GSAS: Theses

Permanent URI for this collectionhttps://repository.nida.ac.th/handle/662723737/20

Browse

Recent Submissions

Now showing 1 - 20 of 234
  • Thumbnail Image
    Item
    การศึกษาองค์ประกอบที่เกี่ยวข้องกับการเกิดอุบัติเหตุจราจรในประเทศไทยและการจำแนกข่าว ด้วยเทคนิคการทำเหมืองข้อความ
    กอฟฟาร์ ลัดเลีย; โอม ศรนิล (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2024)
    ในปัจจุบันปัญหาอุบัติเหตุจากการจราจรในประเทศไทยยังคงเป็นปัญหาหลักๆที่ต้องแก้ไขอย่างเร่งด่วน โดยปัญหาด้านจราจรมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี ทำให้มีผู้เสียชีวิต และผู้บาดเจ็บ ก่อให้เกิดความสูญเสียในชีวิตและทรัพย์สินแก่ผู้ประสบเหตุเองและความเสียหายให้กับภาครัฐในการสูญเสียงบประมาณในการดูแลและแก้ปัญหาดังกล่าว ผู้วิจัยจึงสนใจที่จะสร้างตัวแบบหัวข้อสาเหตุการเกิดอุบัติเหตุจราจร โดยมีการสร้างตัวแบบหัวข้อด้วยวิธีการจัดสรรดีรีเคลแฝง (Latent Dirichlet Allocation : LDA) เพื่อเป็นแนวทางในการหาประเด็นสาเหตุที่สำคัญและตัวแบบจำแนกข่าวสารด้วยการผสานกันระหว่างการจัดกลุ่มข้อมูลแบบเคมีน (K-means Clustering) กับการจำแนกประเภท 2 อัลกอริทึม ประกอบด้วย อัลกอริทึม ซัพพอร์ตเวกเตอร์แมชชีน (Support Vector Machine : SVM) และ อัลกอริทึม ถดถอยโลจีสติก (Logistic Regression) เพื่อหาตัวแบบที่เหมาะสมที่สุดในการจำแนกข่าวสารที่ส่งผลต่อการเกิดอุบัติเหตุการจราจรในประเทศไทย ผลการศึกษาการสร้างตัวแบบหัวข้อ ผู้วิจัยได้ทำการแบ่งประเด็นสาเหตุสำคัญออกเป็น 3 หัวข้อ ได้แก่ (1) องค์ประกอบเชิงบุคคล (2) องค์ประกอบเชิงยานพาหนะ (3) องค์ประกอบเชิงกายภาพ (ถนน/สภาพแวดล้อม) และผลการศึกษาตัวแบบจำแนกข่าวสารพบว่า การจัดกลุ่มแบบเคมีนจะให้ผลลัพธ์เท่ากับ 7 กลุ่ม และเมื่อนำไปสร้างการจำแนกประเภทพบว่า อัลกอริทึมซัพพอร์ตเวกเตอร์แมชชีนมีประสิทธิภาพในการจัดประเภทดีที่สุดด้วยค่า Accuracy เท่ากับ 0.83126 ค่า Precison เท่ากับ 0. 83608 ค่า Recall เท่ากับ 0.83317
  • Thumbnail Image
    Item
    Motor insurance in Phnom Penh, Cambodia
    Heal Pem; Preecha Vichitthamaros (National Institute of Development Administration, 2022)
    Cambodian insurance market is still in its early development phase despite refinement is made to fit the current context and market. The aim of this study is to explore motor insurance market in Phnom Penh, Cambodia and to find out differentiation of driver characteristics, vehicle information, and driving behavior between insured and uninsured influenced acquiring motor insurance. To achieve this aim, the sample of 382 vehicle users in Phnom Penh, Cambodia were collected from January to June 2021. The findings indicated that Cambodia motor insurance market is currently small that means there is still more space of motor insurance products in Cambodian market. Motor insurance premium the insurers should offer in the market shall be less than $100 for one-year coverage. To promote motor insurance products, social media is the most preferred channel that the insured rated in the survey and followed by TV spots and paper brochures. The potential prospect customers prefer to buy motor insurance through direct marketing (walk in or contact market staff) followed by financial service provider channels and agents. Logistic regression model suggests that the factors that predict the higher probability of purchasing motor insurance are the driver’ age (30 to 40 years and 41 to 50 years comparing to other groups), income between $501 and $1,000, the pick-up truck, the motor’s age from 3 to 5 years, and the motor used for non-business purposes.
  • Thumbnail Image
    Item
    Utilizing data strategy framework for retail business in the metaverse
    Panida Tancharoen; Worapol Pongpech (National Institute of Development Administration, 2023)
    The emergence of the metaverse has brought about a significant shift in the retail industry as businesses strive to couple from the physical and digital worlds. However, this transition presents challenges in managing the massive and rapidly streaming data originating from the metaverse. In this paper, we explore the business opportunities that the metaverse offers for retail businesses and shed light on the ways to utilize data strategy in metaverse retailing. Our research analyzes the potential metaverse scenarios and the characteristics of metaverse data. We identify these scenarios into three key categories: Decoupled, Semi-coupled, and Tightly coupled. In particular, we highlight the importance of robust data strategies for organizations to effectively handle metaverse data and unlock success in this new realm. As a result, we propose a comprehensive data strategy framework that empowers retail businesses to effectively manage metaverse data, leverage valuable data insights, and make informed decisions at the rapid pace of the metaverse, enabling them to stay competitive in this evolving digital realm.
