นปัจจัยที่ส่งผลให้เด็กต้องตกอยู่ในสภาวะเสี่ยงต่อการได้รับประโยชน์สูงสุดและเสี่ยงต่อการได้รับความ คุ้มครองตามสิทธิเด็กทั้งปวง ผลที่ได้จากการศึกษาจึงนำไปสู่ข้อเสนอแนะให้มีการปรับแก้บทบัญญัติในพระราชบัญญัติคุ้มครอง เด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยในการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ พ.ศ. 2558 ให้สามารถคุ้มครองสิทธิเด็กที่ เกิดจากการตั้งครรภ์แทนให้มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้นItem ปัญหากฎหมายในการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมดาริกา โพธิรุกข์; พัชรวรรณ นุชประยูร (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2020)ดุษฎีนิพนธ์นี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและวิเคราะห์มาตรการทางกฎหมายในกระบวนการ ประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมในประเทศไทย โดยการศึกษากระบวนการประเมินผลกระทบ สิ่งแวดล้อมทั้งในระดับสากลและในประเทศที่พัฒนาแล้ว ตลอดจนมาตรการทางกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อวิเคราะห์ปัญหาและอุปสรรคจากการนำมาตรการทางกฎหมายไปบังคับใช้ และนำข้อค้นพบที่ ได้มาเป็นแนวทางในการปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม ของประเทศไทยให้บรรลุเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน ผลการศึกษาพบว่า ในทางปฏิบัติกระบวนการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมยังคงมีปัญหา ทางกฎหมาย ดังนี้ ประการแรกปัญหาการหลีกเลี่ยงการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและการ กำหนดประเภทและขนาดของโครงการที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมหรือโครงการที่มีผลกระทบต่อ สิ่งแวดล้อมอย่างรุนแรง ประการที่สองปัญหาเกี่ยวกับผู้รับผิดชอบในการจัดทำรายงานการประเมินผล กระทบสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับคุณสมบัติของผู้ที่ได้รับอนุญาตให้มีสิทธิจัดทำรายงาน การประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม ประการที่สามปัญหาการจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบ สิ่งแวดล้อมและการมีส่วนร่วมของประชาชน ที่ยังไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ ประการที่สี่ปัญหาการ พิจารณารายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม ในเรื่ององค์กรที่มีอำนาจในการพิจารณา ระยะเวลา และผลของการอนุมัติหรืออนุญาต และประการสุดท้ายปัญหาการกำหนดมาตรการในการ ติดตามตรวจสอบและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม จากปัญหาดังกล่าว ผู้วิจัยได้เสนอแนะให้มีการปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติที่เกี่ยวข้อง กับกระบวนการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมในเรื่องกระบวนการและขั้นตอนการจัดทำรายงาน ดังนี้ 1) ขั้นตอนการกลั่นกรองโครงการ เสนอให้เปลี่ยนรูปแบบการกำหนดประเภทและ ขนาดของโครงการ โดยกำหนดให้การดำเนินโครงการที่ผ่านเกณฑ์ขั้นต่ำจะต้องจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมเบื้องต้น (IEE) หากโครงการใดที่มีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญก็ให้ ดำเนินการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ต่อไป รวมถึงให้อำนาจรัฐมนตรีกระทรวง ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในการประกาศบัญชีรายชื่อของประเภทโครงการและขนาดที่ไม่ ต้องจัดทำรายงานประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม 2) ขั้นตอนการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม เสนอให้ปรับปรุงกฎกระทรวง ฉบับที่ 2 พ.ศ. 2527 ในการกำหนดคุณสมบัติของผู้ที่มีสิทธิจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบ สิ่งแวดล้อม การขึ้นบัญชีดำผู้เชี่ยวชาญสิ่งแวดล้อมที่มีส่วนในการจัดทำรายงานเท็จ รวมถึงการจัดตั้ง หน่วยงานที่กำกับดูแลมาตรฐานการจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม 3) องค์คณะในการพิจารณาและระยะเวลาในการพิจารณารายงาน โดยเสนอให้ เพิ่มสัดส่วนจากผู้แทนภาคเอกชนในองค์ประกอบของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติและ คณะกรรมการผู้ชำนาญการ และควรกำหนดกรอบระยะเวลาในการพิจารณารายงาน โดยเฉพาะอย่าง ยิ่งในโครงการ หรือกิจการ หรือการดำเนินการของหน่วยงานของรัฐหรือหน่วยงานของรัฐดำเนินการ ร่วมกับเอกชนที่ต้องเสนอขอรับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี รวมถึงหลักเกณฑ์กรณีการนำ รายงานที่เคยผ่านการพิจารณามาแล้ว 5 ปี มาอนุมัติดำเนินโครงการ 4) เพิ่มการมีส่วนร่วมของประชาชนในทุกขั้นตอน ตั้งแต่ขั้นตอนการกลั่นรองกรอง โครงการ การประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม การกำหนดขอบเขตการศึกษาและวิธีการประเมิน การ เก็บข้อมูล/ตัวอย่าง ข้อคิดเห็นต่อร่างรายงาน และการติดตามตรวจสอบการปฏิบัติตามมาตรการ ป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม โดยขั้นตอนต่าง ๆ เหล่านี้จะต้องเผยแพร่ต่อสาธารณะและให้ ประชาชนสามารถเข้าถึงและแสดงความคิดเห็นได้ง่าย 5) รัฐบาลควรกำหนดแนวนโยบายในการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมให้มีความ ชัดเจนและแน่นอนในการบริหารเพื่อให้เกิดความสมดุลทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม โดยยึดมั่นในเจตนารมณ์ของกฎหมายในการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมตามเป้าหมายของการประเมินผล กระทบสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นมาเพื่อเป็นการป้องกันล่วงหน้า (Precautionary Principle) อันเป็นการ คาดการณ์ผลกกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นจากโครงการ หรือกิจการ หรือการดำเนินการใด อันจะช่วยทำ ให้การบังคับใช้มาตรการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมเป็นไปตามเจตนารมณ์และเกิดประสิทธิภาพ มากยิ่งขึ้นItem มาตรการทางกฎหมายในการคุ้มครองย่านชุมชนประวัติศาสตร์ในประเทศไทยตุลญา โรจน์ทังคำ; บรรเจิด สิงคะเนติ (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2020)ดุษฎีนิพนธ์นี้มีวัตถุประสงค์เพื่อการศึกษาและวิเคราะห์ปัญหาข้อจำกัดของกฎหมายที่ เกี่ยวข้องในการให้ความคุ้มครองย่านชุมชนประวัติศาสตร์ในประเทศไทย ตลอดจนศึกษามาตรการ ทางกฎหมายของต่างประเทศที่ประสบผลสำเร็จในการให้ความคุ้มครองย่านชุมชนประวัติศาสตร์เพื่อ นำมาเป็นแนวทางในการกำหนดมาตรการทางกฎหมายเฉพาะในการให้ความคุ้มครองย่านชุมชน ประวัติศาสตร์ในประเทศไทย ผลการศึกษาพบว่า ประเทศไทยไม่มีมาตรการทางกฎหมายเฉพาะเพื่อให้ความคุ้มครองย่าน ชุมชนประวัติศาสตร์ กรณีจึงเป็นการแตกต่างกับต่างประเทศที่มีมาตรการทางกฎหมายเฉพาะใช้ บังคับควบคู่กับกฎหมายการผังเมือง หรือมีกฎหมายผังเมืองกำหนดให้ความคุ้มครองเป็นการเฉพาะ และเมื่อพิจารณากฎหมายที่เกี่ยวข้องพบว่า