Research Reports

Permanent URI for this collectionhttps://repository.nida.ac.th/handle/123456789/7159

Browse

Recent Submissions

Now showing 1 - 5 of 5
  • Thumbnail Image
    Item
    แนวทางการพัฒนาหลักเกณฑ์การขอทุนวิจัยหลังปริญญาเอก สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์กับมหาวิทยาลัยของรัฐ
    สมปรารถนา ขจรวงศ์ไพศาล; วิสาขา ภู่จินดา (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2013)
    การศึกษาวิจัยเรื่อง “แนวทางการพัฒนาหลักเกณฑ์การขอทุนวิจัยหลังปริญญาเอก สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์กับมหาวิทยาลัยของรัฐ” มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินประสิทธิผลของโครงการวิจัยหลังปริญญาเอกของสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์และเสนอการปรับปรุงโครงการวิจัยหลังปริญญาเอกหรือการพัฒนาโครงการวิจัยที่มีความสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ของสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ ด้านการวิจัย ในการวิจัยนี้ได้ใช้แบบสัมภาษณ์นักวิจัยและอาจารย์ที่ปรึกษาที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นตามวัตถุประสงค์ของการวิจัย ประกอบด้วยคำถามปลายเปิดซึ่งผู้วิจัยจะต้องนำมาสังเคราะห์ความเห็นเพื่อให้ได้ข้อมูลและผู้วิจัยนำข้อมูลที่ได้จากเอกสาร และจากการสัมภาษณ์เชิงลึกมาวิเคราะห์เนื้อหา และอาศัยกรอบแนวคิด ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องมาร่วมวิเคราะห์คำตอบ ผลการวิจัย พบว่าประสิทธิผลของการดำเนินงานโครงการวิจัยหลังปริญญาเอกนักวิจัยมีความเข้าใจโครงการวิจัยหลังปริญญาเอกซึ่งความรู้ที่นักวิจัยมีเหมาะสมกับการทำโครงการวิจัยหลังปริญญาเอกมีความรู้พื้นฐานภาษาอังกฤษที่ดีแต่ยังขาดประสบการในการตีพิมพ์โครงการวิจัยหลังปริญญาเอกจะประสบความสาเร็จได้จะต้องอาศัยประสบการณ์ของอาจารย์ที่ปรึกษาซึ่งมีความเชี่ยวชาญในการตีพิมพ์เพื่อนักวิจัยจะได้ผลงานในการตีพิมพ์ที่มีคุณภาพ ปัญหาและอุปสรรคเกี่ยวกับโครงการวิจัยหลังปริญญาเอกซึ่งพบว่า ปัญหาส่วนใหญ่จากการการขาดประสบการณ์ในการตีพิมพ์และไม่ทำตามเงื่อนไขของการตีพิมพ์ทำให้ไม่สามารถตีพิมพ์ได้ ปัจจัยเกี่ยวกับโครงการวิจัยหลังปริญญาเอกผู้ขอรับทุนมีความเข้าใจเกี่ยวกับโครงการและขั้นตอนการทางานวิจัยอย่างดี แนวทางการพัฒนาโครงการวิจัยหลังปริญญาเอก ควรมีคู่มือของโครงการวิจัยหลังปริญญาเอกที่ระบุทั้งกฎระเบียบและแนวทางในการปฏิบัติทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ และควรมีแบบฟอร์มต่างๆ ที่ระบุรายละเอียดอย่างชัดเจนพร้อมคำแนะนำรวมถึงปรับปรุงการปฏิบัติงานให้มีความรวดเร็วและเป็นระบบมากยิ่งขึ้น และมีผู้เชี่ยวชาญในการตีพิมพ์ที่คอยให้คาปรึกษาแก่นักวิจัย
  • Thumbnail Image
    Item
