GSHRD: Theses

Permanent URI for this collectionhttps://repository.nida.ac.th/handle/662723737/36

Browse

Recent Submissions

Now showing 1 - 20 of 173
  • Thumbnail Image
    Item
    ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยส่วนบุคคล ความสุขในการทำงานและความผูกพันของแพทย์ สังกัดสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดลพบุรี
    ภัทรธีรา แก้วกันหา; บุษกร วัชรศรีโรจน์ (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2020)
    การวิจยัครั้งนี้มีวตัถุประสงคเ์พื่อศึกษา 1) ระดับความสุขในการทำงานและความผูกพันต่อ โรงพยาบาลของแพทย์สังกัดสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดลพบุรี2) ปัจจัยส่วนบุคคลที่มี ความสัมพันธ์กับความสุขในการทำงานและความผูกพันต่อโรงพยาบาลของแพทย์สังกัดสำนักงาน สาธารณสุขจังหวัดลพบุรี 3) ความสัมพันธ์ระหว่างความสุขในการทำงานกับความผูกพันต่อ โรงพยาบาลของแพทย์สังกัด สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดลพบุรีและ4) ปัจจัยเชิงลึกที่ทำให้แพทย์ ไม่มีความสุขและความผูกพันต่อโรงพยาบาล วิธีวิจัยใช้แบบผสมผสานทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพ การวิจยัเชิงปริมาณใช้แบบสอบถาม ประชากรเป็นแพทย์สังกัดสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดลพบุรีจำนวน 124 คน ได้รับแบบสอบถาม ที่ตอบสมบูรณ์กลับคืน จำนวน 115คน คิดเป็นร้อยละ 92.74 การวิจัยเชิงคุณภาพใช้การสัมภาษณ์ เชิงลึก แบบกึ่งโครงสร้างเป็นแพทย์จำนวน 15 คน ใช้การเลือกแบบเจาะจง การวิเคราะห์ข้อมูลเชิง ปริมาณใช้สถิติค่าความถี่ค่าร้อยละค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบสมมติฐาน โดยใช้สถิติการทดสอบค่าทีการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว และการวิเคราะห์ค่า สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน ผลการศึกษาพบว่า 1) ความสุขในการทำงานของแพทยอ์ยู่ในระดับปานกลางค่าเฉลี่ยที่ 3.62และรายด้านอยู่ในระดับ สูงคือ ด้านสุขภาพดีด้านสุขภาพเงินดีด้านน้ำใจดีด้านจิตวิญญาณดี และด้านใฝ่รู้ดีอยู่ในระดับ ปานกลางคือ ด้านสังคมดีด้านครอบครัวดีด้านการงานดีและด้านผ่อน คลายดีตามลำดับ ความผูกพันต่อโรงพยาบาลอยู่ในระดับปานกลางค่าเฉลี่ยที่ 2.93 และรายด้านอยู่ ในระดับปานกลางคือ ด้านบรรทัดฐาน ด้านจิตใจและด้านการคงอยู่ตามลำดับ 2) ปัจจัยส่วนบุคคล มีความสัมพันธ์กับความสุขในการทำงาน คืออายุสถานภาพสมรส ตำแหน่ง สาขา/ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ระยะเวลาปฏิบัติงาน แต่ปัจจัยส่วนบุคคลไม่มีความสัมพันธ์กับความผูกพันต่อโรงพยาบาล 3) ความสุขในการทำงานไม่มีความสัมพันธ์กบัความผูกพันต่อโรงพยาบาล 4) ปัจจัย เชิงลึกที่ทำให้แพทยไ์ม่มีความสุขในการทา งานและความผูกพันต่อโรงพยาบาล คือภาระงานหนัก เมื่อเทียบกับรายได้หรือค่าตอบแทน มีทางเลือกที่ดีกว่า เบื่อหน่ายระบบราชการขาดความสมดุล ระหว่างชีวิตกับ งาน การประเมินผลงานวิชาการเพื่อเลื่อนระดับ ไม่ผ่าน ปัญหาการทำงานเป็นทีม และการย้ายติดตามครอบครัวหรือกลับภูมิลำเนา ดังนั้น ผู้วิจัยจึงมีข้อเสนอแนะให้ 1) คณะกรรมการบริหารโรงพยาบาล องค์กรแพทย์และ ผู้เกี่ยวข้อง นำผลการวิเคราะห์ใช้เพื่อวางแผนงาน/โครงการ ส่งเสริมความสุขและความผูกพันด้านที่ อยู่ในระดับต่ำ ปานกลาง ให้สูงมากขึ้น ด้านที่อยู่ในระดับ สูงควรรักษาสภาพและพัฒนาให้ดียิ่งขึ้น 2) ส่งเสริมให้แพทย์มีบทบาททางการบริหารเพื่อสร้างความผูกพันต่อโรงพยาบาล 3) สร้างขวัญ กำลังใจและเชิดชูเกียรติแพทย์ที่มีผลงานเด่นทั้งด้านการรักษาและวิชาการ สำหรับนักวิจัยในอนาคตนั้นควรศึกษาเชิงเปรียบเทียบระหว่างแพทยใ์นแต่ละช่วงอายุ (Generation) เพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูล ตัวแปรความสุข ความผูกพัน ที่มีความเหมาะสมทันยุคสมัย และสถานการณ์ปัจจุบันของประเทศไทย
  • Thumbnail Image
    Item
    ปัจจัยที่ส่งผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนโรงเรียนนายเรือ
    ธวัลพร มะรินทร์; ดาวิษา ศรีธัญรัตน์ (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2016)
    การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน โรงเรียนนายเรือทั้งปัจจัยส่วนตัวนักเรียนและปัจจัยทางการศึกษา เพื่อให้ทราบปัจจัยที่ส่งผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนโรงเรียนนายเรือ ทั้งในด้านเกรดที่ศึกษาและด้านภาวะผู้นําโดยทั้ง 2 ด้านนี้มีความสําคัญอย่างยิ่งต่อนักเรียนนายเรือ เนื่องจากเป็ นการพัฒนาและปูพื้นฐานให้นักเรียนนายเรือทุกนายมีความรู้ คู่คุณธรรม เพื่อเป็ นกองกาลังที่เข้มแข็งของประเทศชาติและพัฒนา ํประเทศต่อไป โดยการศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนโรงเรียนนายเรือ ในครั้งนี้ เก็บข้อมูลจากนักเรียนนายเรือที่ศึกษาประจําปี การศึกษา 2558 ตั้งแต่ชั้นปี ที่ 2ถึงชั้นปี ที่ 5จํานวน 282 นาย ผลการศึกษาพบว่า ปัจจัยที่มีผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนนายเรือด้านเกรดเฉลี่ย คือ เกรดเฉลี่ยสะสมจากโรงเรียนเตรียมทหาร แรงจูงใจใฝ่ สัมฤทธิ์ในการเรียน และปัจจัยที่มีผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนนายเรือด้านภาวะผู้นํา คือ เจตคติของการเรียน และแรงจูงใจใฝ่ สัมฤทธิ์ในการเรียนผลการศึกษาบ่งชี้ว่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนนายเรือได้รับอิทธิพลจากปัจจัยด้านตัวนักเรียน ทั้งปัจจัยภายนอก (เกรดเฉลี่ยสะสมจากโรงเรียนเตรียมทหาร) และปัจจัยภายใน(เจตคติของการเรี ยน และแรงจูงใจใฝ่ สัมฤทธิ์) แต่กลับพบว่าปัจจัยด้านการจัดการศึกษา(ประกอบด้วย เนื้อหาหลักสูตร ครูผู้สอน เพื่อนร่วมชั้นเรียน และสิ่งอํานวยความสะดวก) ไม่มีผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนนายเรือ ด้วยเหตุนี้เองเพื่อส่งเสริมคุณภาพและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ของนักเรียนนายเรือ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงควรส่งเสริมปัจจัยด้านตัวนักเรียนนายเรือเอง เพื่อส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพของนักเรียนนายเรือให้เป็ นทรัพยากรของกองทัพเรือที่เข้มแข็งและปกครองประเทศต่อไป คําสําคัญ: ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ภาวะผู้นํา นักเรียนนายเรือ โรงเรียนนายเรือ