มีขอบเขต ข้อจำกัดในการนำมาบังคับใช้เพื่อให้คุ้มครอง ย่านชุมชนประวัติศาสตร์ ดังนี้ 1) กฎหมายการผังเมืองไม่ได้มีการประกาศกำหนดขอบเขตของพื้นที่ ย่านชุมชนประวัติศาสตร์ รวมถึงการกำหนดผังเมืองรวมเกิดปัญหาซ้อนทับ (Overlay District) ระหว่างพื้นที่เพื่อการอนุรักษ์และพื้นที่พาณิชยกรรม 2) ปัญหาการไม่ได้กำหนดคำนิยามความเป็น ย่านชุมชนประวัติศาสตร์เพื่อให้ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย 3) ปัญหาการบังคับใช้อย่างเข้มงวด ทำให้เกิดข้อจำกัดสิทธิของเจ้าของหรือผู้ครอบครองทรัพย์สิน 4) ปัญหาความซ้อนทับของหน่วยงานที่ รับผิดชอบ 5) ปัญหาการขาดการมีส่วนร่วมของประชาชน และ 6) ปัญหาการขาดมาตรการสร้าง แรงจูงใจ ดังนั้น เพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นดังกล่าวนี้ผู้เขียนขอเสนอให้ประเทศไทยควรมีมาตรการทาง ทางกฎหมายอันเป็นกฎหมายเฉพาะในระดับพระราชบัญญัติเพื่อใช้ควบคู่กับกฎหมายการผังเมือง ดังต่อไปนี้ 1) กำหนดให้ประกาศขอบเขตของพื้นย่านชุมชนประวัติศาสตร์โดยกฎหมายการผังเมือง ด้วยวิธีการระยะสั้นอาจกำหนดผังเมืองรวมในรูปแบบของข้อบัญญัติท้องถิ่น และในระยะยาวให้ กำหนดขอบเขตของพื้นที่ด้วยผังเมืองเฉพาะในรูปแบบของพระราชบัญญัติ 2) ให้มีการออกกฎหมายเฉพาะเพื่อให้ความคุ้มครองย่านชุมชนประวัติศาสตร์ ภายใต้กรอบ แนวทาง ดังนี้ (1) กำหนดนิยามความเป็นย่านชุมชนประวัติศาสตร์โดยให้มีลักษณะครอบคลุมตัว อาคารสิ่งปลูกสร้างและพื้นที่แวดล้อมที่ประกอบขึ้นเป็นย่านชุมชนทั้งหมดนั้น (2) กำหนดให้มีการจัดแบ่งประเภทของย่านชุมชนประวัติศาสตร์ โดยยึดตัวอาคารหรือ กลุ่มอาคารเป็นหลักในการพิจารณาเพื่อจำแนก (3) กำหนดการให้ความคุ้มครองในลักษณะเชิงเข้มงวดแต่ให้มีความยืดหยุ่นไปในตัว โดยการกำหนดให้เจ้าของหรือผู้ครอบครอง รวมถึงประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ โดยเปิดโอกาสให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองทรัพย์สิน รวมถึงประชาชนมีส่วนร่วมในขั้นตอน กระบวนการประกาศและขึ้นทะเบียนร่วมกับหน่วยงานท้องถิ่นและนำเสนอเรื่องต่อรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงวัฒนธรรมเพื่อพิจารณาประกาศและขึ้นทะเบียนตามกฎหมาย (3.1) กรณีการรื้อถอน ซ่อมแซมหรือทำประการใด ๆ อันเป็นการทำลายตัว อาคารหรือพื้นที่ของความเป็นย่านชุมชนนั้น หากเป็นกรณีเร่งด่วน ควรเปิดช่องทางให้ประชาชนเข้ามี ส่วนร่วมในการรื้อถอน ซ่อมแซม ฯลฯ และควรกำหนดกรอบระยะเวลาไว้อย่างชัดเจน (3.2) หน่วยงานที่รับผิดชอบ กำหนดให้กระทรวงวัฒนธรรมเป็นหน่วยงานหลักใน การทำหน้าที่ในการบริหารจัดการเกี่ยวกับการให้ความคุ้มครองโดยมีคณะกรรมการอนุรักษ์ย่านชุมชน ประวัติศาสตร์ทำหน้าที่ให้คำแนะนำ คำปรึกษาและให้ความเห็นชอบในการบริหารจัดการย่านชุมชน ประวัติศาสตร์และในส่วนท้องถิ่นกำหนดให้เป็นหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นร่วมกับ คณะกรรมการชุมชนทำหน้าที่ในการกลั่นกรอง พิจารณาความเป็นย่านชุมชนประวัติศาสตร์ในระดับ ท้องถิ่นก่อนนำเสนอเรื่องสู่การพิจารณาของหน่วยงานกลางเพื่อให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม อนุมัติการขึ้นทะเบียนเพื่อให้ความคุ้มครอง (4) การมีส่วนร่วม ควรเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมอย่างแท้จริงในทุก กระบวนการทุกขั้นตอนของการกำหนดความเป็นย่านชุมชนประวัติศาสตร์ ตลอดจนกระบวนการให้ ความคุ้มครองร่วมกับหน่วยงานท้องถิ่นและหน่วยงานภาครัฐ (5) ควรกำหนดมาตรการสร้างแรงจูงใจในรูปแบบของมาตรการทางเงิน มาตรการทาง ภาษี และมาตรการทางสังคมในการยกย่องให้รางวัลเป็นชุมชนต้นแบบ เป็นต้นItem มาตรการทางกฎหมายในการจัดทำและควบคุมการขนส่งมวลชนด้วยรถไฟฟ้าในเมืองฐิติชญาน์ คงชู; พัชรวรรณ นุชประยูร (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2020)การศึกษาเรื่องนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษามาตรการทางกฎหมายเกี่ยวกับการจัดทำและ ควบคุมการขนส่งมวลชนด้วยรถไฟฟ้าในเมืองของประเทศไทย โดยมุ่งเน้นศึกษากรณีของรถไฟฟ้า ในเขตกรุงเทพมหานคร ซึ่งอยู่ภายใต้ความรับผิดชอบของหน่วยงานภาครัฐ 3 หน่วยงาน ได้แก่ 1) การรถไฟแห่งประเทศไทย (State Railway of Thailand; SRT), 2) การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่ง ประเทศไทย (Mass Rapid Transit Authority of Thailand, MRTA) และ 3) กรุงเทพมหานคร (Bangkok Metropolitan Administration, BMA) วิธีการศึกษาในครั้งนี้เป็นการศึกษาข้อมูลเชิงคุณภาพ โดยศึกษาข้อมูลจากเอกสารเป็นหลัก ได้แก่ บทบัญญัติกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการจัดทำและควบคุมการขนส่งมวลชนด้วยรถไฟฟ้าในเมือง ของประเทศไทยและของต่างประเทศ หนังสือ บทความทางวิชาการ วิทยานิพนธ์งานวิจัย เป็นต้น โดยผู้วิจัยจะนำข้อมูลเหล่านี้มาทำการวิเคราะห์และสังเคราะห์เพื่อให้ได้แนวทางในการปรับปรุง และพัฒนากฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการจัดทำและการควบคุมการขนส่งมวลชนด้วยรถไฟฟ้าในเมือง ของประเทศไทย ผลการศึกษาพบว่า องค์กรที่เกี่ยวข้องกับการขนส่งมวลชนด้วยรถไฟฟ้าในเมืองนั้น มีการบริหารจัดการและการดำเนินการเดินรถภายใต้กฎหมายที่แตกต่างกัน โครงการรถไฟฟ้าในเขต เมืองแต่ละโครงการมีการดำเนินงานอย่างอิสระมีความเป็นเอกเทศ เนื่องจากประเทศไทยยังขาด มาตรการทางกฎหมายที่เกี่ยวกับการจัดทำและควบคุมการขนส่งมวลชนด้วยรถไฟฟ้าในเมือง บาง องค์กรทำหน้าที่เป็นทั้งผู้ประกอบการและเป็นผู้ควบคุมกำกับกิจการรถไฟฟ้า ทำให้บทบาทหน้าที่ของ องค์กร ไม่สอดคล้องกับโครงสร้างขององค์กรในการจัดทำบริการสาธารณะ ส่งผลทำให้กลไกในการ จัดทำบริการสาธารณะด้านขนส่งมวลชนด้วยรถไฟฟ้าเกิดปัญหา 4 ประการ คือ 1) ปัญหากฎหมายด้านการควบคุมการเดินรถไฟฟ้าและอาณัติสัญญาณ 2) ปัญหากฎหมายด้านการควบคุมระบบการ เชื่อมต่อรางร่วมกัน 3) ปัญหากฎหมายด้านการควบคุมด้านความปลอดภัย และ 4) ปัญหากฎหมาย ด้านการควบคุมระบบตั๋วโดยสาร ข้อเสนอแนะ ควรมีการจัดโครงสร้างองค์กรที่เกี่ยวกับการจัดทำบริการสาธารณะด้านขนส่ง มวลชนด้วยรถไฟฟ้าในเมืองให้มีความสอดคล้องกับบทบาทหน้าที่ขององค์กร โดยลดบทบาทและ อำนาจของการรถไฟแห่งประเทศไทยและการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย ให้เป็นเพียง ผู้ประกอบการเดินรถไฟฟ้าเท่านั้น เพื่อป้องกันปัญหาการใช้อำนาจตามกฎหมายที่ทับซ้อนกับกรม ขนส่งทางรางซึ่งมีบทบาทเป็นผู้ควบคุมกำกับกิจการรถไฟฟ้า ทำหน้าที่ในการควบคุมกิจการรถไฟฟ้า ในเมืองในเรื่องต่าง ๆ เช่น การเดินรถไฟฟ้าและอาณัติสัญญาณ ระบบการเชื่อมต่อรางร่วมกัน ควบคุม มาตรฐานด้านความปลอดภัย และระบบตั๋วโดยสาร เป็นต้นItem ปัญหาการให้ความคุ้มครองสิทธิบัตรการใช้วิธีใหม่เสสินา นิ่มสุวรรณ์; เกียรติพร อำไพ (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2022)สิทธิบัตรการใช้วิธีใหม่เป็นหนึ่งในข้อเรียกร้องที่บรรดาประเทศอุตสาหกรรมเรียกร้องให้ประเทศคู่เจรจาขยายขอบเขตการให้ความคุ้มครองการประดิษฐ์ในระดับที่สูงกว่ามาตรฐานขั้นต่ำที่กำหนดไว้ในข้อ 