  • Thumbnail Image
    Item
    การสร้างเส้นแนวโน้มอัตโนมัติโดยใช้อัลกอริธึมพันธุกรรม
    กนกพร อุดมวงศ์ศักดิ์; โอม ศรนิล (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2015)
    การลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ เป็นสิ่งที่ท้าหายสำหรับนักลงทุน นักลงทุนพยายามหา เครื่องมือทางเทคนิคมาช่วยในการตัดสินใจในการลงทุน เส้นแนวโน้ม เป็นเครื่องมือวิเคราะห์ทาง เทคนิควิธีหนึ่งที่คนส่วนใหญ่นิยมใช้ เส้นแนวโน้มสามารถกำหนดวิธีการลงทุนให้เหมาะ สมตาม แนวโน้มที่เกิดขึ้นในแต่ละช่วงเวลา และสามารถใช้งานร่วมกับเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคอื่นๆ งานวิจัยนี้นำเสนอการสร้างส้นแนวโน้มระยะสั้นอัตโนมัติโดยใช้อัลกอริซึมพันธุกรรม เทคนิคที่ใช้ จะถูกประเมินประสิทธิผล โดยใช้ราคาหลักทรัพย์จริงและผลลัพธ์การซื้อ-ขายขึ้นอยู่กับการสร้าง เส้นแนวโน้มที่ได้นำเสนอ
  • Thumbnail Image
    Item
    การเลือกส่วนประกอบบนใบหน้าการ์ตูนแบบอัตโนมัติโดยใช้มุมมองมนุษย์
    จตุรงค์ มไหสวริยะ; ธนาสัย สุคนธ์พันธุ์ (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2019)
    งานวิจัยนี้เป็นการนำเสนอวิธีการเลือกรูปร่างของส่วนประกอบต่าง ๆ บนใบหน้าการ์ตูนที่ ใกล้เคียงกับใบหน้าคนในรูปถ่ายเพียงรูปเดียวโดยไม่ต้องพึ่งการตัดสินใจของมนุษย์ วิธีการจะ ประกอบด้วย 2 ขั้นตอน ได้แก่ ขั้นตอนการสกัดคุณสมบัติของรูปร่างของส่วนประกอบต่าง ๆ บนใบหน้าคนในรูปถ่าย และขั้นตอนการจำแนกชนิดหรือแบบของแต่ละส่วนประกอบเพื่อน นำไปใช้ คัดเลือกรูปร่างของส่วนประกอบนั้น ๆ บนใบหน้าการ์ตูน ตัวแบบที่ใช้จำแนกถูกสร้างขึ้นจากข้อมูล เรียนรู้ที่ได้จากการตัดสินใจของผู้เชี่ยวชาญในการเลือกรูปร่างของส่วนประกอบต่าง ๆ บนใบหน้า การ์ตูนจากรูปถ่ายของบุคคล ผลการทดลองประสิทธิภาพของวิธีที่นำเสนอพบว่า การเลือกรูปร่างคิ้ว ใช้ Centroid Vector Length เป็นคุณสมบัติของรูปร่างและจำแนกโดยโครงข่ายใยประสาท ให้ผลลัพธ์ดีที่สุด การเลือกรูปร่างตาใช้ Cross Vector Length เป็นคุณสมบัติของรูปร่างและจำแนก โดยต้นไม้ตัดสินใจให้ผลลัพธ์ดีที่สุด การเลือกรูป ร่างโครงหน้า ใช้ Cross Vector Length เป็นคุณสมบัติของรูปร่างและจำแนกโดยต้นไม้ตัดสินใจให้ผลลัพธ์ดีที่สุด การเลือกรูปร่างปากใช้ Centroid Vector Angle เป็นคุณสมบัติของรูปร่างและจำแนกโดยต้นไม้ตัดสินใจให้ผลลัพธ์ดีที่สุด และ การเลือกรูปร่างจมูก ใช้ Centroid Vector Length เป็นคุณสมบัติของรูปร่างและจำแนกโดย ต้นไม้ตัดสินใจให้ผลลัพธ์ดีที่สุด จากผลการทดลองพบว่าวิธีการนี้จะยังไม่สามารถทำงานได้เท่าเทียมกับผู้เชี่ยวชาญ แต่สามารถสร้างหน้าตาของการ์ตูนได้ผลดีที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในงานหลากหลายประเภทได้ เช่น การสร้างตัวละครในเกม สื่อสังคมออนไลน์ และอุตสาหกรรมบันเทิงต่าง ๆ
  • Thumbnail Image
    Item
    ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อศักยภาพในการออมของครัวเรือนจนเปรียบเทียบกับครัวเรือนรวย
    นิตยา ปะอินทร์; ปรีชา วิจิตรธรรมรส (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2019)
    การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษารูปแบบและศักยภาพในการออมของครัวเรือนจน และครัวเรือนรวย 2) เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อศักยภาพในการออมของครัวเรือนจนเปรียบเทียบ ครัวเรือนรวย กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้คือ ครัวเรือนส่วนบุคคลในประเทศไทย จากการ สำรวจภาวะเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือนของสำนักงานสถิติแห่งชาติ พ.ศ. 2560 โดยครัวเรือน จน (กลุ่มครัวเรือนที่มีรายได้ประจำเฉลี่ยต่อคนต่อเดือนไม่เกินเปอร์เซ็นไทล์ที่ 20) และครัวเรือนรวย (กลุ่มครัวเรือนที่มีรายได้ประจำเฉลี่ยต่อคนต่อเดือนตั้งแต่เปอร์เซ็นไทล์ที่ 80 ขึ้นไป) จำนวน 17,287 ครัวเรือน ซึ่งสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่ามัธยฐาน ส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน และการวิเคราะห์การถดถอยโลจิสติก ( Logistic Regression) ผลจากการศึกษา พบว่า ครัวเรือนรวยมีศักยภาพในการออมมากกว่าครัวเรือนจน คิดเป็น ร้อยละ 97.1 เทียบกับ 91.5 และเมื่อพิจารณามูลค่าสินทรัพย์ทางการเงินที่ครัวเรือนเก็บออม พบว่า ครัวเรือนจนมีมูลค่าสินทรัพย์ทางการเงินที่ครัวเรือนเก็บออมทั้งสิ้น 44,261 บาทต่อครัวเรือน และ ครัวเรือนรวยมีมูลค่าสินทรัพย์ทางการเงินที่ครัวเรือนเก็บออมทั้งสิ้น 519,817 บาทต่อครัวเรือน ซึ่งสูง กว่าครัวเรือนจน 12 เท่า โดยเมื่อพิจารณารูปแบบการออม 3 อันดับแรก ของครัวเรือนจน พบว่า มี ศักยภาพในการเก็บออมในสินทรัพย์ทางการเงินอย่างเดียวมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 55.0 รองลงมาคือ มีศักยภาพในการออมในสินทรัพย์ทางการเงินและสินทรัพย์อื่น ๆ คิดเป็นร้อยละ 