GSEDA: Independent Studies

Permanent URI for this collectionhttps://repository.nida.ac.th/handle/662723737/2947

Independent Studies and Termpapers

Browse

Recent Submissions

Now showing 1 - 20 of 95
  • Thumbnail Image
    Item
    ปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจชำระค่าธรรมเนียมการจัดการมูลฝอยของครัวเรือนในพื้นที่กรุงเทพมหานคร
    สุทธิสาร แก้วดี; วิชชุดา สร้างเอี่ยม (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2024)
    การศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจชำระค่าธรรมเนียมการจัดการมูลฝอยของครัวเรือนในพื้นที่กรุงเทพมหานคร มีวัตถุประสงค์เพื่อทำความเข้าใจปัจจัยต่าง ๆ พฤติกรรม ความรู้ ความเข้าใจ และข้อจำกัดของประชาชนในการตัดสินใจชำระค่าธรรมเนียมการจัดการมูลฝอยให้กับกรุงเทพมหานคร เพื่อนำไปใช้ในการออกแบบนโยบายที่มีประสิทธิภาพและส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในการบริหารจัดการมูลฝอยอย่างยั่งยืน การศึกษาใช้วิธีวิจัยเชิงปริมาณ โดยเก็บข้อมูลจากแบบสอบถามกับผู้ชำระค่าธรรมเนียมการจัดการมูลฝอยของครัวเรือนในพื้นที่กรุงเทพมหานคร จำนวน 442 คน และวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ความถี่ ร้อยละ และสถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ Chi-Square Test of Independence ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่อยู่ใน Generation Y มีระดับการศึกษาสูงสุดปริญญาตรี ประกอบอาชีพพนักงานบริษัทเอกชน/รับจ้าง มีรายได้เฉลี่ยต่อครัวเรือน 30,001 - 40,000 บาท และพักอาศัยในทาวน์เฮาส์หรือทาวน์โฮม ผลการทดสอบสมมติฐานพบว่า ช่วงวัย ระดับการศึกษาสูงสุด อาชีพ รายได้เฉลี่ยต่อเดือนของครัวเรือน และประเภทที่อยู่อาศัย มีความสัมพันธ์กับความเต็มใจในการชำระค่าธรรมเนียมการจัดการมูลฝอยอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05 ระดับความพึงพอใจต่อระบบการจัดการมูลฝอยและระบบการจัดเก็บค่าธรรมเนียมฯ ของกรุงเทพมหานคร ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในระดับปานกลาง ก็มีความสัมพันธ์กับความเต็มใจในการชำระค่าธรรมเนียมฯ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05 อย่างไรก็ตาม ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการชำระค่าธรรมเนียมฯ ของครัวเรือนในพื้นที่กรุงเทพมหานครซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในระดับปานกลาง ไม่มีความสัมพันธ์กับความเต็มใจในการชำระค่าธรรมเนียมฯ กลุ่มที่เต็มใจชำระค่าธรรมเนียมมีเหตุผลหลัก คือ การเล็งเห็นประโยชน์ต่อการพัฒนาระบบการจัดการมูลฝอยของกรุงเทพมหานคร และการมีกฎหมายบังคับอย่างชัดเจน ส่วนกลุ่มที่ไม่เต็มใจชำระมีเหตุผลหลัก คือ ไม่เห็นประโยชน์ที่เกิดขึ้นจากการชำระค่าธรรมเนียมต่อการพัฒนาระบบการจัดการมูลฝอยของกรุงเทพมหานคร และไม่เชื่อมั่นในกรุงเทพมหานครเกี่ยวกับการใช้ค่าธรรมเนียมอย่างมีประสิทธิภาพและโปร่งใส ทั้งนี้ ปัญหาหลักในการจัดเก็บค่าธรรมเนียมการจัดการมูลฝอยของกรุงเทพมหานคร คือ การขาดความร่วมมือจากประชาชน สำหรับข้อเสนอแนะที่ได้จากการศึกษาครั้งนี้ คือ กรุงเทพมหานครต้องมีการปรับปรุงคุณภาพการให้บริการ เช่น การแยกเก็บมูลฝอยตามประเภทที่ชัดเจน และการเพิ่มทางเลือกในรูปแบบการชำระค่าธรรมเนียมฯ ซึ่งจะช่วยสร้างแรงจูงใจให้กับประชาชนได้ ขณะที่ความรู้ความเข้าใจเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ เนื่องจากบรรทัดฐานทางสังคมและการรับรู้ถึงความสะดวกและโปร่งใสของระบบอาจมีอิทธิพลมากกว่า ด้วยเหตุนี้ กรุงเทพมหานครจึงควรดำเนินมาตรการเชิงรุกในการสื่อสารผลประโยชน์จากการชำระค่าธรรมเนียมฯ ผ่านช่องทางดิจิทัลที่เข้าถึงง่าย เพิ่มประสิทธิภาพการบังคับใช้กฎหมายอย่างเป็นธรรม ปลูกฝังจิตสำนึกความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมในเยาวชน และส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชนเพื่อสร้างความรู้สึกเป็นเจ้าของและความรับผิดชอบร่วมกันในการจัดการมูลฝอย