27 แห่งความตกลงทริปส์ผ่านการเจรจาเพื่อทำความตกลงระหว่างประเทศ หรือการเจรจาทำความตกลงเขตการค้าเสรี ทั้งในระดับทวิภาคี และพหุภาคี ทั้งนี้ การให้ความคุ้มครองแก่การประดิษฐ์ลักษณะดังกล่าวนำมาซึ่งผลกระทบ และข้อกังวลหลายประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาสิทธิบัตรที่ไม่มีวันหมดอายุที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการเข้าถึงสิทธิบัตรของประชน อย่างไรก็ตาม การให้ความคุ้มครองแก่การประดิษฐ์ลักษณะดังกล่าวหาได้ก่อให้เกิดแต่เฉพาะผลกระทบในเชิงลบเท่านั้น หากแต่ยังก่อให้เกิดผลกระทบในเชิงบวกได้เช่นกัน ดังนั้น ในการพิจารณาแนวทางการให้ความคุ้มครองสิทธิบัตรการใช้วิธีใหม่จึงต้องพิจารณาอย่างรอบด้าน ทั้งประเด็นปัญหาทางกฎหมาย บริบททางสังคม เศรษฐกิจ และแนวนโยบายในการพัฒนาประเทศ ด้วยเหตุที่ได้กล่าวข้างต้น ดุษฎีนิพนธ์ฉบับนี้จึงมีวัตถุประสงค์ในการวิเคราะห์ปัญหาการให้ความคุ้มครองสิทธิบัตรการใช้วิธีใหม่ รวมถึงวิเคราะห์ถึงข้อดีและข้อเสียจากการให้ความคุ้มครองสิทธิบัตรการใช้วิธีใหม่ภายใต้ระบบสิทธิบัตรของประเทศไทย โดยศึกษาเปรียบเทียบกับระบบสิทธิบัตรของสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร ประเทศญี่ปุ่น และสาธารณรัฐอินเดีย อันจะนำไปสู่ข้อสรุปในการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติสิทธิบัตร พ.ศ. 2522 รวมถึงคู่มือพิจารณาคำขอรับสิทธิบัตรและอนุสิทธิบัตร ฉบับปี พ.ศ. 2562 โดยกำหนดขอบเขต และหลักเกณฑ์การให้ความคุ้มครองสิทธิบัตรการใช้วิธีใหม่อย่างเหมาะสมอันจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศต่อไปItem กฎหมายประกันภัยรถภาคบังคับข้ามพรมแดนระหว่างประเทศไทย กับ สปป.ลาวณชัชชญา ทองจันทร์; เกียรติพร อำไพ (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2023)วิทยานิพนธ์นี้ศึกษาในปัญหากฎหมายประกันภัยรถภาคบังคับข้ามพรมแดนระหว่างประเทศไทย กับ สปป.ลาว โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อหาแนวทางที่เหมาะสมในการพัฒนากรอบความตกลงประกันภัยรถภาคบังคับข้ามพรมแดนระหว่างสองประเทศในรูปแบบทวิภาคี (Bilateral Agreement) และแนวทางในการปรับกฎหมาย กฎ ระเบียบ หรือข้อบังคับภายในที่จำเป็นของประเทศไทยและบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในการสำรวจอุบัติเหตุ หรือการจัดการสินไหมทดแทน และการรับประกันภัยรถผ่านแดนระหว่างสองประเทศเพื่อให้สอดคล้องกับกรอบความตกลงประกันภัยรถภาคบังคับข้ามพรมแดนระหว่างกันเนื่องจากการขับเคลื่อนพิธีสาร 5 โครงการประกันภัยรถภาคบังคับผ่านแดนของอาเซียนเกิดความล่าช้าเพราะเกิดจากปัญหา 2 ประการ คือ 1) ปัญหาเกี่ยวกับความไม่สอดคล้องกันของกฎหมายประกันภัยรถภาคบังคับทั้งสองประเทศ และ 2) ปัญหาเกี่ยวกับการขายประกันภัยรถภาคบังคับผ่านแดนของบริษัทประกันภัยที่เข้าร่วมโครงการพิธีสาร 5 ผ่านระบบศูนย์กลางข้อมูลประกันภัยรถภาคบังคับของอาเซียน (ASEAN Compulsory Motor Insurance System: ACMI) จากการศึกษาวิเคราะห์พบว่าปัญหาตาม 1) เกิดจากความแตกต่างของกฎหมายประกันภัยรถภาคบังคับของสองประเทศเกี่ยวกับการกำหนดประเภทของสัญญา การกำหนดจำนวนเงินที่คุ้มครองตามสัญญา การกำหนดความเสียหายที่ได้รับความคุ้มครองตามสัญญา การกำหนดอัตราเบี้ยประกันภัย และการกำหนดระยะเวลาการคุ้มครองตามสัญญา และปัญหาตาม 2) เกิดจากการขายประกันภัยผ่านระบบศูนย์กลางข้อมูล ACMI และปัญหาเกี่ยวกับการใช้อำนาจหน้าที่ในการกำกับดูแลบริษัทประกันที่เข้าร่วมโครงการพิธีสาร 5 ในการขายประกันภัยผ่านระบบศูนย์กลางข้อมู ACMI การศึกษาครั้งนี้เสนอแนะในการพัฒนากรอบความตกลงระหว่างสองประเทศในรูปแบบทวิภาคี (Bilateral Agreement) โดยทำเป็น “บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือประกันภัยรถภาคบังคับข้ามพรมแดนระหว่างประเทศไทย กับ สปป.ลาว” สำหรับแนวทางในการปรับกฎหมาย กฎ ระเบียบ หรือข้อบังคับภายในที่จำเป็นของประเทศไทย คือ 1) แก้ไขกฎกระทรวง ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2535) โดยกำหนดให้รถทุกประเภทที่ข้ามพรมแดนมาจาก สปป.ลาว จัดให้มีประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจ ประเภท 3 พ่วงกับประกันภัยรถภาคบังคับให้มีระยะเวลาการคุ้มครองตามสัญญาไม่น้อยกว่า 1 เดือน และบริษัทประกันภัยที่เข้าร่วมโครงการพิธีสาร 5 ต้องรับประกันภัยผ่านระบบศูนย์กลางข้อมูล ACMI 2) นายทะเบียนของสำนักงานงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) คปภ. ต้องออกประกาศในการปรับอัตราเบี้ยประกันภัยรถภาคบังคับที่บริษัทประกันภัยขายให้กับรถที่ข้ามพรมแดนมาจาก สปป.ลาว สูงกว่าขายผ่านระบบศูนย์กลางข้อมูล ACMI ทั้งนี้ ประเทศไทย และ สปป.ลาว ต้องร่วมกันปรับบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในการสำรวจอุบัติเหตุฯ โดยบริษัทประกันภัย หรือตัวแทนฯ ประเทศไทยต้องรับประกันภัยรถที่เดินทางเข้าประเทศไทย แบบ CV 2 (กรมธรรม์ประกันภัยภาคบังคับภายใต้พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ. 2535 และแก้ไขเพิ่มเติม) และ CV 3 (กรมธรรม์ประกันภัยภาคสมัครใจ ประเภท 3) โดยให้รวมกรมธรรม์ทั้ง 2 แบบอยู่ในเอกสารฉบับเดียวกัน นอกจากนี้ หน่วยงานกำกับดูแลการประกันภัย สำนักงานประกันภัยรถผ่านแดนฯ สมาคมประกัน และบริษัทประกันภัยที่เข้าร่วมโครงการพิธีสาร 5 ทั้งสองประเทศต้องร่วมกันกำหนดยุทธศาสตร์ ดังนี้ 1) สร้างการรับรู้และการสื่อสารถึงช่องทางการทำประกันภัยรถภาคบังคับข้ามพรมแดนผ่านระบบศูนย์กลางข้อมูล ACMI ให้กับประชาชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งสองประเทศ 2) ถ่ายทอดข้อมูล Blue Card และระบบศูนย์กลางข้อมูล ACMI ให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวกับพิธีการข้ามพรมแดนระหว่างสองประเทศ และ 3) พัฒนาระบบศูนย์กลางข้อมูล ACMI ในอนาคตโดยปรับปรุงระบบศูนย์กลางข้อมูล ACMI ให้สะดวกและง่ายต่อการใช้งานโดยลดขั้นตอนตั้งแต่การบันทึกข้อมูลของผู้เอาประกันภัย การชำระเงิน การออกกรมธรรม์ประกันภัย การออก Blue Card และการเชื่อมโยงข้อมูลดังกล่าวกับสำนักงานประกันภัยรถผ่านแดนฯ ให้น้อยลงItem มาตรการทางกฎหมายในการควบคุมสารเคมีในการเกษตรวระเดช ภาวัตเวคิน; กฤษฎากร ว่องวุฒิกุล (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2022)ดุษฎีนิพนธ์นี้มีวัตถุประสงค์ในการศึกษา คือ เพื่อศึกษาถึงความหมาย แนวความคิด และพัฒนาการของกฎหมายที่เกี่ยวกับการควบคุมสารเคมีในการเกษตร เพื่อศึกษาถึงมาตรการทางกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมสารเคมีในการเกษตร เพื่อศึกษาถึงปัญหาทางกฎหมายในการควบคุมสารเคมีในการเกษตร ที่มีผลกระทบต่อด้านต่าง ๆ เพื่อเสนอแนะแนวทางด้านกฎหมายในการควบคุมสารเคมีในการเกษตร อย่างเหมาะสมและยั่งยืน ต่อไป