32.9 และมีศักยภาพ ในการออมในสินทรัพย์สินทรัพย์อื่น ๆ อย่างเดียว คิดเป็นร้อยละ 2.1 ในขณะที่ครัวเรือนรวยมี ศักยภาพในการเก็บออมในสินทรัพย์ทางการเงินและสินทรัพย์อื่น ๆ มากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 66.2 รองลงมาคือ มีการออมในสินทรัพย์ทางการเงินอย่างเดียว คิดเป็นร้อยละ 22.7 และมีศักยภาพในการ ออมทั้งในสินทรัพย์ทางการเงิน สินทรัพย์เพื่อการลงทุน และสินทรัพย์อื่น ๆ คิดเป็นร้อยละ 5.7นอกจากนี้ได้ท าการศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อศักยภาพในการออมของครัวเรือนจน อย่างมี นัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05 มีทั้งปัจจัยทางด้านสังคมและเศรษฐกิจ ซึ่งปัจจัยด้านสังคม ได้แก่ สถานภาพสมรสของหัวหน้าครัวเรือน อัตราส่วนการเป็นภาระ สถานะเศรษฐสังคมของครัวเรือน และ ภาค ส่วนปัจจัยด้านเศรษฐกิจ ได้แก่ รายได้ทั้งสิ้นเฉลี่ยต่อเดือนต่อครัวเรือน และค่าใช้จ่ายทั้งสิ้นเฉลี่ย ต่อเดือนต่อครัวเรือน ในขณะที่ครัวเรือนรวยมีเฉพาะปัจจัยทางด้านสังคมเท่านั้นที่มีอิทธิพลต่อ ศักยภาพในการออมของครัวเรือนรวย อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05 ได้แก่ เพศของหัวหน้า ครัวเรือน อายุของหัวหน้าครัวเรือน สถานะเศรษฐสังคมของครัวเรือน และภาค
  • Thumbnail Image
    Item
    การศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการสำเร็จการศึกษาตามเกณฑ์การศึกษาของนักศึกษาระดับปริญญาโท ด้วยเทคนิคเหมืองข้อมูล กรณีศึกษา สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์
    โกวิทย์ ประดิษฐ์ผล; ปรีชา วิจิตรธรรมรส (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2017)
    การวิจัยในครั้งนี้เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการสําเร็จการศึกษาตามเกณฑ์การศึกษาของ นักศึกษาระดับปริญญาโท สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ โดยใช้ข้อมูลจากฐานข้อมูลนักศึกษา ของกองบริ การการศึกษา สถาบันบัณฑิตพัฒนบริ หารศาสตร์ ในช่วงปี การศึกษา 2553 ถึง ปี การศึกษา 2555 มีจํานวนนักศึกษารวมทั้งสิ้น 8,368คน ในจํานวนนี้ไม่ได้นับรวมนักศึกษาที่พ้นสภาพการเป็นนักศึกษาหรือลาออกจากการเป็นนักศึกษา นักศึกษาต่างชาติ และนักศึกษาที่ศึกษา มากกวา 1 สาขาวิชาเอก มีการนําข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์ด้วยวิธีการทําเหมืองข้อมูล (Data Mining) เพื่อให้ได้ปัจจัยที่ส่งผลต่อการสําเร็จการศึกษาตามเกณฑ์การศึกษาของนักศึกษาระดับปริญญาโท ของสถาบัน ผลการศึกษาพบว่า ประเภทงานวิจัย เกรดเฉลี่ย และหน่วยกิตที่ลงทะเบียนในแต่ภาค การศึกษามีความสําคัญอันดับต้นๆ ที่ส่งผลทําให้นักศึกษาสําเร็จการศึกษาตามเกณฑ์การศึกษา โดย พบว่าเพศหญิงมีอัตราการสําเร็จการศึกษาตามเกณฑ์สูงกว่าเพศชาย มีเพียง กลุ่มเดียวที่เพศชายสําเร็จ การศึกษาตามเกณฑ์สูงกว่าเพศหญิง ในส่วนปัจจัยที่เกี่ยวกับการทํางานทุกตัวมีอิทธิพลต่อการสําเร็จ การศึกษาของนักศึกษาภาคปกติ และพบว่านักศึกษาที่ทํางานอยู่ มีอัตราการสําเร็จการศึกษาตาม เกณฑ์ที่สูงกว่านักศึกษาที่ไม่ได้ทํางานและนักศึกษาที่ทํางานส่วนตัว
  • Thumbnail Image
    Item
    ผลกระทบของภาระความรับผิดชอบที่มีต่อความพึงพอใจในชีวิตของกลุ่มแซนด์วิช เจเนอเรชั่น
    สุภาวรรณ เปรมชื่น; เดือนเพ็ญ ธีรวรรณวิวัฒน์ (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2017)
    การศึกษานี้มีวตัถุประสงค์เพื่อศึกษาภาระความรับผิดชอบและผลกระทบของภาระนี้ที่มีต่อ ความพึงพอใจในชีวิตของผู้ที่อยู่ในกลุ่มแซนด์วิชเจเนอเรชั่นโดยใช้ข้อมูลทุติยภูมิจากแผนงานวิจัย “ความอยู่ดีมีสุขของผู้สูงอายุไทย” สำรวจระดับประเทศในปี 2557 มีจำนวนตัวอย่างของผู้ที่มีคุณสมบัติตามคำนิยามของกลุ่มแซนด์วิชเจเนอเรชั่นทั้งสิ้น 1,034 คน ซึ่งมีคุณลักษณะที่สำคัญ ดังนี้คือเป็นเพศหญิงและเพศชายในสัดส่วนที่พอๆกัน มีอายุเฉลี่ย 55.67 ปีส่วนใหญ่มีสถานภาพ สมรสมีการศึกษาในระดับประถมศึกษา และเป็นผู้ที่มีงานทำจากการศึกษาข้อมูลเชิงประจักษ์พบว่ามีเพียงร้อยละ 8.3ของผู้ที่อยู่ในกลุ่มแซนด์วิชเจเนอ เรชั่นที่ไม่ต้องรับผิดชอบทั้งบิดา มารดาและบุตรในขณะที่ร้อยละ62 ต้องรับผิดชอบทั้งเจเนอเรชั่น บิดา มารดาและเจเนอเรชั่น บุตร และที่เหลือประมาณร้อยละ 30 รับผิดชอบเพียงเจเนอเรชั่น บิดา มารดาหรือเจเนอเรชั่น บุตรอย่างเดียวเท่านั้น ในกรณีสุดท้ายนี้ยังพบเพิ่มเติมอีกว่า มีการรับผิดชอบเจเนอเรชั่นบุตรอย่างเดียวมากกว่า การรับผิดชอบในเจเนอเรชั่น บิดา มารดาอย่า งเดียว เมื่อพิจารณาถึง ลักษณะการให้ความช่วยเหลือพบว่าทั้งเจเนอเรชั่น บิดา มารดาและบุตรอยู่ในรูปแบบที่ไม่ใช่เงิน มากกว่าการให้เงินสำหรับการช่วยเหลือเจเนอเรชั่น บิดา มารดาที่ไม่ใช่เงินนั้นส่วนใหญ่เป็นการ ซื้ออาหาร/ซื้อกับข้าว/ทำอาหารมาให้ห รือพาไปทานอาหารนอกบ้าน ส่วนการช่วยเหลือเจเนอเรชั่น บุตรนั้นส่วนใหญ่เป็นการให้คำปรึกษา/พูดคุยเป็นเพื่อนแก้เหงา/ให้กำลังใจในส่วนของผลการวิเคราะห์ผลกระทบของภาระความรับผิดชอบที่มีต่อความพึงพอใจใน ชีวิตทั้ง 4 ด้านของผู้ที่อยู่ในกลุ่มแซนด์วิชเจเนอเรชั่นโดยใช้การวิเคราะห์การถดถอยพหุนั้น พบว่า ภาระความรับผิดชอบของผูที่อยู่ในกลุ่มแซนด์วิชเจเนอเรชั่น มีผลกระทบต่อความพึงพอใจด้าน สถานภาพทางเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.001 เพียงด้านเดียวเท่านั้น