  • Thumbnail Image
    Item
    การพิจารณาการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมอื่นๆ (ประเภทที่ 3) ของโรงงานประกอบรถยนต์แห่งหนึ่งในจังหวัดระยอง
    ศรีกัลยา โปรยรุ่งเงิน; ภัคพงศ์ พจนารถ (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2024)
    การศึกษาค้นคว้าอิสระฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษากรอบการประเมินการปล่อยก๊าซเรือนกระจกประเภทที่ 3 ของโรงงานประกอบรถยนต์ในอุตสาหกรรมยานยนต์ เพื่อกำหนดขอบเขตการดำเนินงานและพัฒนาแนวทางที่เหมาะสมกับบริบทของโรงงานประกอบรถยนต์ในประเทศไทย โดยเฉพาะโรงงานแห่งหนึ่งในจังหวัดระยองที่อยู่ในช่วงต้นของการดำเนินงานด้านความยั่งยืน รวมถึงการประเมินโอกาสและความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการจัดเก็บข้อมูลและรายงาน Scope 3 ซึ่งเป็นขอบเขตการปล่อยที่ซับซ้อนที่สุดขององค์กร ผลการศึกษาได้จำแนกกิจกรรมออกเป็น 15 หมวดหมู่ตามมาตรฐาน GHG Protocol และ ISO 14064-1:2018 ครอบคลุมกิจกรรมในห่วงโซ่อุปทานตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อการประเมินผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมที่องค์กรต้องรับผิดชอบ โดยหมวดหมู่ที่มีนัยสำคัญ ได้แก่ การจัดซื้อวัตถุดิบหลัก (Category 1) กิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับเชื้อเพลิงและพลังงาน (Category 3) การขนส่งต้นน้ำ (Category 4) การใช้งานผลิตภัณฑ์ (Category 11) และการกำจัดซากเมื่อหมดอายุการใช้งาน (Category 12) ปัจจุบันการจัดเก็บข้อมูล Scope 3 ยังเผชิญข้อจำกัดหลายด้าน เช่น การพึ่งพาข้อมูลจากภายนอกองค์กร ความซ้ำซ้อนกับ Scope 1–2 และสถานะของประเทศไทยที่ยังไม่มีข้อบังคับบังคับใช้การรายงาน Scope 3 อย่างเป็นทางการ การศึกษานี้จึงเสนอให้ภาครัฐสนับสนุนฐานข้อมูล เครื่องมือเก็บข้อมูล และส่งเสริมให้เกิดการรายงาน Scope 3 อย่างเป็นรูปธรรม ในขณะที่องค์กรควรตั้งเป้าหมายและพัฒนาศักยภาพภายในเพื่อรองรับแนวโน้มเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำอย่างยั่งยืน
  • Thumbnail Image
    Item
    แนวทางการจัดการความเสี่ยงในการทำงานของพนักงานสวนสาธารณะ: กรณีศึกษาพนักงานสวนสาธารณะ สังกัดฝ่ายรักษาความสะอาดและสวนสาธารณะ สำนักงานเขตราชเทวี กรุงเทพมหานคร
    ณัฐวุฒิ ทาหาวงษ์; วิสาขา ภู่จินดา (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2024)
    การศึกษานี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับความรู้ปัจจัยสิ่งแวดล้อมในการทำงานของพนักงานสวนสาธารณะ ประเมินการจัดการความเสี่ยงในการทำงานของพนักงานสวนสาธารณะ ให้การปฏิบัติงานปลอดโรคปลอดภัย และจัดทำแนวทางการจัดการความเสี่ยงในการทำงานของพนักงานสวนสาธารณะ ให้การปฏิบัติงานปลอดโรคปลอดภัย ทำการเก็บข้อมูลโดยการเก็บแบบสอบถามกับพนักงานสวนสาธารณะทั้งหมด สังกัดฝ่ายรักษาความสะอาดและสวนสาธารณะ สังกัดสำนักงานเขตราชเทวี กรุงเทพมหานคร จำนวน 50 คน และสัมภาษณ์หัวหน้าฝ่ายรักษาความสะอาดและสวนสาธารณะ สังกัดสำนักงานเขตราชเทวี กรุงเทพมหานคร ทำการวิเคราะห์ด้วยสถิติเชิงพรรณนา (Descriptive Statistics) โดยการแจกแจงความถี่ และค่าร้อยละ แล้วนำผลการสอบถามและสัมภาษณ์มาพรรณนา ผลการศึกษา พบว่า ปัจจัยสิ่งแวดล้อมมีผลกระทบต่อการทำงานในระดับปานกลาง (ค่าเฉลี่ย 1.90 จาก 