การวิจัยครั้งนี้ผู้ศึกษาใช้วิธีการวิจัยเอกสาร (Documentary Research) โดยได้ศึกษาเปรียบเทียบระหว่างประเทศไทย กับสหภาพยุโรป ประเทศสหรัฐอเมริกา ประเทศแคนาดา ประเทศออสเตรเลีย และประเทศญี่ปุ่น ในประเด็นต่าง ๆ ตามวัตถุประสงค์ของการวิจัย โดยผู้ศึกษามีข้อค้นพบดังนี้ การขึ้นทะเบียน กฎหมายไทยมีความสอดคล้องกับสหภาพยุโรป ประเทศสหรัฐอเมริกา ประเทศแคนาดา ประเทศออสเตรเลีย และประเทศญี่ปุ่น แต่อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยควรปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย โดยกำหนดให้มี “ตัวแทนในการจัดการสารเคมี” และควรกำหนดให้มี “การใช้ข้อมูลร่วมกัน” ในการขึ้นทะเบียนวัตถุอันตรายของประเทศไทย รวมทั้งควรปรับปรุงแก้ไข อายุใบสำคัญการขึ้นทะเบียนวัตถุอันตราย ควรมีอายุ 3 ปี นอกจากนี้มาตรการในการต่ออายุใบอนุญาตนั้น ควรปรับปรุงมาตรการในการต่ออายุใบอนุญาตจะต้องมีมาตรฐานที่เท่ากันหรือมากกว่าตอนยื่นคำขออนุญาตขึ้นทะเบียน การผลิต หรือนำเข้า กฎหมายไทยมีความสอดคล้องกับสหภาพยุโรป และประเทศออสเตรเลีย แต่ไม่สอดคล้องกับประเทศสหรัฐอเมริกา ประเทศแคนาดา และประเทศญี่ปุ่น ซึ่งผู้ศึกษาเห็นว่า กฎหมายไทยควรปรับปรุงแก้ไข โดยกำหนดให้วัตถุอันตรายชนิดที่ 2 และวัตถุอันตรายชนิดที่ 3 จะต้องขออนุญาตก่อนทำการผลิต หรือนำเข้า และผู้ควบคุมการผลิต ควรปรับปรุงแก้ไขให้ผู้ควบคุมการผลิตต้องเข้ารับการอบรมในทุก ๆ 5 ปี ตามหลักสูตรที่กรมวิชาการเกษตรกำหนด การควบคุมฉลาก กฎหมายไทยมีความสอดคล้องกับสหภาพยุโรป ประเทศสหรัฐอเมริกา ประเทศแคนาดา ประเทศออสเตรเลีย และประเทศญี่ปุ่น แต่อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยควรปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย โดยควรกำหนดให้วัตถุอันตรายชนิดที่ 1 จะต้องมีการติดฉลาก นอกจากนี้ ข้อความในฉลากควรจะต้องมีการระบุ “ปริมาณการใช้ในแต่ละครั้ง” รวมทั้ง ควรกำหนดขนาดของฉลาก (กว้างคูณยาว) ทั้งนี้ โดยพิจารณาตามขนาดที่บรจุ การจำหน่าย กฎหมายไทยมีความสอดคล้องกับสหภาพยุโรป และประเทศออสเตรเลีย แต่ไม่สอดคล้องกับประเทศสหรัฐอเมริกา ประเทศแคนาดา และประเทศญี่ปุ่น ซึ่งผู้ศึกษาเห็นควรว่า กฎหมายไทยควรปรับปรุงแก้ไข แยกขั้นตอนการขออนุญาตจำหน่ายออกจากขั้นตอนอื่น และในการออกประกาศนั้น ควรกำหนดให้การยื่นขออนุญาตจำหน่ายในระดับจังหวัด ควรยื่นคำขอต่อสำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตร กรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ แต่ผู้มีอำนาจลงนามในใบอนุญาต ควรให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้มีอำนาจลงนาม และควรกำหนดให้ผู้ควบคุมการจำหน่าย จะต้องจบปริญญาตรีในสาขาที่เกี่ยวข้องกับการเกษตร และจะต้องจัดให้ผู้ควบคุมการจำหน่ายต้องเข้ารับการอบรมในทุก 5 ปี ตามหลักสูตรที่กรมวิชาการเกษตรกำหนด การใช้ กฎหมายไทยมีความสอดคล้องกับสหภาพยุโรป ประเทศสหรัฐอเมริกา ประเทศแคนาดา ประเทศออสเตรเลีย และประเทศญี่ปุ่น แต่อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยควรปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย โดยควรจะต้องปรับปรุงปริมาณสารพิษตกค้าง (MRL) ในผลผลิตทางการเกษตรทุก 1 ปี และในกรณีที่ประเทศคู่ค้ากับประเทศไทย ไม่มีการปลูกผัก หรือผลไม้บางชนิด ควรปรับปรุงค่าปริมาณสารพิษตกค้างสูงสุด (MRL) ของประเทศไทยให้มีค่าต่ำที่สุด และจะต้องเจรจากับประเทศคู่ค้า เพื่อพิจารณาปรับปรุงค่าปริมาณสารพิษตกค้างสูงสุด (MRL) ของประเทศคู่ค้าให้สอดคล้องกับประเทศไทย การเพิกถอน ตามกฎหมายไทยมีความสอดคล้องกับสหภาพยุโรป ประเทศสหรัฐอเมริกา ประเทศแคนาดา ประเทศออสเตรเลีย และประเทศญี่ปุ่น แต่อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยควรปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย โดยควรบัญญัติเพิ่มเติมการอุทธรณ์คำสั่งเพิกถอนไว้ด้วย และควรเพิ่มเติม ให้มีการผลทางวิทยาศาสตร์ยืนยันถึงความเป็นอันตรายแก่บุคคล สัตว์พืช ทรัพย์ หรือสิ่งแวดล้อม โดยไม่มีวิธีปกติตามควรที่จะป้องกันได้ เพื่อประกอบการพิจารณาItem แนวทางการพัฒนาองค์กรในการจัดเก็บภาษีอากรของประเทศไทยสัจจวัตน์ เรืองกาญจน์กุล; ฌานิทธิ์ สันตะพันธุ์ (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2022)องค์กรจัดเก็บภาษีส่วนกลางของไทย ประกอบด้วย กรมสรรพากร กรมสรรพสามิตและกรมศุลกากร ทั้งสามองค์กรดังกล่าวถือเป็นกลไกสำคัญในจัดเก็บเงินได้ให้แก่รัฐบาลเพื่อนำไปใช้ในการบริหารและพัฒนาประเทศให้บรรลุและเป็นไปตามบทบาทภารกิจของรัฐ แต่อย่างไรก็ดี จากการศึกษาปัญหาในการจัดเก็บภาษีทำให้ทราบว่าองค์กรจัดเก็บภาษีมีข้อจำกัดบางประการที่ทำให้การบริหารการจัดเก็บรายได้ไม่เป็นไปตามเป้าหมายประมาณการในแต่ละปี กล่าวคือมีรายได้น้อยกว่าที่ตั้งเป้าหมายในการจัดเก็บไว้ โดยวัตถุประสงค์ในการศึกษานี้เพื่อศึกษาปัญหาและพัฒนารูปแบบองค์กรจัดเก็บภาษีที่เหมาะสมตามแนวคิดองค์กรจัดเก็บภาษีกึ่งอิสระ ที่นำไปสู่การบริหารการจัดเก็บภาษีที่มีความคล่องตัว และสามารถจัดเก็บภาษีให้กับรัฐได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น จากการศึกษา พบว่า รูปแบบ ลักษณะโครงสร้าง อำนาจหน้าที่และการบริหารองค์กรจัดเก็บภาษีในปัจจุบันซึ่งมีสถานะเป็นส่วนราชการอยู่ภายใต้กฎหมาย ระเบียบปฏิบัติที่เคร่งครัด มีสายการบังคับบัญชาที่ยาว ขาดความคล่องตัว และการดำเนินการจัดเก็บภาษีที่ทับซ้อนกันในหลายหน่วยงานทำให้เกิดต้นทุนในการบริหารจัดเก็บที่สูง เช่น อัตราค่าตอบแทนบุคลากรจำนวนมาก แต่กลับไม่จูงใจให้บุคลากรที่มีคุณภาพคงอยู่ เป็นต้น ซึ่งในอดีต ประเทศไทยมีการศึกษาแนวคิดในการจัดตั้งองค์กรจัดเก็บภาษีรูปแบบใหม่เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว เช่น การจัดตั้งทบวงภาษี การจัดตั้งสำนักงานจัดเก็บภาษีแห่งชาติ หรือการจัดตั้งองค์กรจัดเก็บภาษีกึ่งอิสระ แต่ก็ยังไม่สามารถดำเนินการได้สำเร็จ ซึ่งทำให้จำนวนเงินภาษีที่จัดเก็บได้ไม่เพียงพอกับงบประมาณรายจ่ายในแต่ละปี และจากการศึกษารูปแบบองค์กรจัดเก็บภาษีของประเทศสิงคโปร์ มาเลเซียและญี่ปุ่น ที่มีการเปลี่ยนสภาพรูปแบบองค์กรจากความเป็นราชการดั้งเดิมมาเป็นองค์กรจัดเก็บภาษีกึ่งอิสระ ทำให้สามารถแก้ไขปัญหาเรื่องประสิทธิภาพในการจัดเก็บภาษีได้ดีขึ้น ดังนั้น เพื่อการกำหนดรูปแบบองค์กรที่เหมาะสมและเป็นไปได้ ผู้เขียนจึงได้วิเคราะห์ลักษณะเด่น ข้อจำกัดของรูปแบบองค์กรต่างๆ และแนวทางการพัฒนารูปแบบองค์กรจัดเก็บภาษีที่เหมาะสมกับประเทศไทย โดยพบว่าหากมีการพัฒนารูปแบบขององค์กรจัดเก็บภาษีจากการเป็นส่วนราชการภายใต้การบังคับบัญชาของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง มาเป็นรูปแบบองค์กรกึ่งอิสระ โดยการยุบรวมทั้งสามกรมภาษีเดิมมาอยู่ภายใต้องค์กรใหม่โดยการตราพระราชบัญญัติจัดตั้งสำนักงานจัดเก็บภาษีแห่งประเทศไทย พ.ศ. ....