ปัญหาการตรวจสอบการใช้อำนาจชี้มูลความผิดทางวินัยของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติโดยศาลปกครอง
by กฤษณี มหาวิรุฬห์
ชื่อเรื่อง: | ปัญหาการตรวจสอบการใช้อำนาจชี้มูลความผิดทางวินัยของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติโดยศาลปกครอง |
ชื่อเรื่องอื่นๆ: | The problem on the scrutiny of exercise power of the National Anti-Corruption Commission (NACC) to indentify prima face disciplinary offence by the judgment of administrative court |
ผู้แต่ง: | กฤษณี มหาวิรุฬห์ |
ผู้ควบคุมงานวิจัย: | บรรเจิด สิงคะเนติ |
ชื่อปริญญา: | นิติศาสตรมหาบัณฑิต |
ระดับปริญญา: | Master's |
คณะ/หน่วยงาน: | คณะนิติศาสตร์ |
หน่วยงานที่ประสาทปริญญา: | สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ |
วันที่เผยแพร่: | 2562 |
ตัวระบุวัตถุจิจิทัล (ดีโอไอ): | 10.14457/NIDA.the.2019.85 |
หน่วยงานที่เผยแพร่: | สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ |
บทคัดย่อ/เนื้อเรื่องย่อ: |
การศึกษาครั้งนี้เป็นการศึกษาเพื่อให้ทราบอํานาจหน้าที่ของคณะกรรมการป้องกันและ ปราบปรามการทุจริตแห่งชาติตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในการชี้มูลความผิดทางวินัยของเจ้าหน้าที่ของรัฐ ทราบการป้องกันและ ปราบปรามการทุจริตและการดําเนินการทางวินัยกับเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ทุจริตในต่างประเทศ และ เพื่อให้ทราบปัญหาการตรวจสอบการใช้อํานาจในการชี้มูลความผิดทางวินัยของคณะกรรมการป้องกัน และปราบปรามการทุจริตแห่งชาติโดยศาลปกครองพร้อมข้อเสนอแนะในการแก้ไขปัญหา โดยมี สมมติฐานในการศึกษาคือ ปัญหาเกี่ยวกับขอบเขตการใช้อํานาจในการชี้มูลความผิดทางวินัย เจ้าหน้าที่ของรัฐ ปัญหาเกี่ยวกับขอบเขตการใช้อํานาจของศาลปกครองในการตรวจสอบการชี้มูล ความผิดทางวินัยของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติปัญหาการชี้มูล ความผิดทางวินัยของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาตินอกจากความผิดฐาน ทุจริตต่อหน้าที่เป็นการใช้อํานาจเกินกว่าที่กฎหมายกําหนดหรือไม่และปัญหาการนํากระบวนการไต่ สวนของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติไปเป็นการสอบสวนของหน่วยงาน และนําไปใช้ในการชี้มูลความผิดทางวินัยของหน่วยงานได้หรือไม่ ปัญหาดังกล่าวล้วนส่งผลกระทบ สําคัญต่อประสิทธิภาพในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต และประสิทธิภาพในการลงโทษทาง วินัยแก่เจ้าหน้าที่ของรัฐที่ทุจริต หากมีการแก้ไขปัญหาดังกล่าวจะทําให้การดําเนินงานทางวินัยกับ เจ้าหน้าที่ของรัฐที่ทุจริตมีความชัดเจน และการบังคับใช้กฎหมายมีประสิทธิภาพและมีความเป็นธรรม มากขึ้น ผลการศึกษายืนยันสมมติฐานข้างต้นและมีข้อเสนอแนะเพื่อแก้ไขปัญหาคือข้อพิจารณาในเรื่อง นิติรัฐและนิติธรรมและการควบคุมตรวจสอบการใช้อํานาจรัฐ ทุกฝ่ายต้องมีความเข้าใจที่ถูกต้องถ้อยคําที่ บัญญัติในกฎหมายต้องมีความชัดเจน หากต้องมีการตีความต้องให้ได้ข้อยุติร่วมกันโดยเร็วเพื่อไม่ก่อให้เกิดปัญหาสะสม ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องต้องเข้าใจนิยามของคําว่า “ทุจริต” ที่จะนําไปสู่การชี้มูล ความผิดและการลงโทษทางวินัยในทิศทางที่สอดคล้องตรงกัน โดยไม่จํากัดว่าการกระทําความผิดนั้นต้อง มาจากความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่เพียงฐานความผิดเดียวแต่ควรครอบคลุมอย่างน้อยอีก 3 ฐานความผิด คือ ฐานร่ํารวยผิดปกติฐานกระทําความผิดต่อตําแหน่งหน้าที่ราชการ ฐานกระทําความผิดต่อตําแหน่ง หน้าที่ในการยุติธรรม รวมทั้งความผิดที่เกี่ยวข้องกัน เพื่อให้ขอบเขตการใช้อํานาจของแต่ละฝ่ายเป็นไปใน ทิศทางเดียวกันและเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมายและการพิจารณาโทษทางวินัยของเจ้าหน้าที่ที่ทุจริตทุก ฝ่ายที่เกี่ยวข้องควรมีแนวทางและข้อความคิดที่สอดคล้องกัน หลักการลงโทษเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ทุจริต สมควรได้รับควรมีความรุนแรงกว่าความผิดทางวินัยฐานอื่น บุคลากรของสํานักงานคณะกรรมการป้องกัน และปราบปรามการทุจริตแห่งชาติที่เกี่ยวข้องกับการพิจารณาเรื่องกล่าวหาทั้งหมดต้องมีความรู้ความ เข้าใจในหลักกฎหมายมหาชนมากเท่ากับหลักกฎหมายอาญา การตรวจสอบการใช้อํานาจของ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติโดยศาลปกครองควรคํานึงถึงวัตถุประสงค์หลักใน การจัดตั้งหน่วยงานนี้ที่มีความแตกต่างจากหน่วยงานอื่น ในกรณีจําเป็นที่ศาลต้องตรวจสอบความชอบ ด้วยกฎหมายของการใช้ดุลพินิจของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติต้องเป็นไป อย่างระมัดระวังและไม่ก้าวล่วงไปตรวจสอบการใช้ดุลพินิจที่เป็นไปโดยชอบแล้ว เพื่อมิให้ก้าวล่วงไปในแดนของฝ่ายบริหารเช่นเดียวกับในประเทศฝรั่งเศสและเยอรมันที่ใช้อํานาจนี้อย่างจํากัด สําหรับเรื่อง กระบวนการไต่สวนของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติที่ดําเนินการไปแล้วไม่ ควรปล่อยให้สูญเปล่าไปทั้งหมดและควรคํานึงถึงการนําสํานวนการไต่สวนของคณะกรรมการป้องกันและ ปราบปรามการทุจริตแห่งชาติไปใช้ประกอบการพิจารณาของคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยของ หน่วยงานต้นสังกัดและประกอบการพิจารณาของศาลด้วย ในระยะยาวต้องมีการแก้ไขพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและ ปราบปรามการทุจริตแห่งชาติพ.ศ. 2561 ให้ชัดเจนขึ้น โดยเรื่องหน้าที่และอํานาจของคณะกรรมการ ป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติตามมาตรา 28 (2) แก้ไขเป็น “ไต่สวนและวินิจฉัยว่าเจ้าหน้าที่ ของรัฐร่ํารวยผิดปกติกระทําความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่หรือกระทําความผิดต่อตําแหน่งหน้าที่ราชการ หรือความผิดต่อตําแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม และทุกฐานความผิดหากพบว่ามีมูลความผิดทางวินัยให้ ดําเนินการชี้มูลความผิดทางวินัยต่อไป” เรื่องการดําเนินการกับเจ้าหน้าที่ของรัฐมาตรา 91 แก้ไขเป็น “เมื่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติไต่สวนแล้วมีมติวินิจฉัยว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐ กระทําความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ หรือกระทําความผิดต่อตําแหน่งหน้าที่ราชการ หรือความผิดต่อ ตําแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม หรือความผิดที่เกี่ยวข้องกัน ทุกฐานความผิดให้ดําเนินการดังต่อไปนี้ . . .” นอกจากนี้ในบทกําหนดโทษต้องกําหนดให้มีการลงโทษเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ทุจริตในระดับที่รุนแรงขึ้นด้วย |
รายละเอียดเพิ่มเติม: |
วิทยานิพนธ์ (น.ม.)--สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2562 |
หัวเรื่องมาตรฐาน: | คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ
การทุจริตและประพฤติมิชอบ -- ป้องกันและปราบปราม |
ประเภททรัพยากร: | วิทยานิพนธ์ |
ความยาว: | 282 แผ่น |
ชนิดของสื่อ: | Text |
รูปแบบแฟ้มข้อมูล: | application/pdf |
ภาษา: | tha |
สิทธิในการใช้งาน: | ผลงานนี้เผยแพร่ภายใต้ สัญญาอนุญาตครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 4.0 (CC BY-NC-ND 4.0) |
URI: | https://repository.nida.ac.th/handle/662723737/6337 |
แฟ้มในรายการข้อมูลนี้ (CONTENT) |
|
ดู ทรัพยากรสารสนเทศทั้งหมดในคลังปัญญา ใช้เพื่อประโยชน์ทางการเรียนการสอนและการค้นคว้าเท่านั้น และต้องมีการอ้างอิงแหล่งที่มาทุกครั้งที่นำไปใช้ ห้ามดัดแปลงเนื้อหา และทำสำเนาต่อ รวมถึงไม่ให้อนุญาตนำไปใช้ประโยชน์เพื่อการค้า ไม่ว่ากรณีใด ๆ ทั้งสิ้น
|
This item appears in the following Collection(s) |
|
|