3.00) โดยฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) ที่มาจากการจราจรและการเผาไหม้ ส่งผลกระทบมากที่สุด (ค่าเฉลี่ย 2.86) รองลงมาคือปัจจัยด้านความร้อนจากการทำงานกลางแจ้ง (ค่าเฉลี่ย 2.76) ส่วนความรู้ด้านสิ่งแวดล้อม อาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงานของพนักงานอยู่ในระดับสูง (ค่าเฉลี่ย 0.77 จาก 1.00) โดยมีความรู้มากที่สุดในเรื่องการป้องกันโรคลมแดดและการยกของอย่างปลอดภัย (ค่าเฉลี่ย 1.00) ด้านทัศนคติ พบว่า พนักงานฯ มีทัศนคติเชิงบวกในระดับมากเกี่ยวกับอาชีวอนามัยและความปลอดภัย (ค่าเฉลี่ย 3.95 จาก 5.00) โดยเห็นด้วยอย่างยิ่งว่าทุกคนควรมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับความปลอดภัย (ค่าเฉลี่ย 4.60) ขณะที่พฤติกรรมการปฏิบัติงานให้ปลอดภัยอยู่ในระดับมาก (ค่าเฉลี่ย 1.86 จาก 2.00) เช่น การไม่ใช้ยาที่ทำให้ง่วงนอนและไม่ดื่มแอลกอฮอล์ก่อนหรือขณะทำงาน สำหรับการประเมินความเสี่ยงในการทำงานของพนักงานสวนสาธารณะ พบว่า ความร้อนเป็นปัจจัยเสี่ยงสูงสุด (6 คะแนน) รองลงมา คือ ฝุ่น PM2.5 (4 คะแนน) จากผลการศึกษานี้ ได้มีแนวทางการจัดการความเสี่ยง โดยการบริหารเวลางานให้เหมาะสม หลีกเลี่ยงช่วงเวลาที่มีอุณหภูมิสูง การจัดเตรียมสภาพแวดล้อมบริเวณพื้นที่ปฏิบัติงานให้ปลอดภัย และการจัดหาอุปกรณ์ป้องกัน เช่น หน้ากากกันฝุ่น พร้อมทั้งส่งเสริมความรู้เกี่ยวกับการป้องกันอันตรายจากสภาพแวดล้อม เพื่อเพิ่มความปลอดภัยในการปฏิบัติงานของพนักงานสวนสาธารณะ
  • Thumbnail Image
    Item
    ความท้าทายและโอกาสของการนำ ESG (Environment, Social and Governance) เข้าสู่กระบวนการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ในประเทศไทย กรณีศึกษาโครงการโรงไฟฟ้าชีวมวล
    ทัศนีย์ แสงอินทร์; จำลอง โพธิ์บุญ; วิสาขา ภู่จินดา (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2024)
    การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินความท้าทายและโอกาสการบูรณาการ ESG ในกระบวนการ EIA ของโครงการโรงไฟฟ้าชีวมวล เสนอแนวทางการประยุกต์ ESG ในกระบวนการ EIA เพื่อการเพิ่มความยั่งยืน และเสนอแนะแนวทางเชิงนโยบายและเชิงปฏิบัติในการนำ ESG เข้ามาสู่กระบวนการ EIA กรณีศึกษาโครงการโรงไฟฟ้าชีวมวลในประเทศไทย โดยทำการรวบรวมข้อมูล ทุติยภูมิจากแนวคิดทฤษฎี เอกสารทางวิชาการ กฎหมาย และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งเก็บรวบรวมข้อมูลปฐมภูมิ โดยการสัมภาษณ์ (Interviews) กลุ่มผู้มีส่วนได้เสีย (Stakeholders) จำนวน 16 ราย ซึ่งเป็นผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในกระบวนการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) เช่น คณะกรรมการผู้ชำนาญการ (คชก.) ผู้ชำนาญการสิ่งแวดล้อม นักวิชาการสิ่งแวดล้อมอาวุโส และนักวิชาการด้านเศรษฐกิจสังคมและการมีส่วนร่วม ฯลฯ และวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพจากการสัมภาษณ์ด้วยวิธีการจับกลุ่มประเด็น และวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis) ร่วมกับการค้นคว้าข้อมูลทุติยภูมิจากเอกสารรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) โครงการโรงไฟฟ้าชีวมวล และเรียบเรียงเนื้อหาเพื่อหาข้อสรุปเป็นประเด็นหลักที่เกี่ยวข้องตามกรอบแนวคิดและวัตถุประสงค์การศึกษา ผลการศึกษาพบว่า การบูรณาการ ESG เข้าสู่ EIA มีความเหมาะสมและช่วยเสริมความยั่งยืนของโครงการ โดยเฉพาะในมิติด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล อย่างไรก็ตาม การดำเนินงานยังเผชิญกับอุปสรรค เช่น ข้อจำกัดของกรอบกฎหมายด้านสิ่งแวดล้อม และนโยบายต่าง ๆ การขาดเครื่องมือวิเคราะห์ ESG ที่ชัดเจน