ที่มีลักษณะรูปแบบเหมือนองค์การมหาชน ซึ่งยังคงมีฐานะเป็นส่วนราชการที่เป็นเพียงหน่วยงานในการกำกับดูแลของกระทรวงการคลัง ก็จะสามารถแก้ปัญหาการบริหารงานองค์กรให้มีความคล่องตัว เชี่ยวชาญ ลดความซ้ำซ้อนและบูรณาการการจัดเก็บภาษีได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นItem การยุบพรรคการเมืองตามระบบกฎหมายไทยกิตติศักดิ์ หนูชัยแก้ว; ฌานิทธิ์ สันตะพันธุ์ (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2022)ดุษฎีนิพนธ์เรื่อง “การยุบพรรคการเมืองตามระบบกฎหมายไทย” มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาถึงแนวคิด ทฤษฎี วิวัฒนาการของการใช้เสรีภาพในการจัดตั้งพรรคการเมือง และค้นหาขอบเขตที่ชัดเจนทางทฤษฎีในการจำกัดสิทธิและเสรีภาพเกี่ยวกับการยุบพรรคการเมือง และเพื่อวิเคราะห์เปรียบเทียบ หลักเกณฑ์ วิธีการ ผลทางกฎหมาย ของการยุบพรรคการเมืองของประเทศไทยและต่างประเทศ ตลอดจนการศึกษาเพื่อนำเสนอรูปแบบการแก้ไขบทบัญญัติของกฎหมายเกี่ยวกับการยุบพรรคการเมืองที่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการใช้เสรีภาพในการจัดตั้งพรรคการเมือง อันนำไปสู่ข้อเสนอแนะเพื่อให้ได้รูปแบบที่เหมาะสมกับประเทศไทย โดยมีผลที่ได้จากการศึกษาสามประเด็น ดังต่อไปนี้ ประเด็นแรก ปัญหาการยุบพรรคการเมืองที่ส่งผลกระทบต่อเสรีภาพในการจัดตั้งพรรคการเมือง ผลการศึกษาพบว่า กฎหมายว่าด้วยพรรคการเมืองของไทยนำเงื่อนไขของการจัดตั้งพรรคการเมืองไปผูกรวมกับการทำให้พรรคต้องสิ้นสภาพความเป็นพรรคการเมือง ซึ่งมีข้อสังเกตุว่าเป็นลักษณะความต้องการของกฎหมายที่ให้พรรคการเมืองต้องเติบโตอย่างเร่งด่วน ซึ่งผิดกับหลักธรรมชาติของการรวมกลุ่มที่การมีสมาชิกจะต้องค่อยเพิ่มขึ้น แต่กฎหมายได้กำหนดให้ต้องมีจำนวนสมาชิกและต้องจัดตั้งจำนวนสาขาได้ตามที่กำหนด โดยเอาเงื่อนไขเหล่านี้มาเป็นข้อกำหนดให้พรรคการเมืองต้องสิ้นสภาพความเป็นพรรคการเมืองถ้าไม่สามารถดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาที่กำหนด ซึ่งมีลักษณะที่ขัดกับเสรีภาพในการจัดตั้งพรรคการเมืองตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ฉะนั้น การแก้ไขปัญหาทางกฎหมายของจัดตั้งพรรคการเมืองที่ไม่ก่อให้เกิดการยุบพรรคการเมืองของไทย ควรยกเลิกบทบัญญัติที่กำหนดเงื่อนไขของการจัดตั้งพรรคที่ผูกโยงกับการสิ้นสภาพความเป็นพรรคการเมืองส่วนนี้ออก ประเด็นที่สอง ปัญหาของกลไกและบทบัญญัติว่าด้วยการยุบพรรคการเมืองของไทยกับหลักการประชาธิปไตย ผลการศึกษาพบว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (พุทธศักราช 2560) ประกอบพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2561 บัญญัติเหตุที่จะนำไปสู่การยุบพรรคการเมืองได้ถึง 23 กรณี ซึ่งถือเป็นปัญหาที่กำหนดให้เหตุแห่งการยุบพรรคการเมืองของไทยเป็นเกณฑ์อย่างกว้าง และการวางขอบเขตอย่างกว้างเช่นนี้นำไปสู่การวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่มีขอบเขตอย่างกว้างเช่นเดียวกัน อันส่งผลกระทบกระเทือนต่อสารัตถะของการปกครองในระบอบประชาธิปไตยและกระทบต่อการใช้เสรีภาพในการรวมตัวกันเป็นพรรคการเมืองซึ่งถือว่าเป็นเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชนในระบอบประชาธิปไตย จากการศึกษาเปรียบเทียบกับประเทศเยอรมัน ประเทศฝรั่งเศส ประเทศตุรกี และประเทศชิลี ผู้ศึกษามีความเห็นว่าเหตุแห่งการยุบพรรคการเมืองของไทยควรเป็นเกณฑ์อย่างแคบและศาลรัฐธรรมนูญยังคงเป็นองค์กรที่มีความเหมาะสมในการวินิจฉัยคดีการยุบพรรคการเมืองแต่ควรวินิจฉัยโดยจำกัดอำนาจของตนเองอย่างยิ่ง และควรใช้มาตรการในการยุบพรรคการเมืองเป็นมาตรการสุดท้ายที่มิสามารถใช้มาตรการอื่นได้แล้วและการวินิจฉัยที่จะนำไปสู่การยุบพรรคการเมืองได้จะต้องมีพยานหลักฐานอย่างชัดเจนเพียงพอและการกระทำของพรรคการเมืองมีท่าที่เป็นปฏิปักษ์ต่อระบบการปกครองอย่างชัดแจ้ง ซึ่งการวินิจฉัยควรคำนึงถึงหลักความได้สัดส่วนด้วย ประเด็นที่สาม ปัญหาผลทางกฎหมายอันเนื่องมาจากการยุบพรรคการเมือง ผลการศึกษาพบว่า เมื่อพรรคการเมืองใดโดนยุบพรรคโดยศาลรัฐธรรมนูญแล้วทำให้คณะกรรมการบริหารพรรคการเมืองทุกคนต้องถูกเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งไปด้วย ซึ่งไม่ได้กำหนดระยะเวลาว่านานเท่าใด (แนวคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญกำหนดโทษ 10 ปี) ดังนั้น ผู้ศึกษามีความเห็นว่าควรที่จะแก้ไขบทบัญญัติของกฎหมายไทยให้สอดคล้องกับหลักประชาธิปไตยและมีความสอดคล้องกับนานาประเทศ โดยลงโทษเฉพาะผู้ที่มีส่วนร่วมในการกระทำความผิดเท่านั้นไม่ว่าจะเป็นคณะกรรมการบริหารพรรคการเมืองหรือสมาชิกพรรคการเมือง ส่วนของการกำหนดระยะเวลาในการตัดสิทธิทางการเมืองควรกำหนดระยะเวลาสูงสุดไม่เกิน 5 ปี โดยให้ศาลรัฐธรรมนูญใช้ดุลยพินิจในการลงโทษโดยคำนึงถึงความร้ายแรงและพฤติการณ์ของการกระทำความผิดนั้น และยังส่งผลต่อสมาชิกพรรคในหลายกรณีอีกด้วย นอกจากนี้ เมื่อพรรคการเมืองถูกยุบลงแล้วย่อมส่งผลเสียมากกว่าผลดีต่อโครงสร้างทางการเมืองการปกครองของไทย และไม่ได้เป็นแนวทางหรือมาตรการในการแก้ปัญหาทางการเมืองไทยให้ดีขึ้น แต่ในทางกลับกันเป็นการเพิ่มปัญหาต่อกระบวนการพัฒนาพรรคการเมืองให้เป็นสถาบันทางการเมืองเสียมากกว่า ประกอบกับทำให้พรรคการเมืองไทยมีความอ่อนแอลงมากขึ้นและได้ใช้กลไกนี้เพื่อหวังผลทางการเมืองอีกด้วย ข้อเสนอแนะ การยุบพรรคการเมืองควรมีได้เฉพาะเหตุร้ายแรงและควรบัญญัติให้มีความชัดเจนไว้ในบทบัญญัติรัฐธรรมนูญที่กระทบต่อหลักการพื้นฐานในเหตุสองลักษณะ คือ พรรคการเมืองกระทำการล้มล้างหรือเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และควรนำมาตรการ “สั่งให้เลิกการกระทำ” มาใช้แทนการยุบพรรคการเมืองในกรณีที่มีความร้ายแรงระดับกลาง ส่วนกรณีที่พรรคการเมืองต้องสิ้นสภาพความเป็นพรรคการเมืองต้องเป็นกรณีที่เลิกพรรคเองตามข้อบังคับ ส่วนกรณีอื่น ๆ เห็นควรยกเลิก โดยมีเป้าประสงค์เพื่อมุ่งคุ้มครองเสรีภาพในการรวมตัวกันเป็นพรรคการเมืองของประชาชนเป็นสำคัญItem ปัญหาทางกฎหมายเกี่ยวกับสัญญาการแช่แข็งร่าง (Cryonics) เพื่อรอรับการรักษาด้วยวิทยาการและเทคโนโลยีในอนาคตแคทรีน สหชัยยันต์; เกียรติพร อำไพ (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2022)ดุษฎีนิพนธ์ฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัญหาทางกฎหมายเกี่ยวกับสัญญาการแช่แข็งร่างเพื่อรอรับการรักษาด้วยวิทยาการและเทคโนโลยีในอนาคต (Cryopreservation Contract) โดยศึกษาวิวัฒนาการข้อความคิดทั่วไปเกี่ยวกับการแช่แข็งร่างด้วยเทคโนโลยีไครโอนิกส์ (Cryonics) หลักการทั่วไปทางนิติกรรมสัญญา หลักการทางสัญญาสิทธิทฤษฎีและแนวคิดภายใต้หลักการเข้าสู่กระบวนการทางสัญญาการแช่แข็งร่าง พร้อมทั้งวิเคราะห์ปัญหาทางกฎหมายเกี่ยวกับสัญญาการแช่แข็งร่างเพื่อรอรับการรักษาด้วยวิทยาการและเทคโนโลยีในอนาคตในประเด็นปัญหาแนวคิดทางจริยธรรม ศาสนา ศีลธรรม และนิติปรัชญา ปัญหาทางกฎหมายเกี่ยวกับสถานะทางกฎหมายของร่างและความเป็นผู้ทรงสิทธิ ปัญหาความสมบูรณ์ของสัญญาการแช่แข็งร่างด้วยเทคโนโลยีไครโอนิกส์จากหลักการทั่วไปทางสัญญาเกี่ยวกับประเด็นผู้ทรงสิทธิ ความสามารถของผู้ทรงสิทธิกรณีผู้เยาว์ การกำหนดแบบ และวัตถุประสงค์ของสัญญา และปัญหาการขาดหน่วยงานกำกับดูแลและการขาดอำนาจในการควบคุมการประกอบธุรกิจการแช่แข็งร่าง ทั้งนี้ ผู้เขียนศึกษาแนวทางขององค์การอนามัยโลกตลอดจนศึกษาวิเคราะห์เปรียบเทียบแนวคิดการรับรองและแนวปฏิบัติของประเทศสหรัฐอเมริกา ประเทศอังกฤษ ประเทศแคนาดา กับประเทศไทย เพื่อให้ได้แนวทางที่เหมาะสมในการกำกับดูแลธุรกิจการแช่แข็งร่างและการพัฒนากลไกทางกฎหมายที่เกี่ยวข้องนำมาซึ่งมาตรการที่ดีสำหรับสัญญาการแช่แข็งร่างในประเทศไทย เมื่อทำการศึกษาพบว่า กฎหมายไทยขาดหลักเกณฑ์การกำหนดความเป็นผู้ทรงสิทธิ ไม่มีหลักเกณฑ์เฉพาะที่ใช้บังคับแก่รูปแบบและวิธีการทำสัญญาการแช่แข็งร่าง ผลทางกฎหมายบางประการในกรณีที่การชําระหนี้ตามสัญญาการแช่แข็งร่างกลายเป็นพ้นวิสัยในภายหลัง และการเลิกสัญญาการแช่แข็งร่าง นอกจากนี้ไม่ปรากฏบทบัญญัติพิเศษเกี่ยวกับหน่วยงานกำกับดูแลการประกอบธุรกิจแช่แข็งร่าง อย่างไรก็ตาม หลักกฎหมายบางหลัก เช่น หลักอิสระในทางแพ่ง หลักเสรีภาพในการทำสัญญา หลักความศักดิ์สิทธิ์ของการแสดงเจตนา หลักเสรีนิยม และหลักความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน ยังสามารถนำมาปรับใช้ได้ เนื่องจากเป็นเรื่องใหม่จึงยังไม่มีกฎหมายเฉพาะบังคับใช้ในประเทศไทย ผู้เขียนเสนอให้มีการบัญญัติกฎหมายเฉพาะเป็น “พระราชบัญญัติว่าด้วยการแช่แข็งร่างเพื่อรอรับการรักษาด้วยวิทยาการและเทคโนโลยีในอนาคต” และเสนอแนะทางเลือกในการจัดหาเงินทุนในรูปแบบประกันชีวิตและการบริหารจัดการทรัพย์สินในรูปแบบทรัสต์ ทั้งนี้ ผู้เขียนได้เสนอแนะแนวทางในการจัดหาเงินทุนเพื่อการแช่แข็งร่างในรูปแบบของประกันชีวิตและวิธีการบริหารจัดการทรัพย์สินในรูปแบบของกองทรัสต์ไว้พอสังเขปItem ปัญหาการคุ้มครองดูแลผู้สูงอายุในกฎหมายไทย : ศึกษากรณีหน่วยบริการหรือศูนย์ในการดูแลสุขภาพของผู้สูงอายุตามกฎหมายหลักประกันสุขภาพแห่งชาติทัศน์วรรณ สุมาลัย; บรรเจิด สิงคะเนติ (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2022)วิทยานิพนธ์ปัญหาการคุ้มครองดูแลผู้สูงอายุในกฎหมายไทย ศึกษากรณีหน่วยบริการหรือศูนย์ในการดูแลสุขภาพของผู้สูงอายุตามกฎหมายหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ฉบับนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความหมาย แนวคิด ทฤษฎีเกี่ยวกับผู้สูงอายุ การคุ้มครองดูแลสุขภาพและการจัดสวัสดิการสำหรับผู้สูงอายุ โดยศึกษาเปรียบเทียบกฎหมายเกี่ยวกับการคุ้มครองดูแลสุขภาพและการจัดสวัสดิการสำหรับผู้สูงอายุทั้งของประเทศไทยและต่างประเทศ เพื่อนำมาวิเคราะห์ถึงปัญหาในการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและความเชื่อมโยงสัมพันธ์กับหน่วยงานภาครัฐส่วนอื่น รวมไปถึงการศึกษารูปแบบที่เหมาะสมกับการดูแลระยะยาวสำหรับผู้สูงอายุที่อยู่ในภาวะพึ่งพิงเพื่อนำมาปรับประยุกต์ใช้กับสังคมไทย จากการศึกษาได้ค้นพบปัญหาทั้งระดับนโยบาย ข้อจำกัดของกฎหมายหรือระเบียบที่เกี่ยวข้องหลายประการที่กระทบถึงสิทธิขั้นพื้นฐานของผู้สูงอายุที่อยู่ในภาวะพึ่งพิง อันนำมาสู่ข้อเสนอแนะในการปรับปรุงระดับนโยบาย และแก้ไข เพิ่มเติมกฎหมายเกี่ยวกับการคุ้มครองดูแลสุขภาพของผู้สูงอายุในชุมชนให้เหมาะสมกับเหตุการณ์และสภาวะสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป เพื่อรองรับการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์ในระยะเวลาอันใกล้นี้Item หลักเกณฑ์การกำกับดูแลตนเองที่เหมาะสมในตลาดซื้อขายแลกเปลี่ยนหลักทรัพย์ของประเทศไทยปกรณ์ วิญญูหัตถกิจ; นเรศร์ เกษะประกร (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2022)การกำกับดูแลตนเองเป็นการกำกับดูแลรูปแบบหนึ่งที่นิยมนำมาใช้อย่างกว้างขวาง โดยเปิดโอกาสให้สมาชิกในกลุ่มวิชาชีพหรือกลุ่มธุรกิจได้เข้ามามีบทบาทในการกำกับดูแลสมาชิกด้วยกันเอง ประเทศไทยก็ได้นำแนวทางการกำกับดูแลตนเองดังกล่าวมาใช้ในตลาดซื้อขายแลกเปลี่ยนหลักทรัพย์ (ตลาดรอง) ของประเทศไทย โดยมีองค์กรกำกับดูแลตนเองทั้งในระดับตลาดหลักทรัพย์ อันได้แก่ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และในระดับสมาคมธุรกิจหลักทรัพย์ อันได้แก่ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย อย่างไรก็ตามหลักเกณฑ์การกำกับดูแลตนเองในปัจจุบันก็ก่อให้เกิดปัญหาที่สำคัญหลายประการดังนี้ (1) พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 ไม่ได้รับรองสถานะองค์กรกำกับดูแลตนเองในตลาดซื้อขายแลกเปลี่ยนหลักทรัพย์ ทำให้เกิดความไม่ชัดเจนว่าองค์กรใดบ้างที่มีสถานะเป็นองค์กรกำกับดูแลตนเองและควรมีความรับผิดตามกฎหมายอย่างไร (2) ไม่มีหลักเกณฑ์ที่ส่งเสริมให้มีองค์กรกำกับดูแลตนเองในระดับสมาคมธุรกิจหลักทรัพย์ได้หลายแห่ง ทำให้ไม่มีองค์กรที่สามารถแบ่งเบาภาระงานด้านการกำกับดูแลสมาชิกได้อย่างเต็มที่หากมีการแปรรูปตลาดหลักทรัพย์ในอนาคต และ (3) หลักเกณฑ์การกำกับดูแลตนเองตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 ไม่เพียงพอต่อการคุ้มครองผู้มีส่วนได้เสียในตลาดซื้อขายแลกเปลี่ยนหลักทรัพย์อย่างเหมาะสม เนื่องจากสร้างความไม่เป็นธรรมแก่ผู้มีส่วนได้เสียอื่นที่ไม่ใช่สมาชิกในตลาด ก่อให้เกิดการรวมกลุ่มกันของสมาชิกองค์กรกำกับดูแลตนเองเพื่อกีดกันการแข่งขัน และทำให้เกิดการขัดกันของผลประโยชน์ระหว่างสมาชิกขององค์กรกำกับดูแลตนเองและผู้ลงทุน ทั้งนี้จากการศึกษาหลักเกณฑ์การกำกับดูแลตนเองในตลาดซื้อขายแลกเปลี่ยนหลักทรัพย์ของต่างประเทศ อันได้แก่ มาเลเซีย เกาหลีใต้ และสหรัฐอเมริกา พบว่าทุกประเทศที่เลือกศึกษามีการรับรองสถานะองค์กรกำกับดูแลตนเองไว้ในกฎหมายเกี่ยวกับหลักทรัพย์ อีกทั้งหลักเกณฑ์ของมาเลเซียและสหรัฐอเมริกาก็เปิดโอกาสให้มีองค์กรกำกับดูแลตนเองในระดับสมาคมธุรกิจหลักทรัพย์ได้หลายแห่ง โดยสมาคมธุรกิจหลักทรัพย์ของสหรัฐอเมริกาที่ถูกรับรองให้เป็นองค์กรกำกับดูแลตนเองตามกฎหมายสามารถแบ่งเบาภาระหน้าที่การกำกับดูแลสมาชิกของตลาดหลักทรัพย์ภายหลังการแปรรูปแล้วได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ทุกประเทศที่เลือกศึกษามีการกำหนดหลักเกณฑ์การกำกับดูแลตนเองที่ดีเพื่อสร้างความเป็นธรรมและความโปร่งใสที่คล้ายคลึงกัน เช่น มีการรับฟังความคิดเห็นของผู้มีส่วนได้เสีย มีกระบวนการจัดการข้อเรียกร้อง มีการเปิดเผยร่างของกฎเกณฑ์ กฎเกณฑ์ และคำวินิจฉัย เป็นต้น ส่วนหลักเกณฑ์ที่กำหนดเพื่อคุ้มครองผู้ลงทุนมีความแตกต่างกันในหลายเรื่อง ตัวอย่างเช่น มาเลเซียกำหนดสัดส่วนกรรมการอิสระในคณะกรรมการขององค์กรกำกับดูแลตนเองน้อยกว่ากึ่งหนึ่ง ในขณะที่เกาหลีใต้กำหนดสัดส่วนกรรมการอิสระไว้มากกว่ากึ่งหนึ่ง ตลาดหลักทรัพย์ของมาเลเซียและสหรัฐอเมริกามีการแยกส่วนงานกำกับดูแลสมาชิกออกมาเป็นบริษัทโดยเฉพาะ ในขณะที่องค์กรกำกับดูแลส่วนใหญ่ได้แยกออกมาเพียงคณะกรรมการกำกับดูแลสมาชิก มาเลเซียมีกลไกการกำกับการดำเนินงานขององค์กรกำกับดูแลตนเองที่ครบถ้วนมากกว่าประเทศอื่น โดยแฉพาะการกำหนดหน้าที่ให้องค์กรกำกับดูแลตนเองต้องแจ้งให้หน่วยงานกำกับดูแลของรัฐทราบเมื่อมีการลงโทษสมาชิก และการให้อำนาจหน่วยงานกำกับดูแลของรัฐเข้าทำหน้าที่แทนองค์กรกำกับดูแลตนเองได้ในบางกรณี เป็นต้น ดังนั้นผู้เขียนมีข้อเสนอแนะว่าควรนำแนวทางการกำกับดูแลตนเองของต่างประเทศมาแก้ไขปัญหาของประเทศไทยดังนี้ (1) ควรปรับปรุงแก้ไขพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 ให้มีบทบัญญัติรับรองสถานะองค์กรกำกับดูแลตนเอง (2) กำหนดหลักเกณฑ์ส่งเสริมให้มีองค์กรกำกับดูแลตนเองในระดับสมาคมธุรกิจหลักทรัพย์ได้หลายแห่ง และ (3) ควรปรับปรุงแก้ไขหลักเกณฑ์การกำกับดูแลตนเองให้เป็นธรรม โปร่งใส และคุ้มครองผู้ลงทุนได้มากขึ้น เช่น ควรกำหนดโครงสร้างของคณะกรรมการองค์กรกำกับดูแลตนเองให้มีสัดส่วนกรรมการอิสระมากกว่ากึ่งหนึ่ง ควรกำหนดให้มีคณะอนุกรรมการกำกับดูแลสมาชิกโดยเฉพาะ ควรเพิ่มอำนาจให้ ก.