ความแปลกแยกของแรงงานในอุตสาหกรรมไทย
Publisher
Issued Date
1987
Available Date
Copyright Date
Resource Type
Series
Edition
Language
tha
File Type
application/pdf
No. of Pages/File Size
[113] แผ่น
ISBN
ISSN
eISSN
Other identifier(s)
Identifier(s)
Access Rights
Access Status
Rights
ผลงานนี้เผยแพร่ภายใต้ สัญญาอนุญาตครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 4.0 (CC BY-NC-ND 4.0)
Rights Holder(s)
Physical Location
สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์. สำนักบรรณสารการพัฒนา
Bibliographic Citation
Citation
สมชาย ตระการกีรติ (1987). ความแปลกแยกของแรงงานในอุตสาหกรรมไทย. Retrieved from: http://repository.nida.ac.th/handle/662723737/2137.
Title
ความแปลกแยกของแรงงานในอุตสาหกรรมไทย
Alternative Title(s)
Labour's alienation in Thai industry
Author(s)
Editor(s)
Advisor(s)
Advisor's email
Contributor(s)
Contributor(s)
Abstract
จากผลการศึกษาสรุปได้ว่า แรงงานในอุตสาหกรรมไทยมีความแปลกแยกดำรงอยู่ในระดับสูง เกือบทุกลักษณะของความแปลกแยก อันได้แก่ สภาวะเหินห่างจากตนเอง สภาวะไร้อำนาจ สภาวะไร้ความหมาย สภาวะสิ้นหวัง เว้นแต่สภาวะปรปักษ์เท่านั้นที่ดำรงอยู่ในระดับไม่สูงนัก ลักษณะของความแปลกแยกแต่ละลักษณะมีประเด็นที่ค้นพบแตกต่างกันไปบ้างดังนี้
ลักษณะของสภาวะเหินห่างจากตนเอง ได้พบทั้งในด้านการดำเนินการผลิตและผลผลิตแรงงาน กล่าวคือ ผู้ใช้แรงงานส่วนใหญ่มีความผูกพันกับค่าจ้างหรือค่าตอบแทนเป็นด้านหลัก โดยคำนึงถึงสุขภาพและความปลอดภัยของชีวิตตนเองเป็นเพียงด้านรอง มีผู้ใช้แรงงานเพียงส่วนน้อยที่คำนึงถึงความผูกพันและเห็นคุณค่าในผลผลิตแรงงานหรือสิ่งของที่ตนใช้แรงงานผลิตเป็นด้านหลัก
ลักษณะของสภาวะไร้อำนาจ ได้พบทั้งในด้านภาระหน้าที่การผลิต กระบวนการผลิต และกรรมวิธีการผลิต กล่าวคือ ผู้ใช้แรงงานนอกจากจะมีส่วนร่วมน้อยแล้ว ยังมีบทบาทน้อยมาก ในการกำหนดและการเปลี่ยนแปลงภาระหน้าที่การผลิต กระบวนการผลิต และกรรมวิธีการผลิต
ลักษณะของสภาวะไร้ความหมาย ได้พบทั้งในด้านกระบวนการผลิตและผลผลิตแรงงาน ทั้งนี้เพราะผู้ใช้แรงงานส่วนใหญ่เห็นว่าตนเป็นเพียงปัจจัยหนึ่งที่ประกอบอยู่ในระบบการผลิต ที่มีการใช้เครื่องจักรเป็นหลัก ภายใต้ลักษณะการแบ่งงานกันทำเป็นส่วนต่าง ๆ ของกระบวนการผลิตในอุตสาหกรรม
ลักษณะของสภาวะสิ้นหวัง ได้พบทั้งในด้านสถานภาพทางเศรษฐกิจและสถานภาพทางสังคม ซึ่งผู้ใช้แรงงานส่วนใหญ่เห็นว่าตนมีรายได้เพียงระดับยังชีพ และก็มีจำนวนอีกไม่น้อยที่เห็นว่ามีรายได้ต่ำกว่าระดับยังชีพ และยังเห็นว่าตนเป็นคนอยู่ในระดับชั้นต่ำของสังคม ขณะเดียวกันตนก็มีความต้องการอยากจะยกหรือเลื่อนสถานภาพทางสังคมให้สูงขึ้น แต่ก็มองว่าไม่มีโอกาสเป็นไปได้หรือเป็นไปได้น้อยในการยกหรือเลื่อนสถานภาพดังกล่าว.
สำหรับในลักษณะของสภาวะปรปักษ์ซึ่งแตกต่างจากลักษณะอื่นที่กล่าวแล้วข้างต้น คือ ได้พบในระดับไม่สูงทั้งในด้านการมีแนวคิดพื้นฐานในการมองความสัมพันธ์ระหว่างทุนกับแรงงาน ด้านการมีแนวคิดต่อสภาพความขัดแย้งระหว่างทุนกับแรงงาน และด้านการมีแนวคิดต่อวิธีการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างทุนกับแรงงาน โดยผู้ใช้แรงงานมีแนวคิดพื้นฐานว่านายทุนกับผู้ใช้แรงงานเป็นบุคคลคนละฝ่ายที่มีผลประโยชน์แตกต่างกัน และ/หรือขัดแย้งกัน โดยฝ่ายนายทุนมักจะรวย ฝ่ายผู้ใช้แรงงานมักจะจน ฝ่ายนายทุนมักเป็นคนต่างเชื้อชาติ ฝ่ายผู้ใช้แรงงานมักจะเป็นคนไทย อย่างไรก็ตาม ความแตกต่างในลักษณะดังกล่าว ฝ่ายผู้ใช้แรงงานมองว่าสามารถอยู่ร่วมกันได้ เพราะมีผลประโยชน์บางส่วนร่วมกันทั้งในด้านหลักการและข้อเท็จจริง ในการแก้ไขความขัดแย้งผู้ใช้แรงงานมีแนวคิดในเชิงลัทธิสหภาพแรงงานที่เน้นการเจรจาต่อรองกับฝ่ายนายจ้างด้านเศรษฐกิจ จากลักษณะดังกล่าว แสดงว่าผู้ใช้แรงงานหย่อนจิตสำนึกทางชนชั้น กล่าวคือ มองความสัมพันธ์และความขัดแย้งระหว่างทุนกับแรงงานในแง่ชนชั้นและชนชาติเป็นสำคัญ มิได้มองความสัมพันธ์ในลักษณะเป็นปฏิปักษ์ แต่มองในลักษณะของการมีผลประโยชน์ร่วมกัน มีความคับแคบในการมองและเข้าใจปัญหา โดยเห็นเฉพาะปัญหาค่าตอบแทน สวัสดิการ และสวัสดิภาพ อันเป็นปัญหาเฉพาะหน้าเป็นหลักเท่านั้น ขาดการมองลักษณะด้านกว้างทางการเมือง.
ส่วนในประเด็นเหตุปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อความแปลกแยก พบว่า ขนาดของอุตสาหกรรม ระดับเทคโนโลยี และระบบการจัดการแบบสมัยใหม่ มีความสัมพันธ์ทางปฏิฐานกับความแปลกแยก นอกจากนี้ยังได้พบว่ามีความสัมพันธ์ทางปฏิฐานระหว่าง สภาวะเหินห่างจากตนเอง กับสภาวะไร้อำนาจ สภาวะไร้ความหมาย สภาวะสิ้นหวัง และสภาวะปรปักษ์อีกด้วย.
ลักษณะของสภาวะเหินห่างจากตนเอง ได้พบทั้งในด้านการดำเนินการผลิตและผลผลิตแรงงาน กล่าวคือ ผู้ใช้แรงงานส่วนใหญ่มีความผูกพันกับค่าจ้างหรือค่าตอบแทนเป็นด้านหลัก โดยคำนึงถึงสุขภาพและความปลอดภัยของชีวิตตนเองเป็นเพียงด้านรอง มีผู้ใช้แรงงานเพียงส่วนน้อยที่คำนึงถึงความผูกพันและเห็นคุณค่าในผลผลิตแรงงานหรือสิ่งของที่ตนใช้แรงงานผลิตเป็นด้านหลัก
ลักษณะของสภาวะไร้อำนาจ ได้พบทั้งในด้านภาระหน้าที่การผลิต กระบวนการผลิต และกรรมวิธีการผลิต กล่าวคือ ผู้ใช้แรงงานนอกจากจะมีส่วนร่วมน้อยแล้ว ยังมีบทบาทน้อยมาก ในการกำหนดและการเปลี่ยนแปลงภาระหน้าที่การผลิต กระบวนการผลิต และกรรมวิธีการผลิต
ลักษณะของสภาวะไร้ความหมาย ได้พบทั้งในด้านกระบวนการผลิตและผลผลิตแรงงาน ทั้งนี้เพราะผู้ใช้แรงงานส่วนใหญ่เห็นว่าตนเป็นเพียงปัจจัยหนึ่งที่ประกอบอยู่ในระบบการผลิต ที่มีการใช้เครื่องจักรเป็นหลัก ภายใต้ลักษณะการแบ่งงานกันทำเป็นส่วนต่าง ๆ ของกระบวนการผลิตในอุตสาหกรรม
ลักษณะของสภาวะสิ้นหวัง ได้พบทั้งในด้านสถานภาพทางเศรษฐกิจและสถานภาพทางสังคม ซึ่งผู้ใช้แรงงานส่วนใหญ่เห็นว่าตนมีรายได้เพียงระดับยังชีพ และก็มีจำนวนอีกไม่น้อยที่เห็นว่ามีรายได้ต่ำกว่าระดับยังชีพ และยังเห็นว่าตนเป็นคนอยู่ในระดับชั้นต่ำของสังคม ขณะเดียวกันตนก็มีความต้องการอยากจะยกหรือเลื่อนสถานภาพทางสังคมให้สูงขึ้น แต่ก็มองว่าไม่มีโอกาสเป็นไปได้หรือเป็นไปได้น้อยในการยกหรือเลื่อนสถานภาพดังกล่าว.
สำหรับในลักษณะของสภาวะปรปักษ์ซึ่งแตกต่างจากลักษณะอื่นที่กล่าวแล้วข้างต้น คือ ได้พบในระดับไม่สูงทั้งในด้านการมีแนวคิดพื้นฐานในการมองความสัมพันธ์ระหว่างทุนกับแรงงาน ด้านการมีแนวคิดต่อสภาพความขัดแย้งระหว่างทุนกับแรงงาน และด้านการมีแนวคิดต่อวิธีการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างทุนกับแรงงาน โดยผู้ใช้แรงงานมีแนวคิดพื้นฐานว่านายทุนกับผู้ใช้แรงงานเป็นบุคคลคนละฝ่ายที่มีผลประโยชน์แตกต่างกัน และ/หรือขัดแย้งกัน โดยฝ่ายนายทุนมักจะรวย ฝ่ายผู้ใช้แรงงานมักจะจน ฝ่ายนายทุนมักเป็นคนต่างเชื้อชาติ ฝ่ายผู้ใช้แรงงานมักจะเป็นคนไทย อย่างไรก็ตาม ความแตกต่างในลักษณะดังกล่าว ฝ่ายผู้ใช้แรงงานมองว่าสามารถอยู่ร่วมกันได้ เพราะมีผลประโยชน์บางส่วนร่วมกันทั้งในด้านหลักการและข้อเท็จจริง ในการแก้ไขความขัดแย้งผู้ใช้แรงงานมีแนวคิดในเชิงลัทธิสหภาพแรงงานที่เน้นการเจรจาต่อรองกับฝ่ายนายจ้างด้านเศรษฐกิจ จากลักษณะดังกล่าว แสดงว่าผู้ใช้แรงงานหย่อนจิตสำนึกทางชนชั้น กล่าวคือ มองความสัมพันธ์และความขัดแย้งระหว่างทุนกับแรงงานในแง่ชนชั้นและชนชาติเป็นสำคัญ มิได้มองความสัมพันธ์ในลักษณะเป็นปฏิปักษ์ แต่มองในลักษณะของการมีผลประโยชน์ร่วมกัน มีความคับแคบในการมองและเข้าใจปัญหา โดยเห็นเฉพาะปัญหาค่าตอบแทน สวัสดิการ และสวัสดิภาพ อันเป็นปัญหาเฉพาะหน้าเป็นหลักเท่านั้น ขาดการมองลักษณะด้านกว้างทางการเมือง.
ส่วนในประเด็นเหตุปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อความแปลกแยก พบว่า ขนาดของอุตสาหกรรม ระดับเทคโนโลยี และระบบการจัดการแบบสมัยใหม่ มีความสัมพันธ์ทางปฏิฐานกับความแปลกแยก นอกจากนี้ยังได้พบว่ามีความสัมพันธ์ทางปฏิฐานระหว่าง สภาวะเหินห่างจากตนเอง กับสภาวะไร้อำนาจ สภาวะไร้ความหมาย สภาวะสิ้นหวัง และสภาวะปรปักษ์อีกด้วย.
Table of contents
Description
วิทยานิพนธ์ (พบ.ม. (พัฒนาสังคม))--สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2530.