ปัจจัยทางจิตสังคมที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมป้องกันการรับและแพร่โรคในชีวิตประจำวันของนักศึกษาระดับปริญญาตรี
by เบญจพร ประณีตวตกุล
Title: | ปัจจัยทางจิตสังคมที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมป้องกันการรับและแพร่โรคในชีวิตประจำวันของนักศึกษาระดับปริญญาตรี |
Other title(s): | Psychosocial as correlates of communicable disease preventive behavior in daily life of undergraduate students |
Author(s): | เบญจพร ประณีตวตกุล |
Advisor: | ดุจเดือน พันธุมนาวิน |
Degree name: | ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต |
Degree level: | Master's |
Degree discipline: | การบริการการพัฒนาสังคม |
Degree department: | คณะพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม |
Degree grantor: | สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ |
Issued date: | 2017 |
Publisher: | สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ |
Abstract: |
การวิจัยเรื่องนี้ เป็นการศึกษาความสัมพันธ์เปรียบเทียบ ซึ่งมีกรอบแนวคิดพื้นฐานมาจากรูปแบบทฤษฎีปฏิสัมพันธ์นิยม มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาตัวทำนายที่สำคัญของปัจจัยด้านจิตลักษณะและสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมป้องกันการรับและแพร่โรคในชีวิตประจำวัน กลุ่มตัวอย่าง ในการวิจัย คือ นักศึกษาระดับปริญญาตรีชั้นปีที่ 3 จำนวน 485 คน จากมหาวิทยาลัยในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ประกอบด้วยเพศชาย 166 คน (34.2%) และเพศหญิง 319 คน (65.8%) อายุเฉลี่ย 21 ปี 4 เดือน สุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้นกำหนดโควต้า โดยทำการวิเคราะห์ข้อมูลในกลุ่มรวม และใน 18 กลุ่มย่อย ซึ่งแบ่งตามลักษณะชีวสังคมภูมิหลังของกลุ่มตัวอย่าง ตัวแปรในงานวิจัยนี้ประกอบด้วย 1) กลุ่มพฤติกรรม 3 ตัวแปร คือ พฤติกรรมป้องกันการรับและแพร่โรคในสถานที่ส่วนบุคคล พฤติกรรมป้องกันการรับและแพร่โรคในที่สาธารณะ และพฤติกรรมสนับสนุนให้เพื่อนมีพฤติกรรมป้องกันการรับและแพร่โรคในชีวิตประจำวัน 2) กลุ่มจิตลักษณะตามสถานการณ์ 3 ตัวแปร ได้แก่ การเห็นแบบอย่างพฤติกรรมป้องกันการรับและแพร่โรคในชีวิตประจำวันจากคนรอบข้าง การรับรู้ปทัสถานจากสถานศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรมป้องกันการรับและแพร่โรคในชีวิตประจำวัน และการรับรู้ข่าวสารด้านการป้องกันการรับและแพร่โรคใน ชีวิตประจำวัน 3) กลุ่มจิตลักษณะเดิม 4 ตัวแปร ได้แก่ การประเมินแก่นแห่งตน ลักษณะมุ่งอนาคตควบคุมตน แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ และความรู้ด้านการป้องกันการรับและแพร่โรคในชีวิตประจำวัน 4) กลุ่มตัวแปรสถานการณ์ 3 ตัวแปร ได้แก่ ทัศนคติที่ดีต่อพฤติกรรมป้องกันการรับและแพร่โรคในชีวิตประจำวัน ความพร้อมที่จะกระทำพฤติกรรมป้องกันการรับและแพร่โรคในชีวิตประจำวัน และการรับรู้ความสามารถในการควบคุมพฤติกรรมป้องกันการรับและแพร่โรคในชีวิตประจำวัน แบบวัดส่วนใหญ่เป็นแบบวัดชนิดมาตรประเมินรวมค่า มีค่าความเชื่อมั่นระหว่าง .611 ถึง .831 ผลการวิจัยที่สำคัญ พบว่า 1) พฤติกรรมป้องกันการรับและแพร่โรคในสถานที่ส่วนบุคคล ถูกทำนายได้ 41.2 % ในกลุ่มรวม โดยมีตัวทำนายที่สำคัญเรียงลำดับจากมากไปน้อย คือ การเห็นแบบอย่างพฤติกรรมจากคนรอบข้าง ความพร้อมที่จะกระทำพฤติกรรม การรับรู้ปทัสถานจากสถานศึกษา และทัศนคติที่ดีต่อพฤติกรรม 2) พฤติกรรมป้องกันการรับและแพร่โรคในสถานที่สาธารณะ ถูกทำนายได้ 39.2% ในกลุ่มรวม โดยมีตัวทำนายที่สำคัญเรียงลำดับจากมากไปน้อย คือ ความพร้อมที่จะกระทำพฤติกรรม การเห็นแบบอย่างพฤติกรรมจากคนรอบข้าง ลักษณะมุ่งอนาคตควบคุมตน การรับรู้ปทัสถานจากสถานศึกษา และแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ 3) พฤติกรรมสนับสนุนให้เพื่อนมีพฤติกรรมป้องกันการรับและแพร่โรคในชีวิตประจำวัน ถูกทำนายได้ 39.2% ในกลุ่มรวม โดยมีตัวทำนายที่สำคัญเรียงลำดับจากมากไปน้อย คือ การรับรู้ข่าวสาร การเห็นแบบอย่าง พฤติกรรมจากคนรอบข้าง ความพร้อมที่จะกระทำพฤติกรรม ทัศนคติที่ดีต่อพฤติกรรม แรงจูงใจ ใฝ่สัมฤทธิ์ การประเมินแก่นแห่งตน และการรับรู้ปทัสถานจากสถานศึกษา และ 4) ผลการวิเคราะห์เส้นทางอิทธิพลพบว่า ปัจจัยเชิงเหตุกลุ่มสถานการณ์ กลุ่มจิตลักษณะเดิม และกลุ่มจิตลักษณะตามสถานการณ์ มีอิทธิพลทางตรงต่อกลุ่มพฤติกรรมป้องกันการรับและแพร่โรคในชีวิตประจำวัน มีค่าสัมประสิทธิ์การท านาย เท่ากับ 98.0% นอกจากนี้ ยังพบว่าปัจจัยเชิงเหตุกลุ่มจิตลักษณะเดิมมีอิทธิพลทางอ้อมไปยังพฤติกรรมป้องกันการรับและแพร่โรคในชีวิตประจำวัน โดยมีค่าสัมประสิทธิ์อิทธิพล เท่ากับ .234 ขณะที่ปัจจัยเชิงเหตุกลุ่มสถานการณ์ มีอิทธิพลทางอ้อมไปยังพฤติกรรมป้องกันการรับและแพร่โรคในชีวิตประจำวัน โดยมีค่าสัมประสิทธิ์อิทธิพล เท่ากับ .282 ประการสุดท้าย นักศึกษาที่เป็นกลุ่มเสี่ยงที่ควรพัฒนาอย่างเร่งด่วน ได้แก่ กลุ่มนักศึกษาเพศ ชาย กลุ่มนักศึกษาที่อายุน้อย และกลุ่มนักศึกษาที่มีพี่น้อง มีปัจจัยปกป้องสำคัญ คือ การเห็นแบบอย่างพฤติกรรมป้องกันการรับและแพร่โรคในชีวิตประจำวันจากคนรอบข้าง ลักษณะมุ่งอนาคตควบคุมตน แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ ความพร้อมที่จะกระทำพฤติกรรมป้องกันการรับและแพร่โรคในชีวิตประจำวัน จากผลการวิจัย ทำให้ได้ข้อเสนอแนะเพื่อต่อยอดการวิจัย ดังนี้ 1) สามารถนำผลการวิจัยมาพัฒนาต่อในเชิงทดลองเพื่อสร้างชุดฝึกอบรมที่เหมาะสมกับการพัฒนาพฤติกรรมป้องกันการ รับและแพร่โรคในชีวิตประจำวัน และ 2) ควรทำวิจัยโดยเก็บข้อมูลจากหลายแหล่ง นอกเหนือจากการให้กลุ่มตัวอย่างประเมินตนเอง เพื่อนำมาเปรียบเทียบกัน เช่น ใช้การประเมินจากเพื่อน ใช้การประเมินจากบุคคลในครอบครัว ใช้การสังเกตพฤติกรรม เป็นต้น |
Description: |
วิทยานิพนธ์ (ศศ.ม. (การบริการการพัฒนาสังคม))--สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2560 |
Subject(s): | การแพร่ระบาด (จิตวิทยาสังคม)
โรค -- การป้องกัน |
Resource type: | วิทยานิพนธ์ |
Extent: | 210 แผ่น |
Type: | Text |
File type: | application/pdf |
Language: | tha |
Rights: | ผลงานนี้เผยแพร่ภายใต้ สัญญาอนุญาตครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-ไม่ดัดแปลง 4.0 (CC BY-NC-ND 4.0) |
URI: | https://repository.nida.ac.th/handle/662723737/5931 |
Files in this item (CONTENT) |
|
View ทรัพยากรสารสนเทศทั้งหมดในคลังปัญญา ใช้เพื่อประโยชน์ทางการเรียนการสอนและการค้นคว้าเท่านั้น และต้องมีการอ้างอิงแหล่งที่มาทุกครั้งที่นำไปใช้ ห้ามดัดแปลงเนื้อหา และทำสำเนาต่อ รวมถึงไม่ให้อนุญาตนำไปใช้ประโยชน์เพื่อการค้า ไม่ว่ากรณีใด ๆ ทั้งสิ้น
|
This item appears in the following Collection(s) |
|
|