  • Thumbnail Image
    Item
    การสร้างกรอบการประเมินและพัฒนาคุณภาพการเรียนการสอนของโรงเรียนพลาธิการ กรมพลาธิการทหารเรือ
    สุจริต พลแก้ว; ดาวิษา ศรีธัญรัตน์ (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2016)
    การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อระบุองค์ประกอบของกรอบการประเมินผล เพื่อพัฒนา คุณภาพการเรียนการสอนของโรงเรียนพลาธิการ กรมพลาธิการทหารเรือที่ไม่เพียงมุ่งเน้นที่ผลลัพธ์ของการดำเนินการ แต่ยังมุ่งเน้นกระบวนการดำเนินการ เพื่อนำไปสู่การนำเสนอกระบวนการประเมิน และพัฒนาคุณภาพการเรียนการสอนของโรงเรียนพลาธิการ กรมพลาธิการทหารเรือ การวิจัยคร้ังนี้เป็นวิจัยเชิงสำรวจ ระเบียบวิธีวิจัยแบบเดลฟายเทคนิค เป็นวิธีที่ใช้เพื่อหาแนวทางหรือข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญในสายการประเมินคุณภาพการศึกษา โดยมีขั้นตอนในการสรุปถึงความคิดเห็นของกลุ่มผูเ้ชี่ยวชาญ (นพวรรษ การะเกตุ, 2552: 24) จำนวน 21 ท่าน ผลการศึกษาทำให้ทราบองค์ประกอบของกรอบการประเมินที่เหมาะสมกับบริบทความเป็นทหาร แบ่งได้ 4 องค์ประกอบ คือ 1) ด้านผู้เรียน เช่น ผู้เรียนมีความสามารถตามหลักสูตร มีคุณลักษณะทางทหาร 2) ด้านคุณภาพครูเช่น ครูมีความรู้ความสามารถตรงตามคุณสมบัติ 3) หลักสูตรการเรียน เช่น กระบวนการจัดการเรียนการสอน และ 4) องค์ประกอบอื่นๆ เช่น การส่งเสริมสนับสนุนศิลปะวัฒนธรรม และประเพณีทางทหารข้อจำกัดในงานวจิยั คือ 1) งานวจิยนี้เลือกกลุ่มตัวอย่างในการศึกษาแบบเฉพาะเจาะจง ทำให้การนำผลการศึกษาไปใช้ในวงกว้างจึงเป็นไปอย่างมีข้อจำกัดและด้วยเป็นงานเชิงคุณภาพจึงไม่สามารถหาความสัมพันธ์เชื่อมโยงกันระหว่างตัวแปรได้ข้อเสนอแนะในงานวิจัยนี้คือโรงเรียนพลาธิการกรมพลาธิการทหารเรือควรให้ความสำคัญ ในการสร้างกรอบการประเมินและพัฒนาการเรียน การสอนนักเรียน เพื่อให้มีองค์ประกอบของกรอบการประเมินไปใช้พัฒนาได้ตรงความต้องการของโรงเรียนพลาธิการและกรมพลาธิการทหารเรืออย่างแท้จริง และสำหรับข้อเสนอแนะงานวิจัยในอนาคต เนื่องด้วยกรอบการประเมินในงานวิจัยนี้ถือเป็นการสร้างคร้ังแรกงานวิจยัต่อไปควรทำการพัฒนาต่อยอดกรอบการประเมินในด้านการทหารให้มากขึ้น รวมถึงควรมีเรื่องของค่านิยมหรือความเป็นทหารอาชีพอีกด้วย
  • Thumbnail Image
    Item
    ความสัมพันธ์ระหว่างการรับรู้การสนับสนุนจากองค์การกับผลการปฏิบัติงานของพนักงาน ผ่านตัวแปรสื่อจิตวิญญาณในการทำงาน: กรณีศึกษาพนักงานขององค์การธุรกิจด้านอุตสาหกรรมล้อแม็กรถยนต์แห่งหนึ่งในประเทศไทย
    สุพัตรา วรวุฒิพุทธพงศ์; กฤตกร นวกิจไพฑูรย์ (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2022)
    การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับของการรับรู้การสนับสนุนจากองค์การ จิตวิญญาณในการทำงาน และผลการปฏิบัติงานของพนักงาน 2) ศึกษาอิทธิพลของการรับรู้การสนับสนุนจากองค์การและจิตวิญญาณในการทำงาน ต่อผลการปฏิบัติงานของพนักงาน และ 3) ศึกษาการเป็นตัวแปรสื่อของจิตวิญญาณในการทำงาน ในความสัมพันธ์ระหว่างการรับรู้การสนับสนุนจากองค์การและผลการปฏิบัติงานของพนักงาน การศึกษานี้เป็นการวิจัยในเชิงปริมาณซึ่งทำการเก็บข้อมูลด้วยแบบสอบถามจากพนักงานขององค์การธุรกิจด้านอุตสาหกรรมล้อแม็กรถยนต์แห่งหนึ่งในประเทศไทยจำนวน 204 คน โดยผลการศึกษาพบว่า 1) พนักงานในองค์การมีระดับการรับรู้การสนับสนุนจากองค์การ จิตวิญญาณในการทำงาน และผลการปฏิบัติงานอยู่ในระดับมาก 2) การรับรู้การสนับสนุนจากองค์การมีอิทธิพลเชิงบวกต่อผลการปฏิบัติงานของพนักงาน การรับรู้การสนับสนุนจากองค์การมีอิทธิพลเชิงบวกต่อจิตวิญญาณในการทำงาน และจิตวิญญาณในการทำงานมีอิทธิพลเชิงบวกต่อผลการปฏิบัติงานของพนักงาน และ 3) จิตวิญญาณในการทำงานเป็นตัวแปรสื่ออย่างสมบูรณ์ในความสัมพันธ์ระหว่างการรับรู้การสนับสนุนจากองค์การและผลการปฏิบัติงานของพนักงาน
  • Thumbnail Image
    Item
    การพัฒนาแนวทางการจัดหางานให้คนไร้บ้านหน้าใหม่ในกรุงเทพมหานคร
    อณัสษร ฤกษ์อุดม; จุฑามาศ แก้วพิจิตร (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2022)
    การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการกลับไปมีงานทำของคนไร้บ้านหน้าใหม่ รวมถึงศึกษา วิเคราะห์ และนำเสนอแนวทางการพัฒนาทักษะและจัดหางานให้คนไร้บ้านหน้าใหม่ในกรุงเทพมหานคร โดยเริ่มจากการศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลเชิงเอกสารเพื่อออกแบบแบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง และดำเนินการสัมภาษณ์เชิงลึกกับกลุ่มตัวอย่างทั้ง 4 กลุ่มที่คัดเลือกมาแบบเจาะจง ได้แก่ ตัวแทนจากอดีตคนไร้บ้านหน้าใหม่ ตัวแทนจากองค์กรภาครัฐ ตัวแทนจากองค์กรเอกชนที่ไม่แสวงหาผลกำไร และตัวแทนจากสถาบันการศึกษาหรือนักวิชาการ รวมทั้งสิ้น 17 คน จากนั้นจึงนำข้อมูลที่ได้มาถอดเทปคำต่อคำเพื่อวิเคราะห์แบบเนื้อหาสาระสำคัญ คัดเลือกข้อความหรือประโยคสำคัญมาสังเคราะห์เป็นแก่นสาระของเรื่องด้วยการวิเคราะห์แบบอุปนัย แล้วจึงนับความถี่เพื่อหาร้อยละประกอบการสรุปผลการวิจัยเชิงพรรณนา จากผลการวิจัยสามารถสรุปได้ว่า ปัจจัยภายในที่ส่งผลต่อการกลับไปมีงานทำของคนไร้บ้านหน้าใหม่ คือ ปัจจัยด้านครอบครัว ความพร้อมทางร่างกายและจิตใจ ทัศนคติ และอายุ ในขณะที่ปัจจัยภายนอกคือปัจจัยด้านทัศนคติของคนรอบข้างหรือคนในสังคม ทุนหรือทำเลในการประกอบอาชีพ และการสนับสนุนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ส่วนแนวทางการพัฒนาทักษะให้คนไร้บ้านแบ่งเป็น 2 ส่วน ได้แก่ ทักษะทางสังคม เช่น การออมเงิน การวางแผนการใช้ชีวิต การอาศัยหรือทำงานร่วมกับผู้อื่น ซึ่งสามารถพัฒนาได้จากการอยู่อาศัยร่วมกับคนในที่พักหรือชุมชน ถัดมาคือทักษะที่ใช้ในการทำงาน พบว่าควรใช้วิธีการพัฒนาไปพร้อมกับการทำงานและควรเป็นการฝึกฝนในงานที่ทำแล้วได้ค่าตอบแทนทันที เพื่อนำไปต่อยอดการทำงานในวันต่อไป โดยส่วนใหญ่แล้วงานที่คนไร้บ้านหน้าใหม่ทำได้เลยหรือมีทักษะเดิมอยู่แล้ว ได้แก่ งานประกอบอาหาร งานค้าขาย งานทำความสะอาด งานรักษาความปลอดภัย และงานด้านการเกษตร อย่างไรก็ดี ในช่วงแรกของการทำงานอาจจัดหาพี่เลี้ยงเพื่อให้คำปรึกษา ควบคุมคุณภาพงาน และแก้ปัญหาไปพร้อมกับคนไร้บ้าน สำหรับข้อเสนอแนะแนวทางการพัฒนาทักษะและจัดหางานให้คนไร้บ้านหน้าใหม่ในกรุงเทพมหานคร หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรให้ความสำคัญตั้งแต่กระบวนการลงพื้นที่สำรวจและสอบถามความต้องการคนไร้บ้าน โดยเฉพาะกลุ่มคนไร้บ้านหน้าใหม่ที่ใช้ชีวิตในที่สาธารณะไม่เกิน 1 ปี ซึ่งสามารถฟื้นฟูได้ง่ายกว่ากลุ่มอื่น ก่อนนำไปสู่การจัดหาที่อยู่อาศัยชั่วคราว การพัฒนาทักษะ การจัดหางาน และการติดตามสถานะหลังการทำงาน ทั้งนี้ แนวทางดังกล่าวจำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐทั้งในแง่ของนโยบาย ทรัพยากร งบประมาณ การจัดหาที่พักราคาถูกหรือการนำอาคารทิ้งร้างมาใช้เป็นที่พักชั่วคราว รวมถึงการสร้างทัศนคติอันดีในประเด็นคนไร้บ้านเพื่อให้คนในสังคมเปิดโอกาสและยอมรับกลุ่มคนดังกล่าวมากขึ้น ประกอบกับการสนับสนุนจากภาคเอกชน ธุรกิจเพื่อสังคม และองค์กรไม่แสวงผลกำไร ซึ่งอาจปรากฏในรูปแบบของการสนับสนุนด้านงาน ที่พัก อาหาร และทุนในการประกอบอาชีพ เพื่อสนับสนุนกลุ่มคนไร้บ้านให้สามารถกลับไปมีงานทำและกลับสู่สังคมได้อย่างยั่งยืน