ล.ต. สามารถกำกับการดำเนินงานขององค์กรกำกับดูแลตนเองได้มากขึ้น ซึ่งรวมถึงการเข้าไปปฏิบัติหน้าที่แทนองค์กรกำกับดูแลตนเองได้ เป็นต้นItem มาตรการในการควบคุมการกระทำความผิดอาญาที่เกี่ยวกับสกุลเงินดิจิทัลพงศ์จิรา เชิดชู; อัญธิกา ณ พิบูลย์ (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2022)ดุษฎีนิพนธ์นี้มีวัตถุประสงค์เพื่อแสวงหามาตรการที่เหมาะสมในการควบคุมการกระทำความผิดอาญาเกี่ยวกับสกุลเงินดิจิทัล สืบเนื่องจากปัจจุบันการใช้หรือการถือครองสกุลเงินดิจิทัลในภาคประชาชนยังปราศจากกลไกการควบคุมทางกฎหมาย หากมีการนำไปใช้หรือได้มาโดยมิชอบอาจส่งผลเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจและสังคมโดยรวมได้ จากการศึกษาถึงกฎหมายและมาตรการทางอาญาที่เกี่ยวข้องพบประเด็นปัญหาที่สำคัญ คือ ปัญหาความไม่ชัดเจนเกี่ยวกับสถานะทางกฎหมายของสกุลเงินดิจิทัล ปัญหาฐานความผิดตามกฎหมายที่มีอยู่ไม่ครอบคลุมถึงกรณีการขโมยสกุลเงินดิจิทัลและกรณีการใช้ทรัพยากรคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นโดยมิชอบ และปัญหาความร่วมมือทางอาญาระหว่างประเทศ จึงนำมาสู่การแสวงหามาตรการที่เหมาะสมโดยการมีกฎหมายสารบัญญัติที่ชัดเจนเพื่อให้การบังคับใช้กฎหมายเป็นไปอย่างมีเอกภาพ ควบคู่ไปกับการใช้มาตรการความร่วมมือทางอาญาระหว่างประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับหลักสากล โดยวิเคราะห์กฎหมายภายใน กฎหมายต่างประเทศ มาตรการความร่วมมือทางอาญาระหว่างประเทศ และใช้วิธีดำเนินการวิจัยเชิงคุณภาพ ด้วยการวิจัยเอกสารและรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องจากหนังสือ งานวิจัย ตัวบทกฎหมาย ตำรา วารสาร บทความ คำพิพากษาฎีกา ข้อเสนอแนะของดุษฎีนิพนธ์นี้ ประกอบด้วยข้อเสนอแนะทางกฎหมาย คือ ควรกำหนดสถานะทางกฎหมายให้กับสกุลเงินดิจิทัลไว้เป็นการเฉพาะ และเพิ่มเติมบทบัญญัติกรณีที่ยังเป็นช่องว่างทางกฎหมายให้เป็นความผิดอาญา ส่วนข้อเสนอแนะอื่น ๆ ผู้เขียนได้เสนอให้ควรมีการส่งเสริมการแลกเปลี่ยนความรู้ ทักษะที่จำเป็นในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมเกี่ยวกับสกุลเงินดิจิทัลให้แก่เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง และควรให้ความรู้แก่ประชาชนในการใช้งานและการถือครองสกุลเงินดิจิทัลอย่างปลอดภัย รวมถึงควรมีการรวบรวมแนวปฏิบัติความร่วมมือทางอาญาระหว่างประเทศทั้งรูปแบบที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการ เพื่อให้การควบคุมการกระทำความผิดเกี่ยวกับสกุลเงินดิจิทัลภายใต้กรอบของกฎหมายอาญาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพItem กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ต้องขังในประเทศไทยนิดาวรรณ เพราะสุนทร; บรรเจิด สิงคะเนติ (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2022)กฎหมายการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ต้องขังในประเทศไทยในปัจจุบัน ต่ำกว่ามาตรฐานสากลและไม่ทัดเทียมกับนานาอารยประเทศ ซึ่งผู้ต้องขังอาจได้รับความเสียหายจากการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาแนวคิด และทฤษฎีอันเกี่ยวกับสิทธิในความเป็นส่วนตัวเกี่ยวกับข้อมูลของผู้ต้องขัง 2) ศึกษาระบบและมาตรการกฎหมายในกติกาสากล กฎหมายต่างประเทศ และกฎหมายไทยที่เกี่ยวข้องในการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ต้องขัง 3) วิเคราะห์ปัญหากฎหมายการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ต้องขังในประเทศไทย 4) เสนอแนะแนวทางในการพัฒนาและปรับปรุงกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ต้องขังในประเทศไทย โดยมีคำถามวิจัยว่า ประเทศไทยควรมีกฎหมายในการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ต้องขังอย่างไร และอยู่ภายใต้สมมุติฐานว่า การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ต้องขังภายใต้ พระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 ไม่เหมาะสม ไม่สอดคล้องกับลักษณะข้อมูลของผู้ต้องขัง ตลอดจนอำนาจหน้าที่ภารกิจของราชทัณฑ์ ผลการวิจัยพบว่า การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ต้องขังในประเทศไทย อยู่ภายใต้พระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 เนื่องจากพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 ไม่ให้ใช้กับข้อมูลที่ใช้ในกระบวนการยุติธรรม และพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พ.ศ. 2560 ไม่ได้มีบทบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ต้องขังไว้แต่อย่างใด และพบว่า เป็นไปตามสมมุติฐาน กล่าวคือพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 ไม่สอดคล้องกับลักษณะข้อมูลของผู้ต้องขังที่มีลักษณะเฉพาะแตกต่างจากข้อมูลทั่วไป อันได้แก่ อัตลักษณ์ การแบ่งชั้น การพัฒนาพฤตินิสัยผู้ต้องขัง ทั้งยังไม่มีบทบัญญัติคุ้มครองข้อมูลอ่อนไหว (Sensitive Information) และไม่สอดคล้องกับการใช้ข้อมูลตามภารกิจของราชทัณฑ์ ซึ่งแตกต่างจากการคุ้มครองข้อมูลผู้ต้องขังตามมาตรฐานสากลและนานาประเทศ ที่คุ้มครองข้อมูลผู้ต้องขังในระดับที่สูงกว่าข้อมูลทั่วไปและคำนึงถึงการใช้ข้อมูลเพื่อความปลอดภัยของสังคมส่วนรวม ผู้เขียนจึงเสนอแนะให้แก้ไขพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พ.ศ. 2560 เพิ่มเติม โดยให้มีบทคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ต้องขัง ตามแนวทางมาตรฐานสากล โดยกำหนดนิยามคำสำคัญ อาทิ ข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ต้องขัง การประมวลผลข้อมูล ตลอดจนแบ่งประเภทข้อมูลรวมถึงข้อมูลอ่อนไหว กำหนดมาตรการการคุ้มครองข้อมูลของผู้ต้องขัง กำหนดสิทธิของผู้ต้องขังและหน้าที่ของราชทัณฑ์ เพื่อให้ราชทัณฑ์สามารถใช้ข้อมูลดังกล่าวเพื่อรักษาความเรียบร้อยในสังคมได้อย่างมีประสิทธิภาพItem ปัญหาทางกฎหมายในคดีพิพาทระหว่างสถาบันอุดมศึกษาเอกชนกับอาจารย์ประจำศึกษากรณีสถาบันอุดมศึกษาเอกชนเลิกจ้างอาจารย์ประจำเนติ ปิ่นมณี; ฌานิทธิ์ สันตะพันธุ์ (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2022)ดุษฎีนิพนธ์ฉบับนี้มุ่งศึกษาปัญหาทางกฎหมายในคดีพิพาทระหว่างสถาบันอุดมศึกษาเอกชนกับอาจารย์ประจำ ศึกษากรณีสถาบันอุดมศึกษาเอกชนเลิกจ้างอาจารย์ประจำ ทั้งนี้ในปัจจุบันสามารถพบมูลคดีพิพาทที่สถาบันอุดมศึกษาเอกชนเลิกจ้างอาจารย์ประจำได้สามประเภท คือ 1) มูลคดีที่สถาบันอุดมศึกษาเอกชนเลิกจ้างอาจารย์ประจำอันเนื่องมาจากคำสั่งทางปกครอง 2) มูลคดีที่สถาบันอุดมศึกษาเอกชนเลิกจ้างอาจารย์ประจำอันเนื่องมาจากสัญญาทางปกครอง และ 3) มูลคดีที่สถาบันอุดมศึกษาเอกชนเลิกจ้างอาจารย์ประจำอันเนื่องมาจากสัญญาจ้างแรงงาน โดยศาลปกครองและศาลแรงงานต่างมีความเห็นว่าคดีพิพาทที่สถาบันอุดมศึกษาเอกชนเลิกจ้างอาจารย์ประจำนั้นอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของตน และต่อมาคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลได้มีคำวินิจฉัยให้คดีพิพาทดังกล่าวอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลแรงงานโดยให้เหตุผลสอดคล้องกับความเห็นของศาลแรงงาน แต่มิได้ให้เหตุผลว่าเพราะเหตุใดคดีพิพาทดังกล่าวจึงมิได้อยู่ในอำนาจพิพากษาของศาลปกครอง ซึ่งอาจส่งผลต่อความชัดเจนในการเตรียมคดีของผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายรวมถึงการพัฒนากฎหมายต่าง ๆ ให้มีความสมบูรณ์เพื่อรองรับการดำเนินการต่างๆเกี่ยวกับคดีที่สถาบันอุดมศึกษาเอกชนเลิกจ้างอาจารย์ประจำ โดยมีวัตถุประสงค์ของการทำดุษฎีนิพนธ์สี่ประการ คือ 1) เพื่อศึกษาสถานะของสถาบันอุดมศึกษาเอกชน 2) เพื่อศึกษานิติสัมพันธ์ระหว่างสถาบันอุดมศึกษาเอกชนกับอาจารย์ประจำ 3) เพื่อศึกษามูลคดีพิพาทอันเนื่องมาจากสถาบันอุดมศึกษาเอกชนเลิกจ้างอาจารย์ประจำ 4) เพื่อศึกษากฎหมายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับกรณีสถาบันอุดมศึกษาเอกชนเลิกจ้างอาจารย์ประจำว่ามีความเหมาะสมและเพียงพอหรือไม่ รวมถึงมีปัญหาที่เกิดขึ้นจากการใช้บทบัญญัติของกฎหมายต่าง ๆ ในกรณีสถาบันอุดมศึกษาเอกชนเลิกจ้างอาจารย์ประจำหรือไม่ ทั้งนี้ถ้าบทบัญญัติของกฎหมายที่ใช้อยู่ในปัจจุบันมีไม่เพียงพอหรือไม่เหมาะสม หรือมีปัญหาในเรื่องการตีความบทบัญญัติของกฎหมายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ก็จะเสนอแนะแนวทางการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น จากการศึกษาพบว่าสถานะของสถาบันอุดมศึกษาเอกชนมิใช่องค์กรเอกชนโดยแท้ (Purely Private) แต่เป็นหน่วยงานที่รัฐมอบหมายให้จัดทำบริการสาธารณะด้านการบริการการศึกษา ซึ่งมีสถานะในทำนองเดียวกันในหลายประเทศ เช่น องค์กรเอกชนที่จัดทำบริการสาธารณะ (Quasi-Public Institution) ในประเทศสหรัฐอเมริกา และองค์กรเอกชนที่มีสถานะเป็นมหาวิทยาลัย (Deemed to be a University) ในประเทศอินเดีย ส่วนในประเทศไทยนั้นสถาบันอุดมศึกษาเอกชนมีสถานะเป็น หน่วยงานทางปกครอง ตามมาตรา 3 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 โดยนิติสัมพันธ์ระหว่างสถาบันอุดมศึกษาเอกชนกับอาจารย์ประจำอยู่ในรูปแบบผสม (Hybrid Status) ในระบบกฎหมายมหาชน และระบบกฎหมายเอกชนเนื่องจากอาจารย์ประจำนอกจากจะปฏิบัติงานตามสัญญาจ้างบุคลากรในงานด้านวิชาการที่เกี่ยวข้องกบการผลิตบัณฑิต การทำวิจัย และการบริการวิชาการแก่สังคม ซึ่งเป็นนิติสัมพันธ์ในระบบกฎหมายมหาชนซึ่งเกี่ยวข้องกับประสิทธิภาพของบริการสาธารณะด้านการศึกษาโดยตรงแล้ว อาจารย์ประจำยังได้ปฏิบัติงานด้านการสนับสนุนต่าง ๆ ได้ด้วย เช่น งานนิติการ งานวิเทศสัมพันธ์ จึงต้องปฏิบัติตามข้อบังคับสถาบันอุดมศึกษาเอกชนที่ไม่เกี่ยวข้องกับงานด้านวิชาการ เช่น ข้อบังคับสถาบันอุดมศึกษาเอกชนว่าด้วยการบริหารงานบุคคลซึ่งเป็นนิติสัมพันธ์ด้านการจ้างแรงงานในระบบกฎหมายเอกชน โดยสัญญาจ้างบุคลากรในสถาบันอุดมศึกษาเอกชนได้เปิดช่องให้สถาบันอุดมศึกษาเอกชนหรืออธิการบดีมอบหมายให้อาจารย์ประจำปฏิบัติงานด้านสนับสนุนได้ ส่วนมูลคดีพิพาทที่สถาบันอุดมศึกษาเอกชนเลิกจ้างอาจารย์ประจำสามารถจำแนกได้เป็นสองแบบ โดยอาศัยเหตุการณ์ที่เป็นจุดเริ่มต้นแห่งการเลิกจ้างนั้น ๆ เป็นเครื่องมือในการช่วยพิจารณาว่ามูลคดีพิพาทดังกล่าวจะเป็นมูลคดีประเภทใดและอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลใด ทั้งนี้หากเหตุการณ์ที่เป็นจุดเริ่มต้นแห่งการเลิกจ้าง เป็นกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับประสิทธิของการผลิตบัณฑิต การทำวิจัย และการบริการวิชาการแก่สังคมโดยตรง จะถือเป็นคดีพิพาทที่อยู่ในอำนาจพิจารณาของศาลปกครองซึ่งเป็นศาลในระบบกฎหมายมหาชนที่มีหน้าที่ตรวจสอบความชอบด้วยกฎหมายของการจัดทำบริการสาธารณะ ทั้งนี้เพื่อคุ้มครองคุณธรรมทางกฎหมาย (Merit) ด้านประสิทธิภาพของการจัดทำบริการสาธารณะด้านการศึกษา โดยศาลปกครองน่าจะกำหนดมูลคดีพิพาทที่สถาบันอุดมศึกษาเอกชนเลิกจ้างอาจารย์ประจำเป็นมูลคดีพิพาทที่สถาบันอุดมศึกษาเอกชนออกคำสั่งทางปกครองมีผลเป็นการเลิกจ้างโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ตามมาตรา 9 วรรคหนึ่ง (1) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2542 ซึ่งจะเป็นการกำหนดให้อาจารย์ประจำได้รับคำสั่งเลิกจ้างดังกล่าวต้องดำเนินการอุทธรณ์คำสั่งเลิกจ้าง ต่อคณะกรรมการการอุดมศึกษา ตามมาตรา 97 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติสถาบันอุดมศึกษาเอกชน พ.ศ. 2546 โดยคณะกรรมการการอุดมศึกษาซึ่งเป็นฝ่ายปกครองที่มีหน้าที่กำกับดูแลประสิทธิภาพการจัดทำบริการสาธารณะด้านการศึกษาของสถาบันอุดมศึกษาเอกชนจะได้ตรวจสอบพิจารณากำหนดมาตรการที่มีความเหมาะสมในการพัฒนาบริการสาธารณะด้านการศึกษาโดยสถาบันอุดมศึกษาเอกชนต่อไป แต่หากเหตุการณ์ที่เป็นจุดเริ่มต้นแห่งการเลิกจ้างเป็นกิจกรรมอื่น ๆ ที่มิได้เกี่ยวข้องกับประสิทธิภาพของบริการสาธารณะด้านการศึกษาโดยตรงแล้ว จะถือเป็นคดีพิพาทที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลแรงงานในระบบกฎหมายเอกชน ตามมาตรา 8 วรรคหนึ่ง (1) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 นอกจากนั้นสถาบันอุดมศึกษาเอกชนควรจัดให้มีหลักเกณฑ์และวิธีการบอกเลิกจ้างอาจารย์ประจำตามแนวทางที่คณะกรรมการการอุดมศึกษาได้กำหนดไว้เพื่อเป็นหลักประกันอาจารย์ประจำอยู่ในฐานะประธานแห่งสิทธิมิใช่วัตถุที่ถูกมุ่งหมายกระทำต่อ สำหรับค่าทดแทนความเสียควรพิจารณารอบด้านเพราะมีบางกรณีที่การเลิกจ้างดังกล่าวอาจเกิดขึ้นโดยมิใช่ความผิดของอาจารย์ประจำแต่เกิดจากความจำเป็นที่ต้องปรับปรุงเปลี่ยนแปลงบริการสาธารณะให้สอดคล้องกับความต้องการองค์ความรู้ที่แท้จริง (Truth) ที่สังคมต้องการซึ่งมีรูปแบบที่หลากหลายเป็นเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วแบบพลวัติ (Dynamic) รวมถึงการกำหนดแนวทางการเยียวยาต่อประสิทธิภาพของบริการสาธารณะด้านการศึกษาเนื่องจากการเลิกจ้างอาจารย์ประจำสถาบันอุดมศึกษาเอกชนด้วย