    สำรวจสภาวะการทำงานของนักศึกษาระดับปริญญาโท ภาคพิเศษ คณะพัฒนาการเศรษฐกิจ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ ในบริบทการทำงานระดับสากล
    สงคราม ไชยแก้ว; นิรมล อริยอาภากมล (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2014)
    การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสำรวจแหล่งอาชีพ ผลตอบแทน และสภาวะการทำความต้องการความรู้เพื่อใช้ทำงานในระดับสากล ประชากรคือ นักศึกษาระดับปริญญาโทหลักสูตรเศรษฐศาสตร์ธุรกิจ ภาคพิเศษ คณะพัฒนาการเศรษฐกิจ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ โดยได้กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 165 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม ผลการวิจัยพบว่า นักศึกษาส่วนใหญ่มีตำแหน่งงานในระดับปฏิบัติการ คิดเป็นร้อยละ 73.94 ทำงานอยู่ในองค์กรเอกชนไทย ประเภทสถาบันการเงิน รองลงมาคืออุตสาหกรรม ด้านการให้บริการทั้งคนไทยและต่างชาติ ได้รับค่าจ้างไม่เกิน 20,000 บาทต่อเดือน ใช้ทักษะความรู้เกี่ยวกับเรื่องระหว่างประเทศในการทำงานระดับปานกลางคิดเป็นร้อยละ 49.70 หน่วยงานที่ทำส่วนใหญ่มีกระบวนการหรือกลไกเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันระดับสากล เนื่องจากต้องมีการแข่งขันกับหน่วยงานต่างชาติ หน่วยงานส่วนใหญ่เป็นหน่วยงานที่ชื่อเสียงระดับชาติและนานาชาติ และได้การรับรองตามเกณฑ์มาตรฐานสากล คิดเป็นร้อยละ 82.42 มีการนำมาตรฐานสากลมาใช้ยกระดับการแข่งขัน และมีการทำงานร่วมกับบุคลากรต่างชาติในหน่วยงานนักศึกษาส่วนใหญ่ ร้อยละ 47.27 ได้นำความรู้จากการเรียนในหลักสูตรไปประยุกต์ใช้ในการทำงานระดับสากลมาก และช่วยให้มีโอกาสได้งานทำในหน่วยงานระดับสากลมากขึ้นด้วยทักษะความรู้ที่นักศึกษาส่วนใหญ่ต้องการนำไปประยุกต์ใช้ทำงานในระดับสากลคือ ทักษะด้านภาษาและการสื่อสารภาษาอังกฤษ และความรู้ทางเศรษฐศาสตร์ รายวิชาที่เป็นประโยชน์ต่อการนำไปใช้ในการทำงานคือ มหเศรษฐศาสตร์ การวางแผนกลยุทธ์ การวิเคราะห์โครงการ การบริหารการเงินระหว่างประเทศ และวิชาเศรษฐศาสตร์ระหว่างประเทศ รายวิชาหรือประเด็นที่ควรปรับปรุงเพื่อให้เหมาะสมกับการนำไปใช้ทำงานในระดับสากลคือ วิชาเศรษฐมิติและการพยากรณ์ โดยควรนำโปรแกรมสำเร็จรูปมาใช้ประกอบการเรียนการสอนเพื่อให้เข้าใจเนื้อหาและสามารถนำไปใช้ในการทำงานได้จริง รายวิชาหรือประเด็นความรู้ที่ควรเพิ่มคือ ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร และการจัดการธุรกิจระหว่างประเทศ ส่วนกิจกรรมที่ควรจัดให้กับนักศึกษาเพื่อรองรับการทำงานในระดับสากลคือ กิจกรรมการศึกษาดูงานในประเทศและต่างประเทศ การเปิดอบรมหลักสูตรเสริมความรู้ระยะสั้น การเชิญวิทยากรต่างชาติมาบรรยาย และการจัดสัมนาวิชาการระดับนานาชาติ นอกจากนี้พบว่าคุณสมบัติของผู้สอน และสิ่งอำนวยความสะดวกที่สามารถเสริมสร้างความรู้ในระดับสากลได้คือ ควรมีความรู้และประสบการณ์ทำงานในระดับสากล เทคนิคการสอนแบบสากล การสอนเป็นภาษาอังกฤษหรือสองภาษา เปิดกว้างให้ชักถามและแสดงความคิดเห็น มีวิสัยทัศน์กว้างไกลทันเหตุการณ์ มีการนำกรณีศึกษาต่างประเทศมาประกอบการเรียนการสอน มีการนำเอกสารและตำราต่างประเทศมาประกอบ มีห้องคอมพิวเตอร์ช่วยสอน มีวารสารต่างประเทศแบบ e-book ให้ Download มีห้อง Lab ภาษาอังกฤษ มีระบบ Software online มีสถานที่จำลองในการทำธุรกิจ และมีระบบสารสนเทศหรือฐานข้อมูลที่สามารถเสริมสร้างความรู้ในระดับสากลเช่น งานวิจัยหรือบทความวิชาการระดับนานาชาติเป็นต้น
  • Thumbnail Image
    Item
    ทัศนคติที่มีต่อระบบสารสนเทศ : กรณีศึกษาบุคลากรที่ใช้ระบบสารสนเทศในการปฏิบัติงานด้านการเงิน การคลังและพัสดุ ของสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์
    วรรณา ชมเชย; ปราโมทย์ ลือนาม (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2013)
    การศึกษาวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับทัศนคติของบุคลากรที่ใช้ระบบสารสนเทศด้านการเงิน การคลังและพัสดุ ปัจจัยที่มีผลกระทบต่อทัศนคติของบุคลากรที่ใช้ระบบสารสนเทศ และปัญหา อุปสรรค ข้อเสนอแนะของบุคลากรที่ใช้งานระบบสารสนเทศ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษา คือ บุคลากรที่ใช้ระบบสารสนเทศในการปฏิบัติงานด้านการเงิน การคลังและพัสดุ ทั้งในส่วนกลางและคณะ/สำนัก จำนวน 110 คน เครื่องมือที่ใช้ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถาม นำผลการศึกษาที่ได้มาวิเคราะห์และประมวลผลข้อมูลในโปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ การแจกแจงความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติที่ใช้ในการทดสอบสมมติฐานเป็นสถิติแบบบ t-test และ F-test ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีประสบการณ์การใช้คอมพิวเตอร์มากกว่า 10 ปีขึ้นไป มีความสามารถในการใช้คอมพิวเตอร์ระดับปานกลาง ได้รับความรู้จากการใช้ระบบสารสนเทศด้านการเงิน การคลังและพัสดุตามหลักสูตรที่สถาบันจัดให้ ผู้บริหารให้ความชัดเจน และเห็นความสำคัญที่นำระบบสารสนเทศมาใช้ระดับเห็นด้วยมาก ผู้ใช้งานระบบสารสนเทศส่วนใหญ่มีทัศนคติในระดับดีมากเกี่ยวกับระบบสารสนเทศที่ช่วยทำให้เกิดความสะดวกในการสืบค้นข้อมูล และปฏิบัติงานได้อย่างถูกต้องขึ้น ปัจจัยส่วนบุคคล อายุ ประสบการณ์ในการใช้คอมพิวเตอร์ และการอบรมเกี่ยวกับระบบสารสนเทศ ส่งผลต่อทัศนคติของบุคลากรที่ใช้งานระบบสารสนเทศ ด้านเครื่องมือและอุปกรณ์พบความแตกต่าง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติติที่ระดับ 0.05 ปัจจัยการให้ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับหน่วยงาน ความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับระบบสารสนเทศปัจจัยด้านนโยบาย และด้านบริหารเกี่ยวกับความชัดเจนของนโยบาย ส่งผลต่อทัศนคติของบุคลากรที่ใช้งานระบบสารสนเทศ ในภาพรวมพบความแตกต่าง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติติที่ระดับ 0.05