  • Thumbnail Image
    Item
    The Moderating Effect of Job Satisfaction on the Relationship between Innovative Leadership, Perceived Organizational Support, and Employees’ Innovative Work Behavior
    อรนลิน ลิ่วรุ่งโรจน์; วิชัย อุตสาหจิต (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2022)
    การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับของภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรม การรับรู้การสนับสนุนจากองค์การ พฤติกรรมการสร้างสรรค์นวัตกรรม และความพึงพอใจในงานของพนักงานองค์การเอกชนด้านธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างแห่งหนึ่งของไทย 2) ศึกษาอิทธิพลของภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมที่มีต่อพฤติกรรมการสร้างสรรค์นวัตกรรมของพนักงาน 3) ศึกษาอิทธิพลของการรับรู้การสนับสนุนจากองค์การที่มีต่อพฤติกรรมการสร้างสรรค์นวัตกรรมของพนักงาน 4) ศึกษาอิทธิพลของความพึงพอใจในงานที่มีต่อพฤติกรรมการสร้างสรรค์นวัตกรรมของพนักงาน 5) ศึกษาการเป็นตัวแปรกำกับของความพึงพอใจในงาน ในความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมและพฤติกรรมการสร้างสรรค์นวัตกรรมของพนักงาน และ 6) ศึกษาการเป็นตัวแปรกำกับของความพึงพอใจในงาน ในความสัมพันธ์ระหว่างการรับรู้การสนับสนุนจากองค์การและพฤติกรรมการสร้างสรรค์นวัตกรรมของพนักงาน การศึกษานี้เป็นการวิจัยในเชิงปริมาณ ใช้สถิติการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณเชิงชั้น และทำการเก็บข้อมูลด้วยแบบสอบถามจากพนักงานในองค์การเอกชนด้านธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างแห่งหนึ่งของไทย จำนวน 358 คน ด้วยวิธีการสุ่มตัวอย่างแบบง่าย ผลการศึกษาพบว่าพนักงานในองค์การมีระดับภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมอยู่ในระดับสูงมาก รองลงมา คือ การรับรู้การสนับสนุนจากองค์การ พฤติกรรมการสร้างสรรค์นวัตกรรม และความพึงพอใจในงานอยู่ในระดับสูง 2) ภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมมีอิทธิพลเชิงบวกต่อพฤติกรรมการสร้างสรรค์นวัตกรรมของพนักงานอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 3) การรับรู้การสนับสนุนจากองค์การมีอิทธิพลเชิงบวกต่อพฤติกรรมการสร้างสรรค์นวัตกรรมของพนักงานอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 4) ความพึงพอใจในงานมีอิทธิพลเชิงบวกต่อพฤติกรรมการสร้างสรรค์นวัตกรรมของพนักงานอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 5) ความพึงพอใจในงานเป็นตัวแปรกำกับ ในความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมและพฤติกรรมการสร้างสรรค์นวัตกรรมของพนักงาน และ 6) ความพึงพอใจในงานเป็นตัวแปรกำกับ ในความสัมพันธ์ระหว่างการรับรู้การสนับสนุนจากองค์การและพฤติกรรมการสร้างสรรค์นวัตกรรมของพนักงาน
  • Thumbnail Image
    Item
    การศึกษาบทบาทและปัจจัยความสำเร็จของผู้บริหารภาครัฐในการดูแลรักษาและพัฒนากำลังคนคุณภาพ
    สิริกัลยา เอนกอนันต์; จุฑามาศ แก้วพิจิตร (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2018)
    การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาบทบาทของผู้บริหารภาครัฐในการดูแล รักษาและพัฒนากำลังคนคุณภาพ 2) เพื่อศึกษาปัจจัยความสำเร็จในการดูแลรักษาและพัฒนา กำลังคนคุณภาพในกำกับกระทรวงการคลัง การศึกษาเป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพ เก็บข้อมูลจาก กลุ่มตัวอย่าง 4 กลุ่ม ได้แก่ ผู้บริหารระดับสูง ผู้บริหารระดับต้น การเจ้าหน้าที่ และกำลังคนคุณภาพ ผู้เข้าร่วมโครงการ HIPPS ซึ่งเป็นข้าราชการจากสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กรมสรรพากรและ สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ รวมทั้งสิ้น 9 คน ด้วยวิธีการสุ่มอย่างเฉพาะเจาะจง วิธีการเก็บ ข้อมูลแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ การประมวลเอกสารทางวิชาการ และการสัมภาษณ์เชิงลึกแบบ กึ่งโครงสร้าง โดยนำข้อมูลที่ได้รับจากข้อมูลทั้ง 2 ประเภท มาวิเคราะห์เชิงเนื้อหาและสรุปประเด็น ผลการศึกษาพบว่าบทบาทของผู้บริหารภาครัฐในการดูแลรักษาและพัฒนากำลังคนคุณภาพ ประกอบด้วย 1) การปรับหลักคิด (Mindset) ให้เหมาะสมกับลักษณะของกำลังคนคุณภาพ 2) การแสดงบทบาทของผู้บริหารในด้านที่เกี่ยวกับการดูแล รักษาและพัฒนากำลังคนคุณภาพ ได้แก่ การกำหนดเส้นทางความก้าวหน้าในสายอาชีพ การออกแบบกรอบสั่งสมประสบการณ์ การออกแบบลักษณะงาน การพัฒนาบุคลากร การประเมินผลการปฏิบัติงาน และการพัฒนา ระบบพี่เลี้ยง ผลการศึกษาปัจจัยความสำเร็จในการดูแลรักษาและพัฒนากำลังคนคุณภาพ พบว่ามี 3 ปัจจัย คือ 1) ปัจจัยด้านงานที่สร้างประโยชน์ต่อส่วนรวม 2) ปัจจัยด้านนโยบาย และ 3) ปัจจัยด้านผู้บังคับบัญชา
  • Thumbnail Image
    Item
    สมรรถนะของหัวหน้างานและผู้บริหารระดับกลางสายสนับสนุนที่จำเป็นต่อการพัฒนาหน่วยงานสู่มาตรฐานสากลตามเกณฑ์คุณภาพการศึกษาเพื่อการดำเนินการที่เป็นเลิศ
    ธนินท์รัฐ ประสารชัยมนตรี; ดาวิษา ศรีธัญรัตน์ (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2018)
    การศึกษาคร้ังนี้มีจุดประสงค์มุ่งเน้นที่จะระบุสมรรถนะที่จำเป็นของหัวหน้างานและ ผู้บริหารระดับกลางสายสนับสนุนในสถาบันการศึกษาที่ผ่านเกณฑ์โครงการนำเกณฑ์คุณภาพ การศึกษาเพื่อการดำเนินการที่เป็นเลิศมาใช้ในการประกันคุณภาพการศึกษาภายในจากวิถีปฏิบัติที่ เป็นเลิศ (Best Practices) ที่เป็นข้อได้เปรียบในการพัฒนาองค์การของตนเองในสถาบันการศึกษา ประเทศไทย การศึกษาแบ่งออกได้เป็น 3ขั้นตอน ดังต่อไปนี้ 1) การสัมภาษณ์เชิงพฤติกรรม โดยเก็บข้อมูลจากให้ผู้ข้อมูลจำนวน 17 ท่าน ตามเกณฑ์ที่ได้ระบุไว้ในระเบียบวิธี 2) การบูรณาการทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง จากการศึกษาทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวข้องจำนวน 35 เรื่อง 3) ระเบียบวิธี แบบเดลฟายโดยใช้แบบสอบถามที่พัฒนาขึ้นบนพื้นฐานข้อมูลจากทั้ง 2 ขั้นตอนก่อนหน้าในการเก็บข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญจำนวน 18 ท่าน ผลการศึกษาพบพบชุดสมรรถนะในหมวดค่านิยมทั้งสิ้น 22 สมรรถนะ ดังต่อไปนี้ 1) เป็น ผู้ที่สามารถมองภาพรวมองค์การได้ และมีความสามารถในการเชื่อมโยง 2) มีวิสัยทัศน์และแนวทางการดำเนินงานที่ชัดเจน 3) ลงมือปฏิบัติอย่างจริงจังและเป็นตัวอย่างที่ดีให้แก่ผู้ใต้บังคับบัญชาได้ 4) สามารถสร้างบรรยากาศแห่งการเรียนรู้ 5) เป็นตัวกลางในการสื่อสารระหว่างผู้บริหารและผู้ปฏิบัติงาน 6) รับฟังและตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้า 7) สามารถจูงใจ รักษาขวัญกำลังใจ บุคลากรในการทำงานให้เกิดความสุขและความผูกพันได้ 8) ความสามารถในการติดต่อและประสานงาน 9) ส่งเสริมให้เกิดการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น และการทำงานร่วมกัน 10 ) มีแผนการพัฒนาบุคลากร 11) ทักษะในการให้คำแนะนำและปรึกษา 12) เข้าใจในกระบวนการทำงานในสายงานของตน 13) สามารถบริหารจัดการเวลาได้ 14) สามารถศึกษาค้นคว้าเพิ่มได้ด้วยตนเอง 15) เปิดรับเรียนรู้สิ่งใหม่16) มีความรู้ในการจัดการคุณภาพ 17) ทัศนคติบวกกับงานประกัน คุณภาพ หรือ Quality Assurance 18) สามารถรวบรวมข้อมูลและสืบค้นข้อมูลที่ต้องการ 19) มีความสามารถในการคิดวิเคราะห์ ประเมิน และแปลผลข้อมูล 20) มีธรรมาภิบาล 21) มีจรรยาบรรณ วิชาชีพ 22) มีความรับผดิชอบต่อสิ่งที่ได้ดำเนินการ ภายหลังการสรุปผลการวิจัย ผู้วิจัยได้เพิ่มวิธีเปรียบเทียบสมรรถนะที่เป็นผลสรุปกับ สมรรถนะจากการศึกษาในหัวข้อการพัฒนาภาวะผู้นำในประเทศไทย (Leadership Development in Thailand) โดยใช้การศึกษาดังกล่าวเป็นตัวคัดกรองสมรรถนะเพื่อความเป็นเลิศเพื่อให้สะดวกต่อการนำไปใช้งาน ผลพบชุดสมรรถนะทั้งสิ้น 4 สมรรถนะ ดังต่อไปนี้ 1) ทัศนคติบวกกับงานประกันคุณภาพ หรือ Quality Assurance 2) สามารถรวบรวมข้อมูลและสืบค้นข้อมูลที่ต้องการ 3) เป็ นผู้ที่สามารถมองภาพรวมองค์การได้ และมีความสามารถในการเชื่อมโยง 4) รับฟังและตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้า ชุดสมรรถนะดงักล่าวที่เป็นผลการศึกษาในคร้ังนี้คาดว่าจะมีประโยชน์ในการช่วยผลักดัน องค์กรให้สามารถนำเกณฑ์ EdPEx มาใช้ให้เกิดประโยชน์แก่องค์การอย่างเป็นรูปธรรม โดย ตระหนักถึงความสำคัญของสมรรถนะที่หัวหน้างานจำเป็นจะต้องฝึกฝนพัฒนาและผลการศึกษา จากงานวิจัยชิ้นนี้สามารถนำไปแปลงเป็นข้อมูลประกอบการคัดเลือกหรือแมก้ระทั่งนำไปสร้างเป็นรายการการตรวจสอบคุณสมบัติเพื่อกำหนดเงื่อนไขของบุคคลที่จะมอบหมายงานในการขับเคลื่อนองค์การตามแนวทางของเกณฑ์อีกด้วย
  • Thumbnail Image
    Item
    ภาวะผู้นำแห่งการเปลี่ยนแปลง ความสุขในการทำงาน และพฤติกรรมการทำงานตามเกณฑ์มาตรฐานสถานศึกษาในระดับสากลของ WASC
    ภาณุมาศ พิลาจันทร์; วิชัย อุตสาหจิต (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2018)
    งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา ภาวะผู้นำแห่งการเปลี่ยนแปลงความสุขในการทำงาน และพฤติกรรมการทำงานตามเกณฑ์มาตรฐานสถานศึกษาในระดับสากลของ WASC ในด้านรูปแบบความสัมพนัธ์และอำนาจในการทำนายร่วมกัน โดยมีกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการเก็บข้อมูลคือ บุคลากรกลุ่ม Faculty และกลุ่ม Classified Staff โรงเรียนร่วมฤดีวิเทศศึกษา จำนวน 244คน การ เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม 4 แบบสอบถาม ได้แก่ แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล แบบสอบถามภาวะผู้นำแห่งการเปลี่ยนแปลง แบบสอบถามความสุขในการทำงาน และ แบบสอบถามพฤติกรรมการทำงานตามเกณฑ์มาตรฐานสถานศึกษาในระดับสากลของ WASC ผลการวิจยัพบว่า ภาวะผู้นำแห่งการเปลี่ยนแปลงมีความสัมพันธ์เชิงบวกกับความสุขใน การทำงาน ภาวะผู้นำแห่งการเปลี่ยนแปลงมีความสัมพันธ์เชิงบวกกับพฤติกรรมการทำงานตามเกณฑ์มาตรฐานสถานศึกษาในระดับสากลของ WASC ความสุขในการทำงานมีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการทำงานตามเกณฑ์มาตรฐานสถานศึกษาในระดับสากลของ WASC และพฤติกรรม การทำงานตามเกณฑ์มาตรฐานสถานศึกษาในระดับสากลของ WASC สามารถทำนายได้โดยภาวะ ผู้นำ แห่งการเปลี่ยนแปลงและความสุขในการทำงาน ข้อเสนอแนะจากการศึกษาในคร้ังนี้คือโรงเรียนควรมีการพัฒนาในด้านต่าง ๆ ได้แก่การ จัดทำแผนการดำเนินงานตามวิสัยทัศน์และพันธกิจของโรงเรียน การจัดหาช่องทางให้บุคลากรได้ ถ่ายทอดความรู้ซึ่งกันและกันทั้งภายในและภายนอกโรงเรียน การพัฒนาบุคลากร การเปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนร่วมพัฒนาโรงเรียน การให้ความสำคัญกับความสุขในการทำงานของพนกังาน และ ควรมีการพัฒนารูปแบบการศึกษาเพื่อศึกษาแนวทางในการพัฒนาองค์การตัวอย่างต่อไป
  • Thumbnail Image
    Item
    การศึกษาเปรียบเทียบการรับบทบาทในเกม MOBA กับรูปแบบภาวะผู้นำ
    ชยาภพ เหล่าภูมิแจ้ง; ดาวิษา ศรีธัญรัตน์ (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2019)