  • Thumbnail Image
    Item
    ปัจจัยที่มีผลต่อการใช้งานเครือข่ายสังคมออนไลน์ในสังคมไทย
    ธัญมาศ ทองมูลเล็ก; ปรีชา วิจิตรธรรมรส (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2017)
    การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาลักษณะการใช้งานเครือข่ายสังคมออนไลน์ในสังคมไทย และเพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการใช้งานเครือข่ายสังคมออนไลน์ในสังคมไทย ด้วยระเบียบวิธีวิจัยเชิงปริมาณ โดยทำการศึกษาจากข้อมูลทุติยภูมิที่เก็บด้วยแบบสอบถามจากโครงการสำรวจการมี การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในครัวเรือน พ.ศ. 2558 ที่ดำเนินการเก็บข้อมูลโดยสำนักงานสถิติแห่งชาติที่ใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบ Stratified Two-Stage Sampling แล้วคัดเลือก เฉพาะบุคคลที่มีอายุตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไปที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยและมีการให้ข้อมูลว่า มีการใช้ อินเทอร์เน็ตเพื่อกิจกรรมการใช้งาน Social Network (Facebook Twitter Google Plus LINE Instagram) ได้ขนาดตัวอย่างทั้งสิ้น 38,018 คน และใช้การวิเคราะห์ด้วยสถิติพรรณนา (Descriptive statistics) และการวิเคราะห์การถดถอยโลจิสติกแบบสองกลุ่ม (Binary Logistics Regression) ผลการศึกษา พบว่าลักษณะการใช้งานเครือข่ายสังคมออนไลน์ในสังคมไทยมีการใช้งานเครือข่ายสังคมออนไลน์คิด เป็นร้อยละ 92.1 โดยปัจจัยต่าง ๆ ที่มีผลต่อการการใช้งานเครือข่ายสังคมออนไลน์ในสงคมไทยอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติได้แก่ ปัจจัยส่วนบุคคล ประกอบด้วย อายุสถานภาพสมรส ภาคปัจจัยด้าน ความสามารถในการใช้เทคโนโลยีประกอบด้วยการเคยใช้บริการประเภท Data Internet ผ่าน โทรศัพท์มือถือ และปัจจัยด้านพฤติกรรมการใช้เทคโนโลยีประกอบด้วยการใช้อินเทอร์เน็ตจากที่บ้านหรือที่พักอาศัยการใช้อินเทอร์เน็ตจากสถานที่ต่าง ๆ ผ่านโทรศัพท์มือถือคอมพิวเตอร์พกพา เช่น Notebook Tablet การใช้คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะเข้าถึงอินเทอร์เน็ต และการใช้โทรศัพท์มือถือแบบ Smart Phone เข้าถึงอินเทอร์เน็ต ความถี่ในการใช้อินเทอร์เน็ต ระยะเวลาการใช้อินเทอร์เน็ตต่อวันช่วงเวลาที่เข้าใช้อินเทอร์เน็ต
  • Thumbnail Image
    Item
    ประสบการณ์ในการเรียนภาษาจีนระดับมัธยมศึกษา
    วัฒนา ประสานทอง; เดือนเพ็ญ ธีรวรรณวิวัฒน์ (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2016)
    การศึกษาเรื่องนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประสบการณ์ในการเรียนภาษาจีนระดับ มัธยมศึกษาในการพัฒนาการด้านพุทธิพิสัย ด้านจิตพิสัย และด้านทักษะพิสัย วิธีวิทยาในการวิจัย คือปรากฏการณ์วิทยา (Phenomenology) ผู้วิจัยเลือกกลุ่มตัวอย่าง ผู้ให้ข้อมูลแบบเฉพาะเจาะจง (Purposive Sampling ) เป็นผู้ให้ข้อมูลหลัก (Key Informant) ใช้การสัมภาษณ์แบบเจาะลึกกับผู้เรียนที่เคยผ่านการเรียนแผนการเรียนภาษาจีนในโรงเรียนไตรมิตรวิทยาลยั และจบการศึกษาในระดับมัธยมศึกษาปี ที่ 6 ในช่วงปีการศึกษา 2548-2556 โดยกำหนดเกณฑ์คุณสมบัติของผู้ให้ข้อมูลหลักคือ 1) รุ่นที่จบมาแล้วเมื่อ 1-2 ปี เข้าเรียนระดับอุดมศึกษา 2) รุ่นที่จบแล้ว 4-5 ปีและเริ่มเข้าสู่ตลาดแรงงาน 3)รุ่นที่จบแลว้ 6-9 ปี วัยทำงาน และมีความยินดีให้ความร่วมมือในการเล่าประสบการณ์ การเรียนของตนเอง ผลการวิจัยพบว่า 1) ด้านพุทธิพิสัย (Cognitive Domain) รุ่นที่จบมาแล้วเมื่อ1-2 ปี เข้าเรียนระดับอุดมศึกษาผู้เรียนมีทักษะการสื่อสารที่ดีอธิบายเรื่องราวด้วยไวยากรณ์วลีกลุ่มคำใน ภาษาจีนที่ใช้ในชีวิตประจำวันได้ รุ่นที่จบแล้ว 4-5 ปีและเริ่มเข้าสู่ตลาดแรงงาน ผู้เรียนมีทักษะการ สื่อสารที่ดี การออกเสียงเพื่อการสื่อสารในชีวิตประจำวันทำได้ดีเหมือนเจ้าของภาษา รุ่นที่จบแล้ว 6-9 ปี วัยทำงาน ผู้เรียนมีทักษะการสื่อสารที่ดีมาก มีความสนใจภาษาจีนเพื่อการซื้อขาย ท่องเที่ยว และธุรกิจ 2) ด้านจิตพิสัย (Affective Domain) รุ่นที่จบมาแล้วเมื่อ 1-2 ปี เข้าเรียนระดับอุดมศึกษา ผู้เรียนมีทัศนคติมุมมองที่ดีมากต่อการเรียนภาษาจีน เห็นความสำคัญและมีเป้าหมายการเรียน ภาษาจีนที่ชัดเจน เพื่อศึกษาต่อระดับอุดมศึกษาและอาชีพในอนาคต รุ่นที่จบแลว้ 4-5 ปีและเริ่มเข้าสู่ตลาดแรงงาน ผู้เรียนมีทัศนคติที่ดีมากต่อการเรียนภาษาจีน ใช้ความสามารถพิเศษ คือ การสื่อสาร ภาษาจีนในการทำงาน รุ่นที่จบการศึกษามาแล้ว 6-9 ปี วัยทำงาน ผู้เรียนมีทัศนคติ มุมมองที่ดีมาก ต่อการเรียนภาษาจีน มีทักษะชีวิตตามแนวทางปรัชญาและวัฒนธรรมจีนที่เหมาะสมกับ พื้นฐานสังคมไทย 3) ด้านทักษะพิสัย (Psychomotor Domain) รุ่นที่ จบมาแล้วเมื่อ 1-2 ปี เข้าเรียน ระดับอุดมศึกษา ผู้เรียนพัฒนาทักษะการพูดทำได้ดีผู้เรียนมีสำเนียงการออกเสียงที่ดีทุกคน การฝึกเน้นการสนทนากบัครูชาวจีนเจ้าของภาษารุ่นที่จบแล้ว 4-5 ปีและเริ่มเข้าสู่ตลาดแรงงาน ผู้เรียน แสดงถึงความตั้งใจที่จะเรียนรู้ฝึกฝนเพื่อให้ได้ทักษะการสื่อสารภาษาจีนที่ดีการเรียนเน้นการ สื่อสารกับครูจีนเจ้าของภาษามากกว่าการท่องจำในตำราเรียน รุ่นที่จบการศึกษามาแล้ว 6-9 ปี วัย ทำงาน ผู้เรียนผ่านการเรียนที่มีการฝึกฝนอย่างหนักทำให้ทกัษะภาษาจีนทำได้เป็นอย่างดีทั้งทักษะการพูด การฟังการอ่านและการเขียน
  • Thumbnail Image
    Item
    ปัจจัยที่มีผลต่อความตั้งใจเข้าสู่ตลาดแรงงานเสรีประชาคมอาเซียนด้านวิชาชีพของพยาบาล : กรณีศึกษาโรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
    ศิริพันธ์ หงษ์ทรัพย์ภิญโญ; พาชิตชนัต หงษ์ทรัพย์ภิญโญ (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2015)
    งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อความตั้งใจเข้าสู่ตลาดแรงงานเสรี ประชาคมอาเซียนด้านวิชาชีพของพยาบาลในโรงพยาบาลมหาวิทยาลัย กรณีศึกบามหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์ เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ ซึ่งผู้วิจัยได้เลือกใช้แบบสอบถามในการเก็บรวบรวมข้อมูล ประชากรในการศึกษา คือ พยาบาลวิชาชีพที่ปฏิบัติงานในโรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยการสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้น (Stratified Random Sampling) ขนาด 371 คน ซึ่งเป็นขนาดตัวอย่างที่ทำให้ความคลาดเคลื่อนของการประมาณค่าสัดส่วน (e)มีค่าไม่เกิน 0.027 ที่ระดับความเชื่อมั่น 0.95 จากนั้นได้กำหนดขนาคตัวอย่างตามสัดส่วนประเกทประชากรใน โรงพยาบาล ซึ่งได้ขนาดตัวอย่างประเภทข้าราชการจำนวน 93 คน และพนักงานมหาวิทยาลัย จำนวน 278 คน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ การวิเคราะห์ความถดถอยเชิงพหุแบบ ขั้นตอน (Stepwise Multiple Regression Analysis โดยกำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติเท่ากับ .0ร ผลการศึกษาพบว่าปัจจัยที่มีผลต่อความตั้งใจเข้าสู่ตลาดแรงานเสรีประชาคมอาเชียนด้าน วิชาชีพของพยาบาล ได้แก่ ปัจยส่วนบุคคล ประกอบด้วย อายุ การมีผู้อยู่ในอุปการะ ระดับ การศึกษาสูงสุด และลักษณะรายได้ครอบครัวแบบพอใช้เหลือเก็บ ในส่วนของปัจจัยดึงดูง (Pull tors) ประกอบด้วข ด้านความก้าวหน้าทางวิชาชีพ และด้านสถาบัน และปัจจัยผลัก Factors) ได้แก่ ด้านความก้าวหน้าทางวิชาชีพ ซึ่งมีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์พหุดูณ เท่ากับ .573 และสามารถอธิบายความแปรปรวนของความความตั้งใจเข้าสู่ตลาดแรงงานเสรีประชาคมอาเซียน ด้านวิชาชีพของพยาบาล ได้ร้อยละ 32.80 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 โคยมีค่าความ คลาดเคลื่อนมาตรฐานในการพยากรณ์ เท่ากับ + 2.2
  • Thumbnail Image
    Item
    Candlestick chart pattern recognition
    Touchpakorn Dhammathanapatchara; Ohm Sornil (National Institute of Development Administration, 2015)
    The technical analysis of stocks and trends has been used by traders for decades to predict a particular market movement. The candlestick chart pattern analysis is a widely-used technical analysis technique. With a large number of patterns, manually identifying patterns from a price chart has been found to be difficult; thus an automatic means is needed to aid investors. In this research the candlestick chart pattern recognition technique is discussed, which can effectively identify candlestick chart patterns and their evaluation.
  • Thumbnail Image
    Item
    การวิเคราะห์อัตราผลตอบแทนและความเสี่ยงของหลักทรัพย์กลุ่มประกันภัยและประกันชีวิต โดยใช้แบบจำลอง Arbitrage pricing theory
    ธนโชค กาญจนนันทวงศ์; ปรีชา วิจิตรธรรมรส (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2015)