และความเข้าใจของเจ้าหน้าที่และผู้จัดทำรายงาน EIA ที่ยังไม่ลึกซึ้งในด้าน ESG ส่วนในด้านโอกาส การผลักดัน ESG มีแนวโน้มจากภาคการเงินและการลงทุนที่มุ่งเน้นพลังงานสะอาดและยั่งยืน การสนับสนุนจากหน่วยงานกำกับ และแรงขับเคลื่อนจากสังคมที่เรียกร้องความโปร่งใส รวมถึงการเปิดกว้างของเครื่องมือใหม่ ๆ เช่น LCA, SIA และ ESG Framework ของต่างประเทศ ที่สามารถประยุกต์ใช้ร่วมกับ EIA ได้ ข้อเสนอแนะแนวทางเชิงนโยบายและเชิงปฏิบัติที่ได้จากการศึกษานี้ ชี้ให้เห็นว่า ควรมีการปรับปรุงกฎหมายเพื่อรองรับ ESG อย่างเป็นระบบ พัฒนาศักยภาพบุคลากร จัดทำคู่มือหรือแนวทางการประเมิน ESG ที่ชัดเจนในบริบทของ EIA และส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนตั้งแต่ต้นทาง เพื่อนำไปสู่การพัฒนาโครงการที่โปร่งใส มีความรับผิดชอบและยั่งยืน
  • Thumbnail Image
    Item
    แนวทางการกำหนดเป้าหมายและการเก็บข้อมูลด้านการสูญเสียอาหาร (Food Loss) ในการรายงานความยั่งยืนของอุตสาหกรรมอาหาร
    รสสุคนธ์ เลิศชัยเพชร; จำลอง โพธิ์บุญ; วิสาขา ภู่จินดา (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2024)
    การสูญเสียอาหาร (Food Loss) และขยะอาหาร (Food Waste) (FLW) เป็นประเด็นสำคัญในความยั่งยืนด้านอาหารและสิ่งแวดล้อม งานวิจัยฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษายุทธศาสตร์ นโยบาย และสถานการณ์ด้าน Food Loss ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ ตลอดจนศึกษาการจัดทำรายงานความยั่งยืนในประเด็น Food Loss ของบริษัทผลิตอาหารกลุ่มเนื้อไก่แปรรูปในช่วงปี พ.ศ. 2565–2567 โดยเปรียบเทียบการรายงานกับกรอบหรือมาตรฐานสากลที่บริษัทใช้ในการรายงาน เช่น Global Reporting Initiative (GRI) เพื่อถอดบทเรียนที่สามารถนำไปสู่การพัฒนาข้อเสนอเชิงนโยบาย แนวทางการเก็บข้อมูลสำหรับอุตสาหกรรมอาหารในบริบทของประเทศไทย โดยวิเคราะห์ข้อมูลและเปรียบเทียบ จากข้อมูลนโยบายระดับประเทศ มาตรฐานหรือกรอบการการรายงาน และรายงานความยั่งยืนที่เปิดเผยต่อสาธารณะ ผู้วิจัยคัดเลือกบริษัทไทยที่ดำเนินธุรกิจส่งออกเนื้อไก่แปรรูป ซึ่งเป็นกลุ่มสินค้าที่มีมูลค่าการส่งออกสูงสุดของประเทศในช่วงเดือนมกราคม–พฤษภาคม พ.ศ. 2568 รวมถึงประเทศคู่ค้าหลักสามอันดับแรก จากนั้นวิเคราะห์รายงานความยั่งยืนที่เปิดเผยต่อสาธารณะ เพื่อเปรียบเทียบแนวทางการรายงาน ความครอบคลุมของห่วงโซ่อุปทาน ตัวชี้วัดที่ใช้ และความสอดคล้องกับนโยบายภาครัฐและมาตรฐานสากลด้านการลดการสูญเสียอาหาร (Food Loss) ข้อเสนอแนะแนวทางการจัดเก็บข้อมูลและการรายงานต่อการพัฒนานโยบายในบริบทของประเทศไทย จากการศึกษาพบว่าประเทศไทยแม้จะเริ่มให้ความสำคัญกับการลด FLW ในระดับนโยบาย แต่ยังขาดกฎหมายเฉพาะ ตัวชี้วัดสำหรับอุตสาหกรรมผลิตอาหาร และระบบข้อมูลที่สามารถเปรียบเทียบได้ในระดับอุตสาหกรรม ในขณะที่หลายประเทศ เช่น สหภาพยุโรป สหราชอาณาจักร และญี่ปุ่น ได้กำหนดแนวทางการวัด FLW อย่างเป็นระบบภายใต้กฎหมายหรือมาตรการบังคับอย่างชัดเจน จากการวิเคราะห์รายงานความยั่งยืนระหว่างปี พ.ศ. 2565–2567 ของบริษัทในประเทศไทยจำนวน 3 บริษัท และบริษัทต่างประเทศ 3 บริษัท ในประเทศ ญี่ปุ่น อังกฤษ และเนเธอร์แลนด์ พบว่ามีการใช้คำว่า Food Waste ในรายงานซึ่งในบางกรณีอาจรวมถึง Food Loss และมีความหลากหลายในรูปแบบการรายงาน เช่น การตั้งเป้าหมายเชิงปริมาณ ได้แก่ น้ำหนักของเสีย หรือเชิงคุณภาพ ได้แก่ การดำเนินกิจกรรมหรือโครงการที่มุ่งลด Food Loss ในกระบวนการผลิต อีกทั้งการใช้มาตรฐานหรือกรอบการรายงานมีการระบุตัวชี้วัดทั้งในเชิงสัดส่วนการสูญเสียและอัตราการนำของเสียกลับมาใช้ใหม่ นอกจากนี้บริษัทในประเทศไทยที่นำมาศึกษา 1 ใน 3 บริษัท ได้แยกนิยาม FL และ FW