ประสิทธิผลการนำนโยบายป้องปรามทุจริตเลือกตั้งขององค์กรกลางไปปฏิบัติการ : วิจัยปฏิบัติการเรื่องการนำระบบข่าวสารข้อมูลด้านกว้างและด้านลึกเพื่อแจ้งเตือนผู้ที่อยู่ในข่ายเบาะแสละเมิดกฎหมายเลือกตั้งในเขตเลือกตั้ง ค จังหวัดนครศรีธรรมราช
Publisher
Issued Date
1993
Issued Date (B.E.)
2536
Available Date
Copyright Date
Resource Type
Series
Edition
Language
tha
File Type
application/pdf
No. of Pages/File Size
ก-ช [100], 34 แผ่น
ISBN
ISSN
eISSN
Other identifier(s)
Identifier(s)
Access Rights
Access Status
Rights
ผลงานนี้เผยแพร่ภายใต้ สัญญาอนุญาตครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 4.0 (CC BY-NC-ND 4.0)
Rights Holder(s)
Physical Location
สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์. สำนักบรรณสารการพัฒนา
Bibliographic Citation
Citation
สาคร บุญอาจ (1993). ประสิทธิผลการนำนโยบายป้องปรามทุจริตเลือกตั้งขององค์กรกลางไปปฏิบัติการ : วิจัยปฏิบัติการเรื่องการนำระบบข่าวสารข้อมูลด้านกว้างและด้านลึกเพื่อแจ้งเตือนผู้ที่อยู่ในข่ายเบาะแสละเมิดกฎหมายเลือกตั้งในเขตเลือกตั้ง ค จังหวัดนครศรีธรรมราช. Retrieved from: http://repository.nida.ac.th/handle/662723737/1768.
Title
ประสิทธิผลการนำนโยบายป้องปรามทุจริตเลือกตั้งขององค์กรกลางไปปฏิบัติการ : วิจัยปฏิบัติการเรื่องการนำระบบข่าวสารข้อมูลด้านกว้างและด้านลึกเพื่อแจ้งเตือนผู้ที่อยู่ในข่ายเบาะแสละเมิดกฎหมายเลือกตั้งในเขตเลือกตั้ง ค จังหวัดนครศรีธรรมราช
Alternative Title(s)
The effectiveness of policy implementation on protecting election dishonesty of the Poll Watch Committee : a case study of action research on the use of open and specific target group media of information system for warning the suspected election law violators in election area C Nakornsrithammarath Province
Author(s)
Advisor(s)
Editor(s)
item.page.dc.contrubutor.advisor
Advisor's email
Contributor(s)
Contributor(s)
Abstract
การวิจัยนี้เป็นการวิจัยปฏิบัติการ ผู้วิจัยได้เข้าไปร่วมปฏิบัติการในพื้นที่ทดลองเป็นเวลา 1 เดือน โดย มีวัตถุประสงค์ที่จะศึกษาถึงผลของการนำระบบข่าวสารข้อมูลด้านกว้างและด้านลึกเพื่อแจ้งเตือนผู้ที่อยู่ในข่ายเบาะแสละเมิดกฎหมายเลือกตั้ง ตลอดจนศึกษาถึงปัจจัยต่าง ๆ ที่มีอิทธิพลต่อประสิทธิผลของการนำนโยบายป้องปรามทุจริตเลือกตั้งขององค์กรกลางไปปฏิบัติ รวมถึงปัญหาและอุปสรรคในการปฏิบัติงาน กลุ่มตัวอย่างคือ หัวคะแนนของผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่อยู่ในข่ายเบาะแสละเมิดกฎหมายเลือกตั้ง.
ผลการวิจัยพบว่า.
1. การนำสื่อด้านกว้าง อันได้แก่ โปสเตอร์ สติกเกอร์ สื่อโฆษณาทางทีวีและวิทยุกระจายเสียง ฯลฯ ไปใช้ในการแจ้งเตือนที่ไม่เน้นกลุ่มเป้าหมายและพื้นที่เป้าหมายใดโดยเฉพาะ พบว่าการใช้สื่อด้านกว้างนั้นส่งผลต่อการรับรู้ของประชาชนอยู่ในระดับหนึ่ง แต่มิได้เกิดผลในด้านการนำไปปฏิบัติ ปัญหาของกลไกการกระจายสื่อด้านกว้างคือความล่าช้าในการส่งไปยังพื้นที่ต่าง ๆ และอาสาสมัครบางส่วนไม่ได้ดำเนินการประชาสัมพันธ์ต่อ
2. การนำสื่อด้านลึกโดยใช้รถประชาสัมพันธ์เคลื่อนที่จำนวน 4 คัน ซึ่งติดคัดเอาท์, เทปบันทึกเสียง, แจกใบปลิว, ติดโปสเตอร์, การปราศรัย ตลอดจนการปรากฏตัวแบบเผชิญหน้า พร้อมทั้งขยายผลการปรากฏตัว ซึ่งเป็นยุทธวิธีแจ้งเตือนที่มีลักษณะเน้นไปยังกลุ่มเป้าหมายและพื้นเป้าหมาย ผลการวิจัยพบว่าสื่อด้านลึกทำให้เกิดผลในการยับยั้งพฤติกรรมการเคลื่อนไหวของหัวคะแนนไม่ให้กระทำการทุจริตในการเลือกตั้ง.
3. กระบวนการนำนโยบายป้องปรามทุจริตเลือกตั้งขององค์กรกลางไปปฏิบัติประสบผลสำเร็จได้ด้วยองค์ประกอบ 4 ประการคือ
3.1 ด้านความแจ่มชัดในเป้านโยบาย คือ มีเป้าในการนำนโยบายไปปฏิบัติ 3 ด้านด้วยกันคือ เป้าป้องกันการทุจริต เป้าปราบปรามการทุจริต และเป้าส่งเสริมให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการแจ้งเหตุเมื่อพบเห็นผู้กระทำความผิด
3.2 ด้านการมีแผนปฏิบัติการในการแจ้งเตือน ได้มีการประชาสัมพันธ์เคลื่อนที่สองรอบคือ รอบแรกกระทำในช่วงกลางฤดูการเลือกตั้งในพื้นที่เป้าหมายทุกตำบลใน 5 อำเภอ รอบที่สอง กระทำในช่วงปลายฤดูการเลือกตั้งในพื้นที่เป้าหมายหลัก เพื่อเป็นการตอกย้ำให้หัวคะแนนรับรู้ว่ากำลังถูกองค์กรกลางและมหาดไทยจับตามองอยู่
3.3 ด้านยุทธวิธีในการแจ้งเตือน มีการเลือกรูปแบบการแจ้งเตือนที่เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายและพื้นที่เป้าหมายคือ การปรากฏตัวแบบเผชิญหน้าโดยการสัมภาษณ์หัวคะแนนในพื้นที่อำเภอ ค และดักจับรถขนธนบัตรในพื้นที่อำเภอ ง พร้อมทั้งมีการขยายผลการปรากฏตัวไปยังพื้นที่อำเภอ ก, ข และ จ
3.4 ด้านความพร้อมในทรัพยากรการบริหาร ซึ่งประกอบด้วย อัตรากำลัง งบประมาณ วัสดุอุปกรณ์ และระยะเวลา พบว่ามีความเหมาะสม
4. ประสิทธิผลของการนำนโยบายป้องปรามทุจริตเลือกตั้งไปปฏิบัติ แบ่งออกเป็น 2 ด้านคือ
4.1 ด้านคุณภาพโดยการสังเกตพฤติกรรมแบบไม่มีส่วนร่วมจากการสัมภาษณ์หัวคะแนนในพื้นที่อำเภอ ค พบว่า หัวคะแนนส่วนใหญ่มีความหวาดหวั่น เกรงกลัว ระแวงกลัวถูกลงโทษ
4.2 ด้านปริมาณ โดยใช้เป้าชนะเปรียบเทียบกับผลคะแนนที่ผู้สมัครได้รับจากการเลือกตั้ง พบว่า ผู้สมัครของพรรคที่หัวคะแนนถูกแจ้งเตือนได้คะแนนต่ำกว่าเป้าชนะ และพ่ายแพ้ในการเลือกตั้งทั้งสามราย เนื่องจากหัวคะแนนส่วนใหญ่หยุดพฤติกรรมการเคลื่อนไหว เพราะเกรงกลัว หวาดหวั่น ระแวง กลัวถูกลงโทษ
สรุปผลการวิจัย.
การนำเอานโยบายป้องปรามทุจริตเลือกตั้งขององค์กรกลางไปปฏิบัติประสบความสำเร็จได้ ด้วยการนำระบบข่าวสารข้อมูลด้านกว้างและด้านลึก เพื่อแจ้งเตือนประกอบกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสื่อด้านลึกนั้น สามารถยับยั้งพฤติกรรมการเคลื่อนไหวของหัวคะแนนที่ถูกแจ้งเตือน
ผลการวิจัยพบว่า.
1. การนำสื่อด้านกว้าง อันได้แก่ โปสเตอร์ สติกเกอร์ สื่อโฆษณาทางทีวีและวิทยุกระจายเสียง ฯลฯ ไปใช้ในการแจ้งเตือนที่ไม่เน้นกลุ่มเป้าหมายและพื้นที่เป้าหมายใดโดยเฉพาะ พบว่าการใช้สื่อด้านกว้างนั้นส่งผลต่อการรับรู้ของประชาชนอยู่ในระดับหนึ่ง แต่มิได้เกิดผลในด้านการนำไปปฏิบัติ ปัญหาของกลไกการกระจายสื่อด้านกว้างคือความล่าช้าในการส่งไปยังพื้นที่ต่าง ๆ และอาสาสมัครบางส่วนไม่ได้ดำเนินการประชาสัมพันธ์ต่อ
2. การนำสื่อด้านลึกโดยใช้รถประชาสัมพันธ์เคลื่อนที่จำนวน 4 คัน ซึ่งติดคัดเอาท์, เทปบันทึกเสียง, แจกใบปลิว, ติดโปสเตอร์, การปราศรัย ตลอดจนการปรากฏตัวแบบเผชิญหน้า พร้อมทั้งขยายผลการปรากฏตัว ซึ่งเป็นยุทธวิธีแจ้งเตือนที่มีลักษณะเน้นไปยังกลุ่มเป้าหมายและพื้นเป้าหมาย ผลการวิจัยพบว่าสื่อด้านลึกทำให้เกิดผลในการยับยั้งพฤติกรรมการเคลื่อนไหวของหัวคะแนนไม่ให้กระทำการทุจริตในการเลือกตั้ง.
3. กระบวนการนำนโยบายป้องปรามทุจริตเลือกตั้งขององค์กรกลางไปปฏิบัติประสบผลสำเร็จได้ด้วยองค์ประกอบ 4 ประการคือ
3.1 ด้านความแจ่มชัดในเป้านโยบาย คือ มีเป้าในการนำนโยบายไปปฏิบัติ 3 ด้านด้วยกันคือ เป้าป้องกันการทุจริต เป้าปราบปรามการทุจริต และเป้าส่งเสริมให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการแจ้งเหตุเมื่อพบเห็นผู้กระทำความผิด
3.2 ด้านการมีแผนปฏิบัติการในการแจ้งเตือน ได้มีการประชาสัมพันธ์เคลื่อนที่สองรอบคือ รอบแรกกระทำในช่วงกลางฤดูการเลือกตั้งในพื้นที่เป้าหมายทุกตำบลใน 5 อำเภอ รอบที่สอง กระทำในช่วงปลายฤดูการเลือกตั้งในพื้นที่เป้าหมายหลัก เพื่อเป็นการตอกย้ำให้หัวคะแนนรับรู้ว่ากำลังถูกองค์กรกลางและมหาดไทยจับตามองอยู่
3.3 ด้านยุทธวิธีในการแจ้งเตือน มีการเลือกรูปแบบการแจ้งเตือนที่เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายและพื้นที่เป้าหมายคือ การปรากฏตัวแบบเผชิญหน้าโดยการสัมภาษณ์หัวคะแนนในพื้นที่อำเภอ ค และดักจับรถขนธนบัตรในพื้นที่อำเภอ ง พร้อมทั้งมีการขยายผลการปรากฏตัวไปยังพื้นที่อำเภอ ก, ข และ จ
3.4 ด้านความพร้อมในทรัพยากรการบริหาร ซึ่งประกอบด้วย อัตรากำลัง งบประมาณ วัสดุอุปกรณ์ และระยะเวลา พบว่ามีความเหมาะสม
4. ประสิทธิผลของการนำนโยบายป้องปรามทุจริตเลือกตั้งไปปฏิบัติ แบ่งออกเป็น 2 ด้านคือ
4.1 ด้านคุณภาพโดยการสังเกตพฤติกรรมแบบไม่มีส่วนร่วมจากการสัมภาษณ์หัวคะแนนในพื้นที่อำเภอ ค พบว่า หัวคะแนนส่วนใหญ่มีความหวาดหวั่น เกรงกลัว ระแวงกลัวถูกลงโทษ
4.2 ด้านปริมาณ โดยใช้เป้าชนะเปรียบเทียบกับผลคะแนนที่ผู้สมัครได้รับจากการเลือกตั้ง พบว่า ผู้สมัครของพรรคที่หัวคะแนนถูกแจ้งเตือนได้คะแนนต่ำกว่าเป้าชนะ และพ่ายแพ้ในการเลือกตั้งทั้งสามราย เนื่องจากหัวคะแนนส่วนใหญ่หยุดพฤติกรรมการเคลื่อนไหว เพราะเกรงกลัว หวาดหวั่น ระแวง กลัวถูกลงโทษ
สรุปผลการวิจัย.
การนำเอานโยบายป้องปรามทุจริตเลือกตั้งขององค์กรกลางไปปฏิบัติประสบความสำเร็จได้ ด้วยการนำระบบข่าวสารข้อมูลด้านกว้างและด้านลึก เพื่อแจ้งเตือนประกอบกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสื่อด้านลึกนั้น สามารถยับยั้งพฤติกรรมการเคลื่อนไหวของหัวคะแนนที่ถูกแจ้งเตือน
Table of contents
Description
วิทยานิพนธ์ (พบ.ม.(พัฒนาสังคม))--สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2536.