การศึกษาความเป็นไปได้และปัจจัยที่ควรพิจารณาในการขอรับรองมาตรฐาน ISCC PLUS ของบริษัทผลิตบบรรจุภัณฑ์พลาสติกชนิดอ่อนตัวแห่งหนึ่ง
Publisher
Issued Date
2024
Issued Date (B.E.)
2567
Available Date
Copyright Date
Resource Type
Series
Edition
Language
tha
File Type
application/pdf
No. of Pages/File Size
4 แผ่น
ISBN
ISSN
eISSN
DOI
Other identifier(s)
Identifier(s)
Access Rights
Access Status
Rights
ผลงานนี้เผยแพร่ภายใต้ สัญญาอนุญาตครีเอทีฟคอมมอนส์แบบแสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 4.0 (CC BY-NC-ND 4.0)
Rights Holder(s)
Physical Location
Bibliographic Citation
Citation
ชนิดา ตาลพร้า (2024). การศึกษาความเป็นไปได้และปัจจัยที่ควรพิจารณาในการขอรับรองมาตรฐาน ISCC PLUS ของบริษัทผลิตบบรรจุภัณฑ์พลาสติกชนิดอ่อนตัวแห่งหนึ่ง. Retrieved from: https://repository.nida.ac.th/handle/123456789/7191.
Title
การศึกษาความเป็นไปได้และปัจจัยที่ควรพิจารณาในการขอรับรองมาตรฐาน ISCC PLUS ของบริษัทผลิตบบรรจุภัณฑ์พลาสติกชนิดอ่อนตัวแห่งหนึ่ง
Alternative Title(s)
Author(s)
Advisor(s)
Editor(s)
item.page.dc.contrubutor.advisor
Advisor's email
Contributor(s)
Contributor(s)
Abstract
ปัจจุบันโลกเผชิญกับวิกฤตการณ์ด้านสิ่งแวดล้อมที่ทวีความรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะปัญหาขยะพลาสติกที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อระบบนิเวศและสุขภาพของมนุษย์ จากการเพิ่มขึ้นของปริมาณขยะพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว (Single-use Plastics) ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากภาคอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์พลาสติกส่งผลให้เกิดแรงกดดันทั้งภาคนโยบายและภาคตลาดในการเร่งปรับเปลี่ยนรูปแบบการผลิตให้สอดคล้องกับหลักการของเศรษฐกิจหมุนเวียนและการพัฒนาอย่างยั่งยืน ระบบการรับรอง ISCC PLUS (International Sustainability and Carbon Certification PLUS) จึงเป็นกลไกหนึ่งที่สำคัญที่ได้รับการยอมรับในระดับสากลจากฝั่งยุโรป เพื่อช่วยส่งเสริมการใช้วัตถุดิบหมุนเวียน ลดการพึ่งพาทรัพยากรฟอสซิล และการสร้างระบบการผลิตที่สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ในทุกขั้นตอนของห่วงโซ่อุปทานอย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ประกอบการในประเทศไทย โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์พลาสติกชนิดอ่อนตัว ซึ่งเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่ควรได้รับการผลักดันให้เข้าสู่ระบบการรับรองดังกล่าว เนื่องจากข้อจำกัดด้านความรู้ ความเข้าใจ และการประยุกต์ใช้ข้อกำหนดของมาตรฐาน ISCC PLUS ในบริบทขององค์กรจริง การศึกษาครั้งนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความเป็นไปได้และความพร้อมของบริษัทผลิตบรรจุภัณฑ์พลาสติกชนิดอ่อนตัวแห่งหนึ่งในการเข้าสู่กระบวนการขอรับรอง ISCC PLUS โดยมีเป้าหมายเพื่อ (1) ศึกษาวิธีการดำเนินงานของบริษัทในการเตรียมความพร้อมเข้าสู่การรับรอง (2) วิเคราะห์ช่องว่างเมื่อเปรียบเทียบกับข้อกำหนดของ ISCC PLUS (3) ศึกษาปัจจัยภายในและภายนอกที่ส่งผลต่อความสำเร็จขององค์กรในการผ่านการรับรอง และ (4) เสนอแนะแนวทางการพัฒนาระบบและกลยุทธ์ที่เหมาะสมสำหรับการดำเนินการรับรองในอนาคต ในการศึกษาครั้งนี้ได้มีการเก็บข้อมูลใช้วิธีการวิเคราะห์เอกสารที่เกี่ยวข้องกับระบบการจัดการภายในของบริษัท ประกอบกับการสัมภาษณ์เชิงลึกแบบกึ่งโครงสร้างกับผู้บริหารที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการวางแผน การดำเนินการ และควบคุมระบบการผลิต รวมถึงมีส่วนในการผลักดันให้เกิดการรับรองมาตรฐานนี้ โดยผลการเก็บข้อมูลจะนำไปวิเคราะห์โดยใช้วิธีการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา (Content Analysis) เพื่อสังเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ และดำเนินการวิเคราะห์ช่องว่าง (Gap Analysis) เพื่อเปรียบเทียบระหว่างสถานะปัจจุบันของบริษัทกับข้อกำหนดของมาตรฐาน ISCC PLUS นอกจากนี้ยังใช้การวิเคราะห์แนวปฏิบัติที่ดี (Benchmarking) จากองค์กรที่ได้รับการรับรองแล้ว เพื่อเปรียบเทียบและเสนอแนะแนวทางปฏิบัติที่ดีสำหรับการพัฒนาองค์กรในกรณีศึกษา จากผลการศึกษาพบว่าบริษัทมีจุดแข็งในด้านระบบการจัดการที่มีความเป็นระบบแบบแผน โดยเฉพาะการนำระบบ ISO 14001 และ BRCGS Packaging Materials มาบูรณาการ ซึ่งมีองค์ประกอบหลายประการที่สามารถประยุกต์ใช้รองรับข้อกำหนดของ ISCC PLUS ได้ เช่น ระบบ PDCA การควบคุมเอกสาร และระบบตรวจสอบย้อนกลับในระดับรอบการผลิตของวัตถุดิบ อย่างไรก็ตามยังพบข้อจำกัดสำคัญในเรื่องของระบบแยกวัตถุดิบตามสถานะรับรอง และการบริหารจัดการตามแนวทางดุลยภาพมวล (Mass Balance Approach) ที่ยังไม่สามารถดำเนินการได้อย่างสมบูรณ์ นอกจากนี้พบว่าบุคคลากรยังไม่มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับข้อกำหนดและหลักการของ ISCC PLUS ทำให้ทราบถึงความสำคัญของการให้ความรู้และการสื่อสาร ประชาสัมพันธ์ จากผลการศึกษาดังกล่าว จึงเสนอว่าบริษัทควรดำเนินการเสริมสร้างองค์ความรู้และประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับความยั่งยืน รวมถึงมาตรฐาน ISCC PLUS ให้แก่บุคลากรในทุกระดับ และตั้งเป้าหมายอย่างเป็นรูปธรรม รวมถึงการพัฒนาระบบบริหารจัดการข้อมูลที่สามารถเชื่อมโยงการดำเนินงานระหว่างแผนกต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมจัดทำแผนการบริหารจัดการวัตถุดิบที่สอดคล้องกับหลักการ Mass Balance และแนวคิด Circular Economy อย่างชัดเจน เพื่อสร้างความพร้อมและเพิ่มความเป็นไปได้ในการขอรับรองมาตรฐานดังกล่าวได้สำเร็จในระยะยาว รวมถึงการติดตามข่าวสาร ความเป็นปัจจุบันสถาณการณ์ที่สอดคล้องเรื่องธุรกิจและสิ่งแล้วล้อมเช่น สถาณการณ์การจัดเก็บภาษีพลาสติก (Plastic Tax) เพื่อให้องค์กรสามารถปรับตัวได้ทันกับสิ่งที่เปลี่ยนแปลง และประกอบการตัดสินใจในการกำหนดทิศทางในอนาคต ทั้งนี้ข้อเสนอแนะจากการศึกษาครั้งนี้สามารถประยุกต์ใช้เป็นแนวทางในการเตรียมความพร้อมสำหรับผู้ประกอบการรายอื่นในอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์พลาสติก ตลอดจนใช้ประกอบการวางนโยบายของภาครัฐในการส่งเสริมระบบการผลิตที่ยั่งยืนในประเทศไทย