ชัดเจนและกำหนดเป้าหมายที่วัดผลได้เป็นเชิงปริมาณ เช่น หน่วยน้ำหนักเมตริกตัน สอดคล้องกับบริษัทต่างประเทศมีการจัดการ FLW อย่างเป็นระบบ โดยแยกนิยาม FL และ FW ชัดเจน กำหนดเป้าหมายที่วัดผลได้ ใช้เครื่องมือมาตรฐาน และเปิดเผยข้อมูลอย่างต่อเนื่อง ข้อเสนอแนะของงานวิจัยแบ่งเป็น 2 ด้าน คือเชิงปฏิบัติการ ได่แก่ ส่งเสริมให้ผู้ประกอบการกำหนดเป้าหมายลด Food Loss ที่วัดผลได้ ใช้กรอบการรายงานสากล เช่น FLW Protocol และเทคโนโลยีดิจิทัล เช่น IoT พร้อมพัฒนาศักยภาพบุคลากรและส่งเสริมความร่วมมือในอุตสาหกรรม และเชิงนโยบาย ได้แก่ ภาครัฐควรจัดทำแนวทางการรายงานที่ชัดเจนสำหรับอุตสาหกรรมอาหาร จัดตั้งฐานข้อมูลกลาง และสนับสนุน SMEs ผ่านการอบรมและให้คำปรึกษา เพื่อยกระดับการรายงานอย่างทั่วถึงและมีประสิทธิภาพ
  • Thumbnail Image
    Item
    การศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมของถ่านชีวภาพ
    ณิชาภา กระต่ายอินทร์; ภัคพงศ์ พจนารถ; อัจฉรา โยมสินธุ์ (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2024)
    การศึกษาฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมของถ่านชีวภาพ (biochar) ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการแปรรูปชีวมวลผ่านกระบวนการไพโรไลซิส (pyrolysis) โดยมีจุดประสงค์เพื่อการจัดการของเสียทางการเกษตร การปรับปรุงคุณภาพดิน และการลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การศึกษานี้ใช้วิธีการทบทวนวรรณกรรมและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา (พ.ศ. 2557–2567) รวม 50 บทความ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อรวบรวมและวิเคราะห์ผลกระทบทั้งในเชิงบวกและเชิงลบของถ่านชีวภาพต่อสิ่งแวดล้อม ผลการศึกษาพบว่าถ่านชีวภาพ ซึ่งได้จากการไพโรไลซิส (pyrolysis) ของชีวมวลทางการเกษตรมีคุณสมบัติทางกายภาพและเคมีที่ช่วยเสริมสร้างคุณภาพดิน กักเก็บคาร์บอน ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และบรรเทาปัญหามลพิษในดิน น้ำ อากาศ และขยะอินทรีย์ โดยผลการศึกษาถูกจัดหมวดหมู่เป็น 4 ด้านหลัก ได้แก่: การศึกษาผลกระทบต่อดิน ถ่านชีวภาพมีบทบาทที่สำคัญในการปรับปรุงคุณสมบัติทางกายภาพ เคมีและชีวภาพของดิน เมื่อผสมลงในดินจะช่วยเพิ่มความพรุนและความสามารถในการกักเก็บน้ำ ส่งผลให้ดินสามารถเก็บน้ำไว้ได้นานขึ้นและช่วยให้รากพืชรับน้ำและธาตุอาหารได้ดีขึ้น ส่วนในแง่ของเคมีถ่านชีวภาพมีคุณสมบัติที่ช่วยปรับปรุงค่า pH ของดินในบริเวณที่เป็นดินเปรี้ยวช่วยเพิ่มปริมาณธาตุอาหารที่อัดแน่นด้วยธาตุคาร์บอน การมีพื้นที่ผิวที่สูงและมีช่องว่างภายในของถ่านชีวภาพยังเป็นที่อยู่อาศัยของจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ ทำให้เกิดการกระจายตัวและเพิ่มจำนวนของจุลินทรีย์ในดิน ซึ่งส่งผลต่อการย่อยสลายของอินทรีย์และการหมุนเวียนธาตุในดินอย่างมีประสิทธิภาพ การศึกษาผลกระทบต่อน้ำ ถ่านชีวภาพสามารถนำมาใช้ในกระบวนการบำบัดน้ำได้เนื่องจากมีคุณสมบัติในการดูดซับมลพิษ เช่น โลหะหนักและสารเคมีที่เป็นอันตราย คุณสมบัติเหล่านี้เกิดจากโครงสร้างรูพรุนและฟังก์ชันทางเคมีที่ถูกดัดแปลงในถ่านชีวภาพ ทำให้สามารถจับกับสารอินทรีย์และสารอนินทรีย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผลการศึกษาพบว่าการใช้ถ่านชีวภาพในระบบบำบัดน้ำสามารถลดปริมาณสารพิษในน้ำและปรับปรุงคุณภาพน้ำได้ โดยเฉพาะในระบบน้ำเสียทางการเกษตรที่มักมีสารละลายที่เป็นพิษเข้มข้น นอกจากนี้ ถ่านชีวภาพยังสามารถใช้เป็นวัสดุกรองเพื่อช่วยลดความขุ่นของน้ำและฟื้นฟูคุณภาพของแหล่งน้ำในสภาพแวดล้อมธรรมชาติ การศึกษาผลกระทบต่อขยะ การนำถ่านชีวภาพไปใช้มีส่วนช่วยในการจัดการกับของเสียจากเศษวัสดุชีวมวลในภาคการเกษตรและอุตสาหกรรมต่าง