    งานวิจัยนี้ได้ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างอัตราผลตอบแทนของหลักทรัพย์กับปัจจัยทาง เศรษฐกิจ ได้แก่ อัตราเงินเฟ้อ ปริมาณเงิน ดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรม ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ และ อัตราดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ เพื่อประมาณค่าความเสี่ยงจากปัจจัยทางเศรษฐกิจ ค่าชดเชยความ เสี่ยงจากปัจจัยทางเศรษฐกิจ และอัตราผลตอบแทนที่คาดหวังของหลักทรัพย์ โดยใช้แบบจำลอง Arbitrage Pricing Theory (APT) เพื่อเป็นเกณฑ์ในการพิจารณาตัดสินใจลงทุนในหลักทรัพย์กลุ่ม ประกันภัยและประกันชีวิต การศึกษาจะใช้ข้อมูลทุติยภูมิ ตั้งแต่เดือนมกราคม พ.ศ. 2552 ถึงเดือน ธันวาคม พ.ศ. 2556 รวม 60 เดือน ผลการศึกษาพบว่า อัตราการเปลี่ยนแปลงของดัชนีตลาด หลักทรัพย์ อัตราการเปลี่ยนแปลงของอัตราเงินเฟ้อ และอัตราการเปลี่ยนแปลงของดัชนีผลผลิต ภาคอุตสาหกรรม สามารถอธิบายการเปลี่ยนแปลงของอัตราผลตอบแทนของหลักทรัพย์ได้อย่างมี นัยสำคัญทางสถิติที่ 0.0 และมีหลักทรัพย์ที่อัตราผลตอบแทนที่เกิดขึ้นจริงของหลักทรัพย์สูงกว่า หรือเท่ากับอัตราผลตอบแทนที่คาดหวังของหลักทรัพย์ 11 หลักทรัพย์ ซึ่งเป็นหลักทรัพย์ที่มีราคาต่ำ กว่าที่ควรจะเป็น
  • Thumbnail Image
    Item
    ปัจจัยที่มีผลต่อการซื้อประกันภัยระบบแก๊สรถยนต์
    วทัญญู มหาโชคเลิศวัฒนา; ปรีชา วิจิตรธรรมรส (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2015)
    การศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการซื้อประกันภัระบบแก๊สรถขนต์ ในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ ศึกษาการรับรู้ประกันภัยระบบแก๊สรถขนต์ และปัจจัยที่มีผลต่อการซื้อประกันภัยระบบแก็สรถยนต์ เพื่อเป็นแนวทางสำหรับบริษัทประกันวินาศภัยในการระบุกลุ่มเป้าหมาย และพัฒนาผลิตภัณฑ์ ประกันภัยประเภทนี้หรือผลิตภัณฑ์ประเภทอื่นๆ งานวิจัยนี้ทำการศึกษาผู้ขับขี่รถยนต์ที่ติดตั้งแก๊ส ระบบ LPG ในเขตกรุงเทพมหานครโดยใช้วิธีการสุ่มตัวอย่าง 2 ขั้นแบบมีระบบ (Tvo-Stage Systematic Sampling) จำนวน 384 ราช และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา (Descriptive Statistics) การทดสอบไคสแควร์ (Chi-Square Test) และการทดสอบที (t-test Statistics) ผลการวิจัยสรุปได้ดังนี้ ปัจจัยความเป็นเจ้าของรถยี่ห้อรถ และประเภทประกันภัยรถยนต์เท่านั้นที่ไม่มีผลต่อการ รับรู้ประกันภัยระบบแก๊สรถยนต์ ปัจจัยที่มีผลต่อการซื้อประกันภัยระบบแก๊สรถยนต์ได้แก่ อายุ ระดับการศึกษา รายได้เฉลี่ยต่อเดือน อายุรถขนต์ ระยะเวลาที่ใช้แก๊ส ค่าใช้จ่ายเชื้อเพลิงก่อนติดแก๊ส ประเภทประกันภัยรถยนต์ และความเสี่ยงเมื่อติดตั้งระบบแก๊สรถยนต์ ปัจจัยที่มีผลต่อการซื้อ ธุระกันภัยระบบแก๊สรถยนต์ต่อคือ ระดับการศึกษา ประเภทรถ และอายุรถยนต์ เท่านั้น ปัจจัยที่มี ผลต่อการซื้อประกันภัยระบบแก๊สรถยนต์เพิ่มคือ ระดับการศึกษา อายุรถยนต์ ค่าใช้จ่ายเชื้อเพลิง ก่อนติดแก๊ส ประเภทประกันภัยรถยนต์ และความเสี่ยงเมื่อติดตั้งระบบแก๊สรถยนต์
  • Thumbnail Image
    Item
    การสร้างความปลอดภัยข้อมูลในการประมวลผลแบบกลุ่มเมฆตามข้อตกลงคีย์กลุ่ม Diffie-Hellman
    ปริญญา นาโท; ปราโมทย์ กั่วเจริญ (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2014)
    วิทยานิพบธ์นี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอวิธีการสร้างความปลอดภัยของไฟล์ข้อมูลในการ ประมวลผลแบบคลุ่มเมฆ โดยไฟล์ข้อมูลจะถูกเข้ารหัสก่อนการอัพโหลด และมีคีย์สำหรับเข้ารหัสและถอครหัสของแต่ละไฟล์ สมาชิกสามารถเข้าร่วมกลุ่มหรือออกจากกลุ่มสมาชิกได้ตลอดเวลา ในการรักษาความปลอดภัยของกลุ่มสมาชิกจะใช้วิธีการแลกเปลี่ยนคีย์กลุ่มตามข้อตกลง Diffie-Hellman นอกจากนี้ได้นำแนวคิดการนำโครงสร้างต้นไม้มาประยุกต์เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการคำนวณหาคีย์กลุ่ม สมาชิกภายในกลุ่มจะสามารถเปิดข้อมูลที่เข้ารหัสไว้ได้โดยใช้คีย์กลุ่มซึ่งสมาชิกสามารถคำนวณหาคีย์กลุ่มได้ตามโครงสร้างด้นไม้
  • Thumbnail Image
    Item
    พฤติกรรมการเปิดรับชม การใช้ประโยชน์ และความพึงพอใจจากละครโทรทัศน์หลังข่าวภาคค่ำของผู้หญิงในเขตกรุงเทพมหานคร
    ณัฐวีณา ศรีหิรัญ; ปริชา วิจิตรธรรมรส (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2015)
    การศึกษาวิจัยเรื่อง พฤติกรรมการเปิดรับชม การใช้ประโยชน์ และความพึ่งพอใจจาก ละตรโทรทัศน์หลังข่าวภาดค่ำของผู้หญิงในขตกรุงเทพมหานคร มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) เพื่อ ศึกษาพฤติกรรมการเปิดรับชมละครโทรทัศน์หลังข่าวภาคค่ำของผู้หญิงในเขตกรุงเทพมหานคร 2) เพื่อศึกษาการใช้ประโยชน์และค วามพึงพอใจที่มีต่อจากละครโทรทัศน์หลังข่าวภาคค่ำของ ผู้หญิงในเขตกรุงเทพมหานคร 3 เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างพฤดิกรรมการเปีดรับชมกับ การใช้ประโยชน์และความพึงพอใจที่มีต่อละครโทรทัศน์หลังข่าวภาคค่ำของผู้หญิงในเขต กรุงเทพมหานคร การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงสำ รวจ (Survey Research) เก็บรวบรวมข้อมูล โดยใช้ แบบสอบถาม (Questionnaires) เก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างซึ่งเป็นผู้หญิงในเขตรุงเทพมหานคร จำนวน 400 คน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา (Descipltive Statistcs) แสดงดำร้อยละ (Percentage) ค่าเฉลี่ย (Mean) ความถี่ (Frequency) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) ส่วนการทดสอบสมมดิฐานใช้สถิติ (t-test One-way ANOVA) สัมประสิทธิ์ สหสัมพันธ์แบบเพียร์สันและการวิเคราะห์ถดถอยแบบพหุคูณ ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มตัวอย่างมีอายุระหว่าง 21-30 ปีมากที่สุด ร้อยละ 40.5 มี การศึกษาระดับปริญญาตรี ร้อยละ 51.3 มีอาชีพพนักงานบริษัทเอกชน ร้อยละ 35.0 มีรายได้ ต่อเดือนระหว่าง 10,00 1-20,000 บาท ร้อยละ 31.05 มีสถานภาพโสด ร้อยละ 70.8 เปิดรับชม ละครโทรทัศน์หลังข่าวภาคค่ำทุกวัน ร้อยละ 30.3 ส่วนใหญ่ดูละครโทรทัศน์หลังข่าวภาคค่ำเพื่อ ความสนุกสนาน บันเทิง ร้อยละ 535 ชอบดูละครโทรทัศน์หลังข่าวภากค่ำประเภทละครตลก เบาสมอง ร้อยละ51.0 ส่วนใหญ่ดูละครโทรทัศน์หลังข่าวภาคค่ำทางสถานีโทรทัศน์ช่อ3 ร้อยละ 52.0 เหตุผลที่ดูละครโทรทัศน์หลังข่าวภาคต่ำทางสถานีโทรทัศน์ได้แก่ การดำเนินเรื่องที่สนุแลก ร้อยละ 33.0 ซึ่งพฤติกรรมในการดูละครโทรทัศน์ในแต่ละครั้งจะ ดูและเปลี่ยนไปดูรายการอื่นๆ เมื่อละครน่าเบื่อไม่สนุก ร้อยละ 36.5 มีการใช้ประโยชน์จากละครโทรทัศน์หลังข่าวภาคค่ำใน Ploy Thanaporn Ploy ภาพรวมอยู่ในระดับมาก ค่าเฉลี่ย 3.48 และมีความพึ่งพอใจที่มีต่อละครโทรทัศน์หลังข่าวภาค ค่ำในภาพรวมอยู่ในระดับมาก ค่าเฉลี่ย 3.63 ผลการทดสอบสมมติฐานวิจัยพบว่า อายุ ระดับการศึกษา อาชีพ รายได้ต่อเดือน และ สถานภาพ มีความพึงพอใจต่อละครโทรทัศน์หลังข่าวภา คค่ำของผู้หญิงในเขตกรุงเทพมหานค อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ความถี่ในการเปิดรั บชมละครโทรทัศน์หลังข่าวภ าคค่ำ ประเภทเนื้อหาของละครโทรทัศน์ที่ชอบดูมากที่สุด และเหตุผลที่ดูละครโทรทัศน์หลังข่าวภาคค่ำ มีความพึงพอใจต่อละครโทรทัศน์หลังข่าวกาคค่ำของผู้หญิงในเขตกรุงเทพมหานครอย่างมี นัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และการใช้ประโยชน์จากละครโทรทัศน์หลังข่าวภาคค่ำ ด้าน ความต้องสารสนเทศ ความต้องการการสร้างเอกลักษณ์ให้แก่บุคคล ความต้องการรวมตัวและ ปฏิสัมพันธ์ทางสังคม และความต้องการความบันเทิง มีความสัมพันธ์กับความพึงพอใจต่อละคร โทรทัศน์หลังข่าวภาคต่ำของผู้หญิงในเขตกรุงเทพมหานครอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 และการใช้ประโยชน์ จากละคร์โทรทัศน์หลังข่าวภาคค่ำ ด้านความต้องการการสร้าง เอกลักษณ์ให้แก่บุคคล และความต้องการความบันเทิงมีผลต่อความพึงพอใจที่มีต่อละคร โทรทัศน์หลังข่าวภาคค่ำของผู้หญิงในเขตกรุงเทพมหานครได้ดีที่สุดและมีผลทางบวกเรียง ตามลำดับความสำคัญ โดยตัวแปรอิสระทั้งหมดอธิบายควา มพึงพอใจที่มีต่อละครโทรทัศน์หลัง ข่าวภาคค่ำของผู้หญิงในเขตกรุงเทพมหานครประมาณร้อยละ 59.3
  • Thumbnail Image
    Item
    ปัจจัยสำคัญที่ส่งเสริมความสำเร็จในการใช้ระบบ e-Learning เพื่อพัฒนาการเรียนรู้ของบุคลากรที่ทำงานในธนาคารพาณิชย์ในเขตกรุงเทพมหานคร
    ธีรดา อภิบุณโยภาส; นิธินันท์ ธรรมากรนนท์ (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2014)
    ระบบ e-Learning เป็นเครื่องมือที่หลายองค์การนำมาใช้ในการฝึกอบรมเพื่อพัฒนาความรู้ของบุคลากรในองค์การเนื่องจากเป็นระบบที่สามารถเข้าถึงเนื้อหาได้สะดวกและรวดเร็ว การนำระบบ e-Learning เข้ามาใช้ในองค์การในการพัฒนความรู้และทักษะของบุคลากรได้อย่างมีประสิทธิภาพจึงเป็นสิ่งสำคัญที่หลายองค์การให้ความสำคัญ การศึกษานี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยสำคัญที่ส่งเสริมความสำเร็จในการใช้ระบบ e-Learning มาสนับสนุนให้เกิดการเรียนรู้และการพัฒนาบุคลากร ซึ่งจะส่งผลให้มีการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน สำหรับบุคลากร ของธนาคารพาณิชย์ในเขตกรุงเทพมหานคร โดยมีประชากรที่ใช้ในการศึกษา คือ บุคลากรธนาคารพาณิชย์ในเขตกรุงเทพมหานคร ข้อมูลสำหรับการศึกษานี้เป็นข้อมูลจากตัวอย่างขนาค 633 คน โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล ผลการศึกษาพบว่า ปัจจัยด้านผู้เรียนหรือบุคลากรและระบบ e-Learning มีอิทธิพลต่อการเรียนรู้และการพัฒนาบุคลากร และปัจจัยด้านการเรียนรู้และการพัฒนาบุคลากรมีอิทธิพลต่อความพึงพอใจในการทำงานของบุคลากรอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 นอกจากนี้เมื่อพิจารณาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการเรียนรู้และการพัฒนาบุคลากร พบว่า คุณลักษณะของผู้เรียนที่มีความพร้อมในการเรียนรู้และต้องการพัฒนาตนเอง มีผลต่อการเรียนรู้และการพัฒนาบุคลากร รวมทั้งคุณลักษณะของระบบ e-Learning ประกอบด้วยความเสถียรและสมบูรณ์ของระบบ e-Learning เนื้อหา หลักสูตร ช่องทางในการดิดต่อสื่อสารภายในระบบ e-Learning และการบริหารจัดการระบบ e-Learning มีผลต่อการเรีขนรู้และการพัฒนาบุคลากร และ เมื่อพิจารณาปัจจัขที่มีอิทธิพลต่อความพึงพอใจในการทำงานของบุคลากร พบว่า เมื่อผู้เรียนหรือบุคลากรมีความพร้อมในการเรียนรู้และต้องการพัฒนาตนเอง และระบบ e-Learning ที่สามารถเป็นเครื่องมือในการตอบสนองความต้องการของผู้เรียนหรือบุคลากรในการเรียนรู้และฝึกอบรมจะส่งผลให้ผู้เรียนหรือบุคลากรเกิดการเรียนรู้ และสามารถนำความรู้ที่ได้รับไปใช้ในการวางแผนและปรับปรุงแนวทางในการทำงาน จนทำให้งานประสบความสำเร็จ ซึ่งจะส่งผลให้ผู้เรียนหรือบุคลากรเกิดความพึงพอใจในการทำงานได้
  • Thumbnail Image
    Item
    การเปรียบเทียบการคัดเลือกตัวแบบการถดถอยแบบริดจ์ โดยใช้เกณฑ์ซีพีและสถิติทดสอบซีพี
    ปวริศ มีบางไทร; วิชิต หล่อจีระชุณห์กุล (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2018)
    การศึกษามีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบการคัดเลือกตัวแปรอิสระในการวิเคราะห์การถดถอย แบบริดจ์เชิงเส้นพหุคูณ ที่ใช้วิธีการประมาณค่าพารามิเตอร์ริดจ์5 วิธี คือวิธีของโฮเอิร์ล เคนนาร์ด วิธีของโฮเอิร์ล เคนนาร์ดและบาลด์วิน วิธีของลอว์เลสและแวง วิธีของคาลาฟและชูเกอร์ และวิธีกำลัง สองน้อยที่สุด โดยใช้วิธีการคัดเลือกแบบไปข้างหน้าและการกำจัดแบบถอยหลังโดยใช้เกณฑ์ซีพีและ สถิติทดสอบซีพีผลการจำลองข้อมูลสรุปได้ว่าเมื่อขนาดตัวอย่าง 15, 20, 30,50 และ100ร้อยละของ จำนวนคร้ังที่คัดเลือกตัวแบบได้ถูกต้องเมื่อใช้สถิติทดสอบซีพีมีค่าสูงกวา่ การใช้เกณฑ์ซีพีในการใช้ วิธีการคัดเลือกแบบไปข้างหน้าและการกำจัดแบบถอยหลัง ซึ่งผลการศึกษาไม่พบตัวแบบ Underspecification และ Misspecification มีเพียงตัวแบบ Overspecification ซึ่งเป็นปัญหาที่มีความรุนแรง ในการวิเคราะห์น้อยกว่าตัวแบบในสองกรณีแรก นอกจากนั้น พบว่า ทุกระดับความสัมพันธ์ของตัวแปร อิสระระหว่าง x1 และ x2 มีการคัดเลือกตัวแบบได้ถูกต้องไม่แตกต่างกัน และวิธีการประมาณค่าพารามิเตอร์ริดจ์ด้วยวิธีต่างๆ สามารถคัดเลือกได้ถูกต้องสูงกว่าวิธีกำลังสองน้อยที่สุด เมื่อตัวอย่างมีขนาดเล็ก และสามารถคัดเลือกตัวแบบได้ถูกต้องไม่แตกต่างกัน เมื่อตัวอย่างมีขนาดใหญ่ขึ้น
  • Thumbnail Image
    Item
    ทัศนคติของนักศึกษาต่อผลกระทบของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนจากการเปิดเสรีในอาเซียนด้านการเคลื่อนย้ายแรงงานสายอาชีพ ICT
    ปภากร อุบลศรี; พาชิตชนัต ศิริพานิช (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2015)
    การวิจัยเชิงปริมาณครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาทัตนคติของนักศึกษาเกี่ยวกับ ประชาคมอาเซียน (ASEAN) 2) ศึกษาทัศนคติของนักศึกษาเกี่ยวกับผลกระทบ จากการเปิดเสรี ในอาเซียนด้านการเคลื่อนย้ายแรงงานสายอาชีพ ICT 3) ศึกษาปัจจัยส่วนบุคคลที่มีผลต่อ ทัศนคติของนักศึกษาเกี่ยวกับผลกระทบของการเปิดเสรีในอาเซียนด้านการเคลื่อนย้ายแรงงาน สายอาชีพICT ประชากรของการศึกษา คือ นักศึกษาที่ศึกษาระดับปริญญาตรี ใน สถาบันอุดมศึกษาไทยที่ได้รับการจัดระดับโดย QSworld University Rankings ให้เป็น 100 อันดับแรกของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ในสาขาวิศวกรรมศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งมีอยู่ทั้งสิ้น 10 สถาบัน ข้อมูลที่ใช้ในการศึกษาได้มาจากตัวอย่างขนาด 373 คนโดยวิธีการสุ่มตัวอย่างแบบกลุ่ม หลายขั้น เครื่องมือที่ช้เป็นแบบสอบถามซึ่งผ่านการตรวจสอบความตรง (Validity) และความ เชื่อถือได้ (Reliability) แล้ว
  • Thumbnail Image
    Item
    ผลกระทบจากการบริการของเท็กซี่มิเตอร์ต่ออารมณ์รูปแบบการเผชิญ และความตั้งใจกลับใช้บริการ โดยมีบุคลิกภาพเป็นตัวแปรกำกับ
    วศิน แก้วชาญค้า; อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2015)
    วิทยานิพนธ์เรื่อง ผลกระทบจากการบริการของแท็กซี่มิเตอร์ต่ออารมณ์ รูปแบบการเผชิญ และความตั้งใจกลับไปใช้บริการ โดยมีบุคลิกภาพเป็นตัวแปรกำกับ มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ศึกษา ผลกระทบจากการบริการแท็กซี่มิเตอร์ต่ออารมณ์ รูปแบบการเผชิญ การรับรู้การควบคุมพฤติกรรม ทางเลือกการใช้บริการ ต่อความตั้งใจกลับไปใช้บริการ และสร้างตัวแบบเส้นทางความสัมพันธ์ จำแนกตามเพศ และ (2) ทดสอบว่าบุคลิกภาพเป็นตัวแปรกำกับความสัมพันธ์ระหว่างอารมณ์และ รูปแบบการเผชิญ ต่อความตั้งใจกลับไปใช้บริการของผู้ใช้บริการ งานวิจัยนี้เก็บรวบรวมข้อมูลด้วย แบบสอบถามทางออนไลน์และการสำรวจภาคสนาม จากประชาชนทั่วไปที่เคยใช้บริการแท็กซี่ มิเตอร์ในกรุงเทพมหานคร จำนวน 501 คน (เพศชาย 206 คน และเพศหญิง 295 คน) ในเพศชายจะมีพฤติกรรมการเผชิญแบบจัดการโดยตรงแม้จะมีความกลัวอยู่ในใจ แต่ใน เพสหญิงอารมณ์เชิงลบที่เกิดขึ้นจะเป็นอารมณ์ที่มีความซับช้อนในรูปแบบความกลัวผสมกับความ โกรธ ซึ่งความโกรธเป็นตัวแปรกำกับความสัมพันธ์ระหว่างความกลัวกับรูปแบบการเผชิญ เมื่อ ผู้โดยสารเพศหญิงโกรธและกลัวในเวลาเดียวกัน จะใช้มีการเผชิญแบบการจัดการโดยตรงและการ เผชิญแบบแสวงหาการสนับสนุนมากขึ้น แต่จะมีการเผชิญแบบหลีกเลี่ยงน้อยลง