    การศึกษาเรื่อง “การศึกษาเปรียบเทียบการรับบทบาทในเกม MOBA กับรูปแบบภาวะผู้นำ ” เป็นการวจิยัเชิงทดลอง มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาผลของการเล่นเกม MOBA กับรูปแบบของภาวะผู้นำโดยมุ่งศึกษาผ่านกลุ่มตัวอย่างเป็นผู้เล่นเกม League of Legends ในระดับเลเวล30อายุระหว่าง 20 - 30 ปีและมีประสบการณ์ในการทำงานต้งัแต่2 ปีขึ้นไป ที่อาสาสมัครเข้าร่วมการวิจัยจำนวน 30 คน แบ่งเป็นกลุ่มทดลองที่ 1 จำนวน 10 คน กลุ่มทดลองที่ 2 จำนวน 10 คน และกลุ่มควบคุมจำนวน 10 คน ดำเนินตามแผนการทดลองแบบวดัก่อนหลัง (Pretest –Posttest Design) โดยสิ่งทดลองที่กลุ่ม ทดลองที่ 1 ได้รับคือการให้เล่นเกมในบทบาทที่ตนเองไม่ถนัด และสิ่งทดลองที่กลุ่มทดลองที่ 2 ได้รับคือการไม่อนุญาตให้เล่นเกมประเภท MOBA ทุกเกม และกลุ่มควบคุม ให้เล่นเกมตามปกติ ใช้เวลาทดลองทั้งหมด 21 วัน ตัวแปรหลักที่มุ่งศึกษาคือ 1) บทบาทในเกม MOBA ประกอบด้วยฝ่ายสร้างความเสียหาย ฝ่ายสนับสนุน และฝ่ายลอบโจมตี 2) รูปแบบภาวะผู้นำประกอบด้วยผู้นำแบบรวมอำนาจ ผู้นำแบบ ประชาธิปไตย และผู้นำแบบเสรีนิยม โดยเครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามแบ่งเป็น 2 ส่วน ส่วนแรก เป็นข้อมูลส่วนบุคคลและส่วนที่สองเป็นแบบประเมินรูปแบบภาวะผู้นำสถิติที่ใช้ได้แก่ค่าเฉลี่ย ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์ค่าทีและการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว โดย กำหนดระดับนัยสำคัญทางสถิติไว้ที่ .05 ผลการวจิยัพบว่า 1)การรับบทบาทให้เล่นในตำแหน่งฝ่ายสร้างความเสียหายส่งผลต่อภาวะ ผู้นำแบบรวมอำนาจ 2) การรับบทบาทให้เล่นในตำแหน่งฝ่ายสนับสนุนส่งผลต่อภาวะผู้นำแบบ ประชาธิปไตย 3)การรับบทบาทให้เล่นในตำแหน่งฝ่ายลอบโจมตีไม่ส่งผลต่อภาวะผู้นำในทุก รูปแบบ 4)การงดให้เล่นเกมไม่มีผลต่อภาวะผู้นำในทุกรูปแบบ 5)ไม่มีบทบาทใดในเกมที่ส่งผลต่อ ภาวะผู้นำแบบเสรีนิยม ข้อเสนอแนะสำหรับการวิจยัในคร้ังต่อไป 1) ควรเพิ่มความหลากหลายของลักษณะ ประชากรในการวจิยั เช่น การศึกษาในเพศหญิง 2)ควรทำวิจิยเชิงคุณภาพเพิ่มเติมเพื่อแสวงหาปัจจัยอื่น ๆ หรือคำอธิบายเชิงลึกเพิ่มเติม 3)ควรเพิ่มการทดสอบเรื่องอาการติดเกม เข้าไปในแผนการทดลอง เพื่อให้มั่นใจว่าผู้เข้าร่วมการทดลองจะไม่ได้รับผลกระทบดังกล่าวจากการทดลอง โดยควร วัดทั้งก่อน ระหว่างและหลังจบการทดลอง
  • Thumbnail Image
    Item
    การพัฒนาโมเดลการวัดทักษะสำหรับคนทำงานในศตวรรษที่ 21
    เจนจีรา สามพันพวง; นันทา สู้รักษา (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2019)
    การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อสร้างและพัฒนาแบบประเมินทักษะในศตวรรษที่ 21 สำหรับคนทำงาน และ 2) เพื่อตรวจสอบความเที่ยงตรงของโมเดลการวัดทักษะในศตวรรษที่ 21 สำหรับคนทำงาน โดยกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ คนทำงานในเขตกรุงเทพมหานคร ประกอบด้วย พนักงานในองค์กรเอกชน รัฐวิสาหกิจ หน่วยงานของรัฐ ผู้ประกอบอาชีฬอิสระ จำนวน 524 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบประเมินทักษะในศตวรรษที่ 21 สำหรับคนทำงาน สถิติที่ ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ (Frequency) ค่าร้อยละ (Percentage) ค่าเฉลี่ย (Mean) ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (SD)ค่าสหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน (Pearson's Product Moment Correlation) ระหว่างตะแนนรายข้อกับคะแนนรวม (Item-total Correlation) ในการหาค่าอำนาจ จำแนกรายข้อ ค่าความเชื่อมั่น (Reliabilty) โดยวิธีหาค่าสัมประสิทธิ์อัลฟา (Coefficient Alpha) และการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน (Confirmatory Factor Analysis) ผลการศึกษาพบว่า 1) ทักษะในศตวรรษที่ 21 สำหรับคนทำงาน ประกอบด้วย 7 องค์ประกอบ ได้แก่ 1) ความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรม 2) การคิดเชิงวิเคราะห์และการแก้ปัญหา 3) การสื่อสารและการ ร่วมมือทำงาน 4) ความรู้เท่าทันทางเทคโนโลยีสารสนเทศ 5) ความยืดหยุ่นและความสามารถในการ ปรับตัว 6) การริเริ่มและชี้นำตนเอง และ 7) การทำงานให้เกิดผลิตผลและมีความรับผิดชอบในการ ทำงาน ซึ่งแบบประเมินทักษะในสตวรรษที่ 21 สำหรับคนทำงาน มีจำนวนตัวขี้วัดทั้งสิ้น 48 ตัวขี้วัด และค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับ เท่ากับ 0.91 และในแต่ละองค์ประกอบมีค่าความเชื่อมั่นอยู่ในเกณฑ์ดี (r = 0.76, 0.75, 0.73, 0.73 0.69, 0.68 และ 0.73 ตามลำดับ) 2) โมเดลองค์ประกอบทักษะในศตวรรษที่ 21 สำหรับคนทำงาน มีความสอดคล้องกับข้อมูล เชิงประจักษ์ดี (X' =1003.237, of = 937, p = 0.065, X' /df = 1.071, RMSEA = 0.015, NFI = 0.955, NNFI = 0.991, CFI = 0.993, RMR = 0.039, SRMR = 0.039, GFI = 0.913, AGFI = 0.902) ซึ่งค่าน้ำหนักองค์ประกอบของตัวแปรแฝงทั้ง 7 องค์ประกอบ ระหว่าง 0.83-0.99 และค่าน้ำหนัก องค์ประกอบของตัวแปรสังเกตได้ ทั้ง 48 ตัวแปร มีค่าอยู่ระหว่าง 0.35 - 0.67 ซึ่งมีนัยสำคัญทาง สถิติที่ระดับ .01 ทุกค่า
  • Thumbnail Image
    Item
    ความสัมพันธ์ระหว่างการแสดงอัตลักษณ์ทางเพศของกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ (LGBT) ต่อความมุ่งมั่นทุ่มเทในงาน (Passion) และบรรยากาศองค์การ (Organization Climate)
    สุภัทรา เพียรดี; บุษกร วัชรศรีโรจน์ (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2019)
    การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) ความสัมพันธ์ระหว่างการแสดงอัตลักษณ์ทางเพศ ของผู้มีความหลากหลายทางเพศต่อกวามมุ่งมั่นทุ่มเทในงาน 2 ความสัมพันธ์ระหว่างการแสดง อัตลักษณ์ ทางเพศของผู้มีความหลากหลายทางเพศต่อบรรยากาศองค์การ 3) ความสัมพันธ์ ระหว่าง บรรยากาสองค์การ และความมุ่งมั่นทุ่มเทในงานในมุมมองของผู้มีความหลากหลายทางเพศ การศึกษาครั้งนี้เป็นการศึกษาแบบผสานวิธี โดยใช้แบบสอบถามออนไลน์เพื่อสำรวจ กลุ่มตัวอย่างอันเป็นกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ จำนวน 300 ชุด นำมาวิเคราะห์ด้วยวิธีการ สถิติพรรณนา การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว และการวิเคราะห์ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ แบบเพียร์สัน ควบคู่กับการสัมภาษณ์เชิงลึกแบบกึ่งโครงสร้าง เพื่อให้ลุล่วงต่อประเด็นต่างๆ ใน ผู้ให้ข้อมูลสำคัญ จำนวน 10 ราย ผลการศึกษาพบว่า 1) การแสดงอัตลักษณ์ทางเพศของผู้มีความหลากหลายทางเพศมี ความสัมพันธ์ทางบวกต่อความมุ่งมั่นทุ่มเทในงานอยู่ในระดับสูงอย่างมีนัยยะสำคัญ โดยผู้มีความ หลากหลายทางเพศ (LGBT) มีค่าเฉลี่ยความมุ่งมั่นทุ่มเทในงานที่ 396 ซึ่งเกข์ หรือกลุ่มคนที่เรียกว่า ชายรักชาย (G: Gay) มีค่าเฉลี่ยดวามมุ่งมั่นทุ่มเทในงานที่ 4.076 และผู้ที่แสดงเป็นนัยยะถึงอัตลักษณ์ ทางเพศที่แท้จริง (Implicit Out) มีค่าเฉลี่ยความมุ่งมั่นทุ่มเทในงานที่ 4.069 2) การแสดงอัตลักษณ์ ทางเพศของผู้มีความหลากหลายทางเพศมีความสัมพันธ์ทางบวกต่อบรรยากาศองค์การอยู่ใน ระดับสูงมาก โดยผู้มีความหลากหลายทางเพศ (LGBT) มีค่าเฉลี่ยบรรยากาศองค์การที่ 3.75 ซึ่งคนที่ รักได้สองเพศ (B: Bisexual) มีค่าเฉลี่ยบรรยากาศองค์การที่ 3.872 ขณะที่เกย์หรือชายรักชาย (G: Gay) มีค่าเฉลี่ยด้านความอบอุ่นและการสนับสนุนสูงกว่าคนข้ามเพศ (T: โransgender) อย่างมีนัยยะสำคัญทางสถิติ และผู้ที่แสดงเป็นนัยยะถึงอัตลักษณ์ทางเพศที่แท้จริง (Implicit out) มีค่าเฉลี่ย บรรยากาสองค์การที่ 3.85 3 บรรยากาศองค์การก็มีความสัมพันธ์ทางบวกต่อความมุ่งมั่นทุ่มเทใน งานอยู่ในระดับสูง นอกจากนี้ยังพบว่า บุคคลที่ร่วมงานด้วย คือปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อบรรยากาศในการทำงาน และความมุ่งมั่นทุ่มเทในงานของผู้มีความหลากหลายทางเพศ หากบุคคลเหล่านั้นให้การยอมรับ และ ช่วยเหลือผู้มีความหลากหลายทางเพส รวมถึงองค์การที่เปีดกว้างด้านการแสดงอัตลักษณ์ทางเพศ จัดเตรียมแนวทางสำหรับการเจริญเติบโตในสายอาชีพ จ่ายค่าตอบแทนที่เหมาะสมตามผลการ ปฏิบัติงาน และสนับสนุนให้พนักงานผู้มีความหลากหลายทางเพศพัฒนาตนเองอยู่เป็นนิจ จะทำให้ผู้มี ความหลากหลายทางเพศมีความสัมพันธ์ทางบวกต่อความมุ่งมั่นทุ่มเทในงาน และบรรยากาศองค์การ ดังนั้น ผู้เขียนจึงมีข้อเสนอแนะให้ 1) หน่วยงานกาครัฐ ควรส่งเสริมบุคลากรให้เกิด ความรู้ ความเข้าใจต่อผู้มีความหลากหลายทางเพศ เช่น การเลือกใช้ถ้อยคำ หรือแสดงกิริยาท่าทางที่ หมาะสมต่อผู้มีความหลากหลายทางเพศ 2) สำหรับภาคเอกชน ผู้นำองค์การเข้าใจ ยอมรับ และเห็น ความสำคัญของผู้มีความหลากหลายทางเพศในฐานะที่เป็นสมาชิกคนหนึ่งขององค์การ และ ประกาศเจตนารมณ์ที่แสดงให้เห็นถึงการให้ความสำคัญต่อความหลากหลายในองค์การอย่างชัดเจน ผ่านนโขบายขององค์การ 3) ฝ่ายพัฒนาทรัพยากรมนุษย์งัดกิจกรรม เพื่อสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับ ความหลากหลายในองค์การ เพื่อให้ทุกคนเข้าใจในเจตนารมณ์ขององค์การในทิศทางเดียวกัน 4)ฝ่ายพัฒนาทรัพยากรมนุษข์จะต้องขี้แจง และทำความเข้าใจเกี่ยวกับบทบาททางเพศของพนักงาน ผู้มีความหลากหลายทางเพศว่า องค์การเปิด โอกาสให้พวกเขาสามารถเป็นตัวของตัวเองได้อย่างเสรี ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับความต้องการของแต่ละบุคคล ซึ่งพวกเขาสามารถเลือกได้ว่าต้องการแสดง อัตลักษณ์ทางเพศในระดับใด และ 5) พนักงานซึ่งเป็นผู้มีความหลากหลายทางเพศ จะต้องรู้จักที่จะ วางตัวให้เหมาะสมกับเวลาและสถานที่ จึงจะสามารถเป็นที่ยอมรับ และปรับตัวให้เข้ากับผู้อื่นได้ สำหรับนักวิจัยในอนาคตนั้นควร 1) ศึกษากลุ่มคนที่เกี่ยวข้อง เช่น ผู้บังคับบัญชา เพื่อน ร่วมงาน ผู้ใต้บังคับบัญชา หรือผู้ที่มาติดต่องานที่จะทำให้ได้รับข้อมูลที่มีความรอบด้านมากขึ้น และ 2) ศึกษาให้ครอบคลุมถึงผู้ที่ปกปิคอัตลักษณ์ทางเพศที่แท้จริง และคนที่รักได้ทั้งสองเพศ เพื่อให้ได้รับข้อมูลที่ครบถ้วนและสมบูรณ์ยิ่งขึ้น
  • Thumbnail Image
    Item
    การบริหารจัดการพี่เลี้ยงและน้องเลี้ยงที่ได้รับทุนรัฐบาล
    ธงไทย ทองดี; จุฑามาศ แก้วพิจิตร (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2019)
    งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษากระบวนการบริหารจัดการพี่เลี้ยงและน้องเลี้ยงที่ได้รับ ทุนรัฐบาล และศึกษาปัจจัยในการบริหารจัดการพี่เลี้ยงและน้องเลี้ยงที่ได้รับทุนรัฐบาลให้ประสบ ความสำเร็จ เป็นการศึกษาวิจัยเชิงคุณภาพ เก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง 2 กลุ่ม ใช้วิธีการเลือก แบบเจาะจง ได้แก่1) ส่วนราชการที่มีการบริหารจัดการพี่เลี้ยงและดำเนินการมาอย่างน้อย 2 ปี 6 ส่วนราชการ จำนวน 6 คน ใช้วิธีเก็บข้อมูลโดยการสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้ าง (Semi-Structure Interview) และ 2) ส่วนราชการที่เข้าร่วมกิจกรรมการพัฒนาการบริหารจัดการพี่เลี้ยง 40 ส่วน ราชการ จำนวน 57 คน ใช้วิธีการประชุมเชิงปฏิบัติการ (Workshop) ในการเก็บข้อมูล นำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์เชิงเนื้อหาและสรุปประเด็น ผลการศึกษาพบว่า กระบวนการบริหารจัดการพี่เลี้ยงและน้องเลี้ยงที่ได้รับทุนรัฐบาล แบ่งออกเป็น 3ช่วง ได้แก่ 1) ช่วงเริ่มต้น เป็นช่วงก่อนน้องเลี้ยงที่ได้รับทุนรัฐบาล(น้องเลี้ยง) ไปศึกษา ในต่างประเทศ 2) ช่วงกลาง เป็นช่วงที่น้องเลี้ยงที่ได้รับทุนรัฐบาล(น้องเลี้ยง) กำลังศึกษาในต่างประเทศ และ 3)ช่วงปลาย เป็นช่วงที่น้องเลี้ยงที่ได้รับทุนรัฐบาล (น้องเลี้ยง) กลับเข้าทำงานใน ส่วนราชการ สำหรับผลการศึกษาปัจจัยในการบริหารจัดการพี่เลี้ยงและน้องเลี้ยงที่ได้รับทุนรัฐบาล ให้ประสบความสำเร็จ พบว่า มี 7 ปัจจัย ได้แก่1) ระบบงานและวัฒนธรรมองค์กร2) การสนับสนุน ของผู้บริหาร 3)วิธีการพัฒนา 4) การมอบหมายงาน 5) การให้คำปรึกษาและระบบพี่เลี้ยง 6) เส้นทางอาชีพ และ 7) การสร้างแรงจูงใจ
  • Thumbnail Image
    Item
    การศึกษาปัจจัยความสำเร็จของธุรกิจงานบริการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ กรณีศึกษากลุ่มธุรกิจสปาเพื่อสุขภาพ
    สุฐะภร จันทรา; วุฒิไกร งามศิริจิตต์ (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2017)
    งานวิจัยเรื่องนี้เป็นการศึกษาปัจจัยที่ทำให้ผู้ประกอบการประสบความสำเร็จในธุรกิจการ ให้บริการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ โดยจำกัดขอบเขตของการศึกษาในกลุ่มธุรกิจสปาเพื่อสุขภาพเท่านั้น งานวิจัยเป็นงานวิจัยเชิงปริมาณที่มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาปัจจัยความสำเร็จของผู้ประกอบการใน ธุรกิจงานบริการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ในกลุ่มธุรกิจสปาเพื่อสุขภาพ และ เพื่อศึกษาปัจจัย ความสำเร็จของผู้ประกอบการในธุรกิจงานบริการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ในกลุ่มธุรกิจ สปาเพื่อ สุขภาพที่มีความสัมพันธ์กับผลการดำเนินงานด้านลูกค้า และด้านการเงิน วิธีการศึกษาที่ใช้คือ การ เก็บรวบรวมข้อมูลจากผู้ประกอบการสปาเพื่อสุขภาพในประเทศไทยจำนวน 109 ราย โคยมี แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล วิธีการทางสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์องค์ประกอบ (Factor Analysis) การวิเคราะห์ ความถคถอยเชิงเส้นแบบพหุคูณ (Multiple Linear Regression Analysis) และ การทดสอบ สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของลำดับที่ของ สเปียร์ (Spearman's Rank Correlation Coetticient) ผลการวิจัขพบว่า การวิเคราะห์องค์ประกอบของปัจจับความสำเร็จของผู้ประกอบการ มีค่า ไคเซอร์-ไมเยอร์-โอลคิน (KMO) เท่ากับ 0.846 มีค่าสถิติไคสแควส์ (x2) มีค่าเท่ากับ 3789.650 และมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 เมื่อทำการสกัดองค์ประกอบที่ได้จากการวิเคราะห์ องค์ประกอบหลัก (Principal Component Analysis) ทั้งห มด 37 องค์ประกอบ มีค่าความผันแปร (Eigenvalues) อยู่ระหว่าง 0.03 1 - 15.512 ค่าร้อยละของความแปรปรวนสะสม 74.273 และพิจารณา เฉพาะค่าความผันแปรที่มีค่ามากกว่า 1 เมื่อทำการหมุนแกนองค์ประกอบแบบตั้งฉาก (Orhogonal Rotation) ด้วยวิธีแวริแมซ์ (Varimax) ทำให้เกิดกลุ่มปัจจับความสำเร็จใน กลุ่มมุ่งเน้นการบริหารงานภายในกลุ่มมุ่งเน้นนวัตกรรม กลุ่มมุ่งเน้นการจัดการต้นทุน กลุ่มมุ่งเน้นการสร้าง เอกลักษณ์ และกลุ่มมุ่งเน้นการสื่อสารทางการตลาด ผลการวิจัยปัจจัยความสำเร็จกับผลการดำเนินงานด้านลูกค้าพบว่าปัจจัยความสำเร็จในกลุ่ม มุ่งเน้นการบริหารงานภายใน กลุ่มมุ่งเน้นนวัตกรรมและ กลุ่มมุ่งเน้นการสื่อสารทางการตลาด มี ความสัมพันธ์กับผลการดำเนินงานทางด้านลูกค้าในระดับก่อนข้างสูงมาก มีค่าเท่ากับ 0.757 ใน ระดับสูงมาก และมีค่าสัมประสิทธิ์การถคถอยของปัจจัยความสำเร็จที่สามารถทำนายผลการ ดำเนินงานทางด้านลูกค้า ดังนี้ Y = 0.981+ 0.378 (ปัจจัยสำร็จในกลุ่มมุ่งเน้นการบริหารงานภายใน) + 0.172 (ปัจจัยสำเร็จ ในกลุ่มมุ่งเน้นนวัตกรรม) + 0.193 (ปัจยสำเร็จในกลุ่มมุ่งเน้นการสื่อสารทางการตลาด) ในส่วนของผลการวิจัยปัจจัยความสำเร็จกับผลการดำเนินงานค้านการเงิน พบว่า ปัจจัย ความสำเร็จในกลุ่มทั้ง ร กลุ่มมีความสัมพันธ์กับผลการดำเนินงานทางค้านการเงินในเชิงบวก และมี ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ลำดับที่ของสเปียร์แมน (Spcarnan 's Rank Correlation Coffined) โดย สามารถเรียงลำดับความสำพันธ์จากมากไปหาน้อยได้ดังนี้ ปัจจัยความสำเร็จกลุ่มมุ่งเน้นการ บริหารงานภายใน (0.444) ปัจจัยความสำเร็จกลุ่มมุ่งเน้นการสื่อสารทางการตลาด (0.438) ปัจจัย ความสำเร็จกลุ่มมุ่งเน้นการจัดการต้นทุน (0.340) ปัจจัยความสำเร็จกลุ่มมุ่งเน้นนวัตกรรม (0.318) และปัจจัยความสำเร็จกลุ่มมุ่งเน้นการสร้างเอกลักษณ์ (0.278) ตามลำดับ
  • Thumbnail Image
    Item
    กลยุทธ์ทางการตลาดที่ทำให้ตัดสินใจซื้อสินค้าร้านหนังสือเครือข่ายในเขตกรุงเทพมหานคร
    นันต์ชรี ปานเคลือบทอง; ชัยยุทธ ชิโนกุล (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2017)
    การวิจัยนี:มีวัตถุประสงค์ 1)เพื่อศึกษาพฤติกรรมการเข้าร้านหนังสื อเครื อข่ายในเขต กรุงเทพมหานครของผู้บริโภค 2)เพื่อศึกษากลยุทธ์ทางการตลาดในการตัดสินใจซื:อสินค้าร้าน หนังสือเครือข่ายในเขตกรุงเทพมหานคร 3)เพื่อเปรียบเทียบกลยุทธ์ทางการตลาดในการตัดสินใจ ซื้อสินค้าร้านหนังสือเครือข่ายในเขตกรุงเทพมหานคร จําแนกตามปัจจัยทางด้านประชากรศาสตร์ และ 4)เพื่อศึกษาปัญหาและแนวทางการพัฒนากลยุทธ์ทางการตลาดในการซื้อสินค้าร้านหนังสือ เครือข่ายในเขตกรุงเทพมหานคร ที่สอดคล้องกบความต้องการของผู้บริโภค การดําเนินงานวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ใช้วิธีการแบบผสม (Mixed Method) ซึ่งประกอบไปด้วย วิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) และเชิงคุณภาพ(Qualitative Research) ในลักษณะการวิจัย เชิงสํารวจ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ ผู้บริโภคที่ตัดสินใจซื้อหรือเคยซื้อสินค้าในร้าน หนังสือเครื อข่ายในเขตกรุงเทพมหานคร จํานวน 400 คน และทําการสัมภาษณ์เชิงลึกบุคคลที่ เกี่ยวข้องในการบริหารงานในองค์การธุรกิจร้านหนังสือเครือข่าย จํานวน 3 ราย เพื่อสํารวจแนวคิด ทางการตลาดของร้านหนังสือเครือข่ายในปัจจุบัน ผู้วิจัยได้ใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบง่าย (Simple Random Sampling) ด้วยการจับฉลากเลือกสาขาร้านหนังสือเครือข่ายจากร้านหนังสือซีเอ็ดบุ๊คเซ็น เตอร์และร้านนายอินทร์ จํานวนร้านละ 4 สาขา เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลคือ แบบสอบถาม และแบบสัมภาษณ์ที่มีโครงสร้าง สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ การแจกแจง ความถี่ (Frequency) การหาค่าร้อยละ (Percentage) การหาค่าเฉลี่ย (Mean) และส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน (Standard Deviation) รวมถึงมีการทดสอบค่าที (t-Test) การวิเคราะห์ความแปรปรวนทาง เดียว (One-way Anova) และเปรียบเทียบความแตกต่างค่าเฉลี่ยเป็นรายคู่ ด้วยวิธีการของ LSD (Least Significant Difference) โดยกำหนดค่าระดับนัยสําคัญทางสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ครั้งนี้ ที่ระดับนัยสําคัญ 0.05 ผลการศึกษาพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง มีอายุระหว่าง 15-20 ปี สถานภาพโสด เป็นนักเรียนหรือนักศึกษา ระดับการศึกษาปริญญาตรี ระดับรายได้ไม่เกิน 15,000 บาทต่อเดือน กลุ่มตัวอย่างให้ความสําคัญกบกลยุทธ์ทางการตลาดในการตัดสินใจซิ้อสินค้าร้าน หนังสือเครือข่าย ในแต่ละปัจจัยในระดับมากทุกปัจจัย โดยเรียงลําดับความสําคัญจากมากไปหาน้อย ได้ดังนี้ ปัจจัยด้านกระบวนการ ด้านบุคคล ด้านช่องทางการจัดจําหน่าย ด้านราคา ด้านสิ่งแวดล้อมทางกายภาพ ด้านการส่งเสริมการขาย และด้านผลิตภัณฑ์ นอกจากนี้จากผลการทดสอบ สมมติฐาน พบว่า เพศ อายุ สถานภาพสมรส อาชีพ ระดับการศึกษา ระดับรายได้ที่ต่างกัน มีกลยุทธ์ ในการตัดสินใจซื้อสินค้าร้านหนังสือเครือข่ายไม่แตกต่างกันข้อเสนอแนะจากการวิจัยครั้งนี้คือ ผู้ประกอบการควรพัฒนากลยุทธ์ทางการตลาดทั้ง 7 ด้าน โดยในด้านผลิตภัณฑ์ ควรให้ความสําคัญกบการคัดเลือกสินค้าให้มีความหลากหลายและตรงกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย ด้านราคาไม่ควรใช้กลยุทธ์ในการลดราคาสินค้าที่ถี่เกินไป ด้าน ช่องทางการจัดจําหน่าย ควรมุ่งเน้นไปที่การขายผานทางระบบออนไลน์มากขึ้น ด้านการส่งเสริม การตลาด เน้นการทําการตลาดเชิงสาระด้วยการสร้างคอนเทนต์ (Content) ที่น่าสนใจให้กับสินค้าผ่านโซเชียลมีเดีย (Social Media) ด้านบุคคลเน้นฝึกอบรมในเรื่องของการให้บริการ ด้านกระบวนการ ควรพัฒนาระบบโลจิสติกส์ (Logistics) และการสั่งซื้อสินค้าให้มีประสิทธิภาพและ รวดเร็ว สุดท้ายด้านสิ่งแวดล้อมทางกายภาพ เน้นการตกแต่งร้านให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย และมีการสร้างบรรยากาศให้กับร้านหนังสือ
  • Thumbnail Image
    Item
    ความสัมพันธ์ระหว่างการรับรู้ความเสี่ยง ความพึงพอใจในชีวิตและการเตรียมความพร้อมก่อนเกษียณอายุของข้าราชการ
    ปณิตา อินทสุวรรณ; นันทา สู้รักษา (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2017)
    การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาการเตรียมความพร้อมก่อนเกษียณอายุราชการ 2) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการรับรู้ความเสี่ยงและความพึงพอใจในชีวิต กับการเตรียมความ พร้อมก่อนเกษียณอายุและ 3) เพื่อเปรียบเทียบระดับการเตรียมความพร้อมก่อนเกษียณอายุจําแนก ตามปัจจัยส่วนบุคคลได้แก่ เพศอายุรายได้อายุงาน และจํานวนบุตรที่อยู่ในความดูแลรับผิดชอบ โดยกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ได้แก่ข้าราชการกรมการปกครองส่วนกลาง ที่มีอายุตั้งแต่ 45 ปีขึ้นไป จํานวน 350 คน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม 4 ฉบับ ได้แก่แบบสอบถาม ลักษณะทั่วไปของผู้ตอบ แบบสอบถามเกี่ยวกับการรับรู้ความเสี่ยงแบบสอบถามเกี่ยวกับความพึง พอใจในชีวิต และแบบสอบถามเกี่ยวกับการเตรียมความพร้อมก่อนเกษียณอายุสถิติที่ใช้ในการ วิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ค่าความถี่ (Frequency) ร้อยละ (Percentage) ค่าเฉลี่ย ( X ) ค่าส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน (SD) การวิเคราะห์หาค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน (Pearson’s product moment correlation coefficient: r) การทดสอบค่าที่แบบ Independent t-test และการวิเคราะห์ความ แปรปรวนทางเดียว (One-way ANOVA) ผลการศึกษาพบว่า 1) ข้าราชการมีการเตรียมความพร้อมก่อนเกษียณอายุโดยรวมอยู่ใน ระดับมากเมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน ด้านร่างกายและจิตใจ ด้านรายได้และรายจ่าย และด้านที่อยู่ อาศัยอยู่ในระดับมาก สําหรับการเตรียมความพร้อมด้านงานอดิเรกและการมีส่วนร่วมในสังคมอยู่ ในระดับปานกลาง 2) การรับรู้ความเสี่ยงและความพึงพอใจในชีวิต มีความสัมพันธ์ทางบวกกับการ เตรียมความพร้อมก่อนเกษียณอายุอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่นะดับ 0.05 3) ข้าราชการที่มีเพศอายุ รายได้อายุงาน และจํานวนบุตรที่อยู่ในความดูแลรับผิดชอบ แตกต่างกัน มีการเตรียมความพร้อม ก่อนเกษียณอายุไม่แตกต่างกัน
  • Thumbnail Image
    Item
    ความสัมพันธ์ระหว่างบรรยากาศองค์การกับคุณภาพชีวิตในการทำงานของพนักงานองค์การมหาชน
    สุดปราโมทย์ วัฒนรัตน์; สมบัติ กุสุมาวลี (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2017)
    การศึกษาคร้ังนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับบรรยากาศองค์การและคุณภาพชีวิตใน การทำงานของพนักงานองค์การมหาชน 2) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างบรรยากาศองค์การกับ คุณภาพชีวิตในการทำงานของพนักงานองค์การมหาชน 3) เพื่อศึกษาปัญหาอุปสรรคและข้อเสนอแนะ ในการพัฒนาบรรยากาศองค์การและคุณภาพชีวิตในการทำงานของพนักงานองค์การมหาชนโดย เป็นการวิจยัแบบผสมผสาน ทำการเก็บรวบรวมข้อมูลโดยแบบสอบถามจากพนักงานองค์การ มหาชนกลุ่ม 2 จำนวน 7 องค์การจำนวนแบบสอบถามที่แจกทั้งสิ้น 510 ชุด ซึ่งได้รับแบบสอบถาม ตอบกลับ จำนวน 353 ชุด คิดเป็นร้อยละ 69.22 และเก็บข้อมูลจากการสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้างกับพนักงานองค์การมหาชน องค์การละ 1 ท่านเป็นจำนวนทั้งสิ้น 7 คน ผลการศึกษาพบว่า องค์การมหาชนมีบรรยากาศองค์การโดยรวมอยู่ในระดับสูงและคุณภาพชีวิตในการทำงานโดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง ซึ่งบรรยากาศองค์การมีความสัมพันธ์เชิง บวกกับคุณภาพชีวิตในการทำงาน ทั้งนี้พนักงานองค์การมหาชนที่มีอายุประสบการณ์ทำงาน และสถานภาพสมรสที่แตกต่างกันมีคุณภาพชีวิตในการทำงานที่ไม่แตกต่างกัน ส่วนรายได้ที่แตกต่าง กันมีคุณภาพชีวติในการทำงานที่แตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ .05
  • Thumbnail Image
    Item
    ระบบการบริหารผลการปฏิบัติงานที่มีประสิทธิผลของโรงเรียนคาทอลิกในกรุงเทพมหานคร
    ปฏิพัฒน์ อัครศรีเรือง; กัลยาณี เสนาสุ (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2017)
    การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาสภาพโดยทั่วไปของการบริหารผลปฏิบัติงานในโรงเรียนคาทอลิก 2) เพื่อสร้างตัวแบบระบบการบริหารผลปฏิบัติงานที่มีประสิทธิผลของโรงเรียนคาทอลิก 3) เพื่อประเมินตัวแบบระบบการบริหารผลการปฏิบัติงานของโรงเรียนคาทอลิกในด้านความเหมาะสมความเป็นไปได้ และประโยชน์ในการนำไปใช้การศึกษานี้เป็นงานวิจัยเชิงคุณภาพ เก็บข้อมูลจากโรงเรียนคาทอลิกในกรุงเทพมหานครจำนวน 10 แห่ง ด้วยการสัมภาษณ์ผู้บริหารและหัวหน้าฝ่ายจำนวน 20 คน และแจกแบบสอบถามความคิดเห็นครูและบุคลากรจำนวน 60 คน แล้วนำข้อมูลมาวิเคราะห์เชิงเนื้อหาและสถิติพรรณนา ผลการวิจัยพบว่า โรงเรียนคาทอลิกทั้ง 10 แห่ง มีการดำเนินงานด้านบริหารคุณภาพที่ สอดคล้องกับระบบการบริหารผลการปฏิบัติงานซึ่งครอบคลุมใน 4 มิติอันได้แก่ 1) การวางแผนผล การปฏิบัติงาน 2) การดำเนินการและกำกับ ดูแลผลการปฏิบัติงาน 3) การประเมินผลการปฏิบัติงาน และ 4) การทบทวนผลการปฏิบัติงาน แต่โรงเรียนคาทอลิกยังคงขาดการดำเนินการบางอย่างไปจากหลักแนวคิดระบบการบริหารผลการปฏิบัติงานที่จะก่อให้เกิดประสิทธิผลสูง ซึ่งได้เชื่อมโยงการ บริหารและการพัฒนาบุคลากรเข้าด้วยกันฉะน้ันจึงนำไปสู่การพัฒนาและสร้างตัวแบบระบบการบริหารผลการปฏิบัติงานที่มีประสิทธิผลของโรงเรียนคาทอลิกในกรุงเทพมหานคร ตัวแบบระบบการบริหารผลการปฏิบัติงานดังกล่าว มี3องค์ประกอบที่อยู่ในระนาบแนวกัน คือ 1) การวางแผนผลการปฏิบัติงาน 2) การดำเนินการและกำกับดูแลผลการปฏิบัติงาน และ3) การ ประเมินผลการปฏิบัติงานและให้รางวัล โดยดำเนินการอยู่บนพื้นฐานของการพัฒนาบุคลากรอันเป็นหัวใจสำคัญ และจากการสนทนากลุ่มของผู้ทรงคุณวุฒิพบว่า ตัวแบบนี้มีความเหมาะสมมีความ เป็นไปได้และเป็นประโยชน์ต่อการนำไปใช้จริง ดังนั้น ผู้บริหารโรงเรียนคาทอลิกสามารถที่จะนำเอาตัวแบบที่สร้างขึ้นไปปรับประยุกต์เพื่อพัฒนาระบบการบริหารผลการปฏิบัติในโรงเรียนต่าง ๆ ให้มีประสิทธิผลมากยิ่งขึ้นต่อไป