ๆ เปลี่ยนของเสียที่อาจจะเป็นปัญหาให้กลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีคุณค่าและนำมาใช้ประโยชน์ในภาคการเกษตร งานวิจัยระบุว่าการผลิตถ่านชีวภาพจากของเสียชีวมวลช่วยลดปริมาณของเสียที่ต้องนำไปทิ้งในหลุมฝังกลบ นอกจากนี้ การแปรรูปเศษวัสดุเหล่านี้เป็นถ่านชีวภาพยังส่งเสริมแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) โดยสร้างมูลค่าเพิ่มจากของเสียและช่วยลดภาระการจัดการของเสียในระดับชุมชนและระดับประเทศ การศึกษาผลกระทบต่ออากาศ ถ่านชีวภาพเป็นเครื่องมือสำคัญในการกักเก็บคาร์บอนและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เมื่อผสมลงในดินจะช่วยกักเก็บคาร์บอนในรูปแบบของคาร์บอนที่เสถียร ส่งผลให้การปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ที่เป็นสาเหตุหนึ่งของภาวะโลกร้อนลดลง นอกจากนี้ บางงานวิจัยยังชี้ว่าการใช้ถ่านชีวภาพสามารถลดการผลิตก๊าซมีเทน (CH₄) และไนตรัสออกไซด์ (N₂O) จากดินในระบบเกษตรกรรมได้อย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสภาวะของจุลินทรีย์ในดินที่ได้รับการปรับปรุงด้วยถ่านชีวภาพ ซึ่งหมายความว่าถ่านชีวภาพไม่เพียงแต่ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในกระบวนการผลิตอาหารเท่านั้น แต่ยังเป็นกลไกที่ช่วยบรรเทาผลกระทบด้านอากาศในวงกว้างด้วย จากการศึกษาข้างต้นทั้งหมด ผลกระทบของถ่านชีวภาพในแต่ละด้านนั้นมีความเกี่ยวโยงและสนับสนุนกันในการสร้างระบบนิเวศที่ยั่งยืน โดยการศึกษาผลกระทบในดินได้รับความสนใจมากที่สุดและในแต่ละด้านมีจุดเด่นและข้อจำกัดเฉพาะตัว แต่การปรับปรุงกระบวนการผลิตและการใช้ถ่านชีวภาพที่เหมาะสมในแต่ละบริบทจะสามารถช่วยให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับประเทศ งานวิจัยในอนาคตจึงควรมุ่งเน้นการพัฒนามาตรฐานการผลิตและการใช้งานที่สอดคล้องกัน รวมทั้งประเมินผลระยะยาวของการใช้ถ่านชีวภาพในระบบนิเวศและการเกษตรอย่างเป็นระบบ เพื่อให้เทคโนโลยีนี้สามารถนำมาใช้เป็นเครื่องมือสำคัญในการต่อสู้กับปัญหาสิ่งแวดล้อมซึ่งเป็นการสนับสนุนการพัฒนาที่ยั่งยืน
  • Thumbnail Image
    Item
    การวิเคราะห์เปรียบเทียบกรอบแนวทางการปฏิบัติตามมาตรฐานสากลกับการรายงานความยั่งยืนด้านความหลากหลายทางชีวภาพ : กรณีศึกษาโรงไฟฟ้าใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติแบบพลังงานความร้อนร่วมในประเทศไทย
    เมธินี พงษ์ศัก; จำลอง โพธิ์บุญ; วิสาขา ภู่จินดา (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2024)
    การศึกษาวิจัยฉบับนี้เป็นการวิจัยเอกสารมีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ เปรียบเทียบ และนำเสนอแนวทางในประยุกต์ใช้ พัฒนา และปรับปรุงการปฏิบัติตามกรอบมาตรฐานสากล ด้านความหลากหลายทางชีวภาพกับรายงานความยั่งยืน กรณีศึกษาโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติแบบพลังงานความร้อนร่วม ใช้วิธีวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis) เปรียบเทียบ(Benchmarking) วิเคราะห์ช่องว่าง (Gap Analysis) จากเอกสารรายงานความยั่งยืนและข้อมูลที่เปิดเผยสู่สาธารณะด้านความหลากหลายทางชีวภาพในช่วงปีพ.