  • Thumbnail Image
    Item
    การศึกษาความต้องการใช้บริการข้อมูลสารสนเทศด้านทรัพยากรบุคคลในเว็บไซต์กองบริหารทรัพยากรบุคคล สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์
    ธัชพงศ์พัฒน์ สีหะนาม; เกษมศานต์ โชติชาครพันธุ์ (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2014)
    การศึกษาความต้องการใช้บริการข้อมูลสารสนเทศด้านทรัพยากรบุคคลในเว็บไซต์กองบริหารทรัพยากรบุคคล สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความต้องการใช้ข้อมูลสารสนเทศด้านทรัพยากรบุคคลทางเว็บไชต์ของกองบริหารทรัพยากรบุคคล และการพัฒนาเว็บไซต์กองบริหารทรัพยากรบุคคล สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ โดยเป็นการวิจัยเชิงสำรวจ (Survey Research) ประชากรที่ใช้ในการศึกษาเป็นบุคลากรในสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ จำนวน 704 ราย ได้ขนาดของตัวอย่างโดยใช้สูตรของ Taro Yamane จำนวน 255 ราย การสุ่มตัวอย่างสุ่มแบบโควตา(Quota Sampling) และแบบบังเอิญ (Accidental Sampling) ใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในเก็บรวบรวมข้อมูล และได้รับแบบสอบถามกลับคืน จำนวน 232 ราย สถิติที่ใช้ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน t-test เเล้วนำข้อมูลมาวิเคราะห์และประมวลผลด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ เพื่อคำนวณหาค่าสถิติต่างๆ สำหรับคำถามปลายเปิดใช้วิธีวิธีวิเคราะห์เนื้อหา(Content Analysis) แล้วเรียบเรียงออกมาเป็นประเด็นหลัก ซึ่งปรากฎผลการวิจัย ดังนี้ ส่วนที่ 1 ข้อมูลทั่วไป ผลการวิจัย พบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ร้อยละ 71.1 มีอายุระหว่าง 31 - 35 ปี ร้อยละ 21.6 การศึกษาระดับปริญญาตรี - ปริญญาโท มีจำนวนมากที่สุด กลุ่มตัวอย่างปฏิบัติงานในหน่วยงานระดับคณะมากที่สุด ลักษณะงานที่ปฏิบัติมากที่สุด คือ ด้านบริหารงานทั่วไป/ธุรการ อายุงานเฉลี่ย 9.36 ปี ส่วนที่ 2 การใช้เว็บไซต์กองบริหารทรัพยากรบุคคล กลุ่มตัวอย่างมีการใช้สารสนเทศหัวข้อข่าวประชาสัมพันธ์การอบรม และการรับสมัครงานมากที่สุด คะแนนเฉลี่ย 3.20 และสำหรับด้านข้อมูลการให้บริการ มีการใช้งานสารสนเทศแบบฟอร์มต่างๆ ของบุคลากรมากที่สุด มีคะเเนนเฉลี่ย 3.34 ส่วนที่ 3 ความคิดเห็นต่อเว็บไซต์กองบริหารทรัพยากรบุคคลด้านความเหมาะสมกลุ่มตัวอย่างมีความคิดเห็นต่อเว็บไซต์ ด้านความน่าเชื่อถือมีความเหมาะสมมากที่สุด มีคะแนนเฉลี่ย 3.43 และมีความคิดเห็นว่าเว็บไซต์กองบริหารทรัพยากรบุคคลมีความเหมาะสมด้านความเป็นมัลติมีเดียน้อยที่สุด มีคะแนนเฉลี่ย 2.84 ส่วนที่ 4 ความต้องการเว็บไซต์ที่กองบริหารทรัพยากรบุคคคล หัวข้อที่กลุ่มตัวอย่างมีต้องการใช้ข้อมูลในระดับมาก คือ กฎระเบียบ หลักเกณฑ์วิธีการเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคล คะแนนเฉลี่ย 3.82 รองลงมาคือ แบบฟอร์มต่างๆ ของบุคลากร มีคะแนนเฉลี่ย 3.80 ข้อมูลสวัสดิการสิทธิประโยชน์ต่างๆ ของบุคลากร และการประเมินผลการปฏิบัติงาน มีคะแนนเฉลี่ย 3.76 และ 3.69 ตามลำดับ หัวข้อที่มีความต้องการใช้ข้อมูลในระดับปานกลาง คือ หัวข้อความก้าวหน้าในสายอาชีพมากที่สุด มีคะแนนเฉลี่ย 3.67 รองลงมาคือ การพัฒนาบุคลากร มีคะแนนเฉลี่ย 3.53 การส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรม จรรยาบรรณในการปฏิบัติราชการ และการสมัครงาน มีคะแนนเฉลี่ย 3.39 และ 3.22 ตามลำดับ สารสนเทศที่ต้องการให้มีในเว็บไซต์กองบริหารทรัพยากรบุคคลเพิ่มเติมในระดับมาก และมากที่สุด คือ รายละเอียดเกี่ยวกับสวัสดิการ รายละเอียดเกี่ยวกับวิธีการปรับเงินเดือน/การปรับฐานเงินเดือน กฎระเบียบเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคล ตัวอย่างผลงานทางวิชาการที่ดี รายละเอียดเกี่ยวกับการฝึกอบรม ตัวอย่างคู่มือการปฏิบัติงาน/ผลงานทางวิชาการ ตัวอย่างการเขียนข้อมูล/กรอกข้อมูลความก้าวหน้าทางวิชาชีพ การแนะนำบุคลากรเข้าใหม่ และแบบฟอร์มภาษาอังกฤษสำหรับอาจารย์ชาวต่างประเทศ เป็นต้น โดยสารสนเทศที่ต้องการให้มีในเว็บไซต์กองบริหารทรัพยากรบุคคลเพิ่มเติมในระดับปานกลาง คือ ข้อมูลเกี่ยวกับอัตรากำลัง ตัวอย่างการทำเล่มรายงานผลงานเพื่อต่อสัญญาจ้าง และแนวข้อสอบการสอบเข้าหรือเนื้อหาการสอบเข้าทำงาน เป็นต้น สำหรับข้อเสนอแนะ เว็บไซต์กองบริหารทรัพยากรบุคคลควรปรับปรุงข้อมูลให้ทันสมัยเป็นปัจจุบัน เช่น ข้อมูลการประกาศรับสมัครงาน การประกาศผลสอบแข่งขันการสมัครงานให้ทันเวลาตามที่กำหนด ควรมีการพัฒนาช่องทางสำหรับติดต่อสอบถามหรือขอคำแนะนำผ่านทานทางเว็บไซต์ ควรทำลิงค์ข้อมูลต่างๆ ให้ดูง่ายในการสืบค้นหาข้อมูล ควรปรับปรุงความเป็นมัลติมีเดียให้มากขึ้น ให้มีรูปแบบที่มีความทันสมัย มีการจัดหมวดหมู่ในแต่ละเรื่องให้มีความเป็นระเบียบ มีการเชื่อมโยงข้อมูลให้ครอบคลุม และรวมทั้งความรวดเร็วในการเข้าถึงเว็บไซต์กองบริหารทรัพยากรบุคคล
  • Thumbnail Image
    Item
    ทัศนคติต่อการรับทุนสนับสนุนวิจัยของข้าราชการและพนักงานสายสนับสนุน : กรณีศึกษาทุนรางวัลค้นคว้าในวิทยาการการเขียนเอกสารวิชาการ
    คณิตตา บุณนาค (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2014)
    การวิจัยเรื่องนี้ เป็นการวิจัยแบบบูรณาการ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบันของกระบวนการให้ทุนสนับสนุนทุนวิจัยของข้าราชการและพนักงานสายสนับสนุน กรณีศึกษาทุนรางวัลค้นคว้าในวิทยาการการเขียนเอกสารวิชาการ การวิจัยเชิงปริมาณ เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบันของกระบวนการให้ทุนส่งเสริมฯ การเขียนเอกสารวิชาการ ศึกษาปัญหา อุปสรรคของกระบวนการให้ทุนส่งเสริมการเขียนเอกสารวิชาการและศึกษาทางการพัฒนากระบวนการให้ทุนส่งเสริมการเขียนเอกสารวิชาการของสำนักวิจัย สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ประชากรที่ศึกษา คือ บุคลากรในสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์จำนวนทั้งหมด 528 ราย ซึ่งได้ขนาดของตัวอย่างโดยใช้สูตรของ Taro Yamane จำนวน 225 ราย การสุ่มตัวอย่างแบบอาศัยความน่าจะเป็น ด้วยวิธีสุ่มอย่างง่าย (Simple Random sampling) ใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล สถิติที่ใช้ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิจัยเชิงคุณภาพ ผู้ให้ข้อมูล ได้แก่ ผู้ที่เคยได้รับทุน จำนวน 4 ราย โดยใช้วิธีการสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth Interview) แล้วนำข้อมูลมาดำเนินการวิเคราะห์และประมวลผลด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ เพื่อคำนวณหาค่าสถิติต่าง ๆ และพรรณนาตามผลการสัมภาษณ์ ซึ่งปรากฏผลการวิจัย ดังนี้ ผลการวิจัย พบว่า พนักงานสถาบันฯผู้ให้ข้อมูล เพศหญิง ร้อยละ 76.4 เพศชาย ร้อยละ 23.6 มีอายุระหว่าง 31-40 ปี ร้อยละ 43.1 รองลงมา อายุระหว่าง 41-50 ปี ร้อยละ 31.2 การศึกษาระดับปริญญาตรี ร้อยละ 62.7 เป็นโสดร้อยละ 47.6 เป็นข้าราชการ ร้อยละ 44.0 เป็นพนักงานสถาบัน ร้อยละ 36.9 เป็นนักวิชาการการเงินและนักบัญชีปฎิบัติการ ร้อยละ 8.9 รองลงมาเจ้าหน้าที่บริหารงานทั่วไป ร้อยละ 6.7 สังกัดสำนักบรรณสารการพัฒนา มีร้อยละ 11.6 คณะสถิติประยุกต์ ร้อยละ 10.2 และกองคลังและพัสดุ ร้อยละ 7.1 มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือน 10,000-20,000 บาท ร้อยละ 6.7 รองลงมา 20,001-30,000 บาท ร้อยละ 3.6 อายุงานในสถาบันเฉลี่ยอยู่ระหว่าง 16 – 20 ปี ร้อยละ 24.4 รองลงมา เฉลี่ยอยู่ระหว่าง 1 – 5 ปี ร้อยละ 18.7 ประสบการณ์การทำวิจัยเฉลี่ยอยู่ระหว่าง 1 – 3 ปี ร้อยละ 20.0 รองลงมาอยู่ระหว่าง 4 – 6 ปี และ 10 – 12 ปี ร้อยละ 5.3 จำนวนเรื่องที่ผ่านการอนุมัติมี 1 เรื่องต่อคน คิดเป็น ร้อยละ 7.6 สำหรับปัญหาและอุปสรรคในการขอทุน คือ ด้านประชาสัมพันธ์ยังไม่ทั่วถึงต้องเปิดเว็บไซต์ของสำนักวิจัยเท่านั้นจึงจะทราบความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับการขอทุน และยังพบว่าการคัดเลือกหัวข้อในการทำวิจัยให้สอดคล้องเหมาะสมกับงานที่ปฏิบัติค่อนข้างยาก รวมทั้งปัญหาการไม่มีเวลาในการทำวิจัย ไม่มีความรู้ความสามารถในการทำวิจัยและปัญหาด้านขั้นตอนการส่งข้อเสนอโครงการใช้เวลานาน ระยะเวลาการแจ้งผลให้ทราบยังล่าช้า โดยมีข้อเสนอแนะ ควรเปิดโอกาสให้ทำวิจัยในหัวข้อที่สนใจ และสามารถนำผลงานมาใช้อ้างอิงในการขอเลื่อนตำแหน่งได้ ส่วนข้อเสนอแนะในการปรับปรุงกระบวนการให้ทุน คือ มีการประชาสัมพันธ์อย่างทั่วถึง โดยการประชาสัมพันธ์รายบุคคล