ศ. 2565–2567 ของบริษัทพลังงานโรงไฟฟ้า 6 แห่ง (ในประเทศไทย 3 แห่งและต่างประเทศ 3 แห่ง) พบว่ามาตรฐานด้านความหลากหลายทางชีวภาพทั้งสามฉบับได้แก่ GRI101 Biodiversity, TNFD และ ESRS E4 มีจุดเชื่อมโยงกันของข้อกำหนดใน 9 ประเด็นสำคัญ และ 6 มิติ จากนั้นได้พัฒนาเครื่องมือรายการตรวจสอบแบบบูรณาการทั้ง 3 มาตรฐาน (Integrated Checklist) เพื่อใช้ประเมินเนื้อหาเอกสารรายงานความยั่งยืนด้านความหลากหลายทางชีวภาพ ผลการวิเคราะห์และเปรียบเทียบพบช่องว่างสำคัญ ได้แก่ การเปิดเผยข้อมูลเชิงพื้นที่ การพึ่งพาธรรมชาติ การประเมินความเสี่ยงจากธรรมชาติ การกำหนดตัวชี้วัดเชิงระบบนิเวศ และการบูรณาการกลยุทธ์ความหลากหลายทางชีวภาพระดับองค์กร โดยพบโรงไฟฟ้า (B) ในประเทศไทยและโรงไฟฟ้า (E) ในต่างประเทศมีการดำเนินการและเปิดเผยข้อมูลด้านความหลากหลายทางชีวภาพครอบคลุม 9 ประเด็นสำคัญและ 6 มิติ ผลการเปรียบเทียบแบ่งระดับการเปิดเผยรายงานความยั่งยืนด้านความหลากหลายทางชีวภาพของโรงไฟฟ้าออกเป็น 3 กลุ่มคือ กลุ่มผู้นำมีการดำเนินการเชิงรุกสอดคล้องกับมาตรฐานสากลด้านความหลากหลายทางชีวภาพทั้ง 3 มาตรฐานในมุมมองแบบบูรณาการ 9 ประเด็นสำคัญและ 6 มิติ กลุ่มปานกลางมีบางมิติที่ทำได้แต่หลายมิติ สามารถพิจารณายกระดับต่อไป และกลุ่มเริ่มต้นเพิ่งเริ่มดำเนินการประยุกต์ปฏิบัติตามกรอบการดำเนินการตามมาตรฐานสากล โดยสรุปช่องว่างและโอกาสในการพัฒนาซึ่งเรียงลำดับจากมากไปน้อย 3 อันดับแรกดังนี้ 1)การเปิดเผยข้อมูลเชิงพื้นที่ระบุพื้นที่ที่มีความอ่อนไหวทางชีวภาพ พื้นที่สำคัญตามระบบนิเวศในรายงาน การแสดงพิกัดหรือการทำแผนที่ที่ชัดเจนของพื้นที่ดำเนินงานที่อาจมีผลกระทบต่อความหลากหลายทางชีวภาพ 2)การพึ่งพาธรรมชาติถึงข้อมูลการวิเคราะห์ว่ากิจกรรมขององค์กรพึ่งพาระบบนิเวศด้านใด เช่น แหล่งน้ำ บริการระบบนิเวศ และเปิดเผยว่าความเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติมีผลต่อการดำเนินธุรกิจขององค์กร 3)การประเมินความเสี่ยงจากธรรมชาติเชื่อมโยงความเสี่ยงและโอกาสจากธรรมชาติกับการบริหารความเสี่ยงระดับองค์กร เสนอแนวทางในการพัฒนาและปรับปรุงดังนี้ (1) เชิงนโยบายการส่งเสริมให้มีการจัดทำนโยบายและแนวทางระดับประเทศที่บูรณาการความหลากหลายทางชีวภาพเข้ากับแผนพลังงานและแผน ESG (2) เชิงกลยุทธ์การตั้งเป้าหมายที่วัดผลได้ในระดับองค์กร เช่น การไม่มีความสูญเสียสุทธิ (No Net Loss) และการพัฒนาตัวชี้วัดที่เชื่อมโยงกับเป้าหมายโลก เช่น SDG 14 SDG 15 และ GBF 2573 (3) เชิงปฏิบัติการการจัดทำแผนการจัดการความหลากหลายทางชีวภาพรายพื้นที่ (BAP) การติดตามผลและเปิดเผยข้อมูลเชิงพื้นที่อย่างโปร่งใส และ (4) เชิงกฎหมายการเร่งออกกฎหมายด้านความหลากหลายทางชีวภาพที่สนับสนุนให้ภาคธุรกิจดำเนินการตามกรอบมาตรฐานสากล เช่น GRI, TNFD และ ESRS โดยสอดคล้องกับกรอบงานกรอบความหลากหลายทางชีวภาพโลกคุนหมิงมอนทรีออล ข้อเสนอแนะนี้มีเป้าหมายนำไปสู่การยกระดับความยั่งยืนของภาคพลังงานไทยในบริบทของการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบเศรษฐกิจที่เป็นมิตรต่อธรรมชาติและระบบนิเวศ และยกระดับประเทศไทยสู่การดำเนินงานที่สอดคล้องกับเป้าหมายธรรมชาติเป็นบวกและเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนด้านความหลากหลายทางชีวภาพในระดับสากล
  • Thumbnail Image
    Item
    แนวทางการส่งเสริมอุตสาหกรรมไม้สัก ด้วยแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนกรณีศึกษาอำเภอสูงเม่น จังหวัดแพร่
    ธิดารัตน์ แผนพรหม; ภัคพงศ์ พจนารถ; อัจฉรา โยมสินธุ์ (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2024)
    การศึกษาเรื่อง “แนวทางการส่งเสริมอุตสาหกรรมไม้สัก ด้วยแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนกรณีศึกษาอำเภอสูงเม่น จังหวัดแพร่” มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาห่วงโซ่คุณค่าของอุตสาหกรรมไม้สัก และศึกษาแนวทางการส่งเสริมอุตสาหกรรมไม้สัก ด้วยแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน รวมถึงจัดทำข้อเสนอแนะเชิงนโยบายแก่ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมไม้สัก จังหวัดแพร่ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) ผ่านการสัมภาษณ์เชิงลึก (In-depth Interview) และการสนทนากลุ่ม (Focus Group Discussion) กับผู้มีส่วนได้เสีย (Stakeholder) ในห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมไม้สัก อำเภอสูงเม่น จังหวัดแพร่ ผลการศึกษาพบว่าอุตสาหกรรมไม้สักในจังหวัดแพร่มีความเข้มแข็งจากรากฐานวัฒนธรรม วิถีชีวิต และความเชี่ยวชาญของช่างฝีมือท้องถิ่นมาอย่างยาวนาน ทั้งยังมีห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ที่ครอบคลุมตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำอย่างชัดเจน ทั้งนี้จากผลการศึกษาพบว่าวัตถุดิบไม้สักมาจาก 4 แหล่งที่มา ได้แก่ 1) สวนป่าเอกชน/เกษตรกรรายย่อย 2) องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ (อ.อ.ป.) 3) ไม้สักเรือนเก่า และ 4) การรับซื้อไม้แปรรูปจากจังหวัดอื่น ผู้ประกอบการมีทั้งในระดับครัวเรือน (โรงงานใต้ถุนบ้าน) และระดับอุตสาหกรรม เช่น องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ หรือ อ.อ.ป. แต่ปัญหาและอุปสรรคที่พบในอุตสาหกรรมไม้สักยังคงมีข้อจำกัดในเรื่องคุณภาพไม้จากสวนป่าเอกชน และการเข้าถึงโรงอบไม้ในกลุ่มผู้ประกอบการรายย่อย ในด้านกิจกรรมของห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) พบว่ากิจกรรมหลักที่สร้างมูลค่าเพิ่ม ได้แก่ 1) การจัดหาวัตถุดิบ 2) การแปรรูปไม้ 3) การจัดจำหน่ายสินค้า 4) การตลาด และ 5) การให้บริการลูกค้า โดยมีโครงสร้างสนับสนุนจากนโยบายรัฐ เทคโนโลยี ทักษะแรงงาน และการบริหารจัดการวัตถุดิบ ส่วนแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ถูกนำมาเป็นแนวปฏิบัติในอุตสาหกรรมไม้สักผ่าน 4 กิจกรรม ได้แก่ 1) Reduce: ลดการใช้ทรัพยากรเกินจำเป็น 2) Reuse: การนำเศษไม้ ปีกไม้ และขี้เลื่อยในกระบวนการผลิต มาแปรรูปเพื่อใช้ประโยชน์อีกครั้ง 3) Recycle: นำไม้เรือนเก่ามาแปรรูปเป็นเฟอร์นิเจอร์ใหม่ 4) Regenerate: มีการปลูกไม้ทดแทนในสวนป่าของ อ.อ.ป. ทั้งนี้แม้จะมีการดำเนินงานที่สอดคล้องกับแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียนแต่อุตสาหกรรมไม้สักจังหวัดแพร่ยังคงเผชิญกับข้อจำกัด ได้แก่ การแก้ไขระเบียบและข้อบังคับกฎหมาย ขั้นตอนการขออนุญาตที่ซ้ำซ้อน การขาดเทคโนโลยีระบบฐานข้อมูลกลาง และแรงจูงใจที่ไม่เพียงพอในการส่งเสริมการปลูกไม้สักทดแทนในกลุ่มเกษตรกรรายย่อย ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย เพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมไม้สักอย่างยั่งยืน ได้แก่ 1) การลดขั้นตอนและปรับปรุงระเบียบข้อกฎหมายเพื่อสร้างแรงจูงใจให้ผู้ประกอบการปลูกสวนป่าทดแทน 2) การพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลกลาง (One Stop Service) เพื่อความโปร่งใสและตรวจสอบย้อนกลับได้ 3) การส่งเสริมนวัตกรรมและเทคโนโลยี เช่น โรงอบไม้ และเทคโนโลยีการอัดความร้อนในการแปรรูปไม้คุณภาพต่ำ 4) การสร้างตลาดผลิตภัณฑ์ไม้หมุนเวียน และส่งเสริมการปลูกไม้เศรษฐกิจทดแทน กล่าวโดยสรุป อุตสาหกรรมไม้สักจังหวัดแพร่มีความเข้มแข็งในหลายด้าน แต่ยังมีจุดเปราะบาง โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ผลิตรายย่อยในด้านการเข้าถึงทรัพยากรและเทคโนโลยี การส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียนจึงเป็นแนวทางสำคัญที่จะช่วยเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ ลดของเสีย และนำไปสู่การใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืน โดยต้องอาศัยการร่วมมือจากภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนในพื้นที่อย่างเป็นระบบ ซึ่งการนำแนวทางการดำเนินงานนี้มาสู่แนวทางการฏิบัติจะช่วยให้จังหวัดแพร่สามารถยกระดับอุตสาหกรรมไม้สักให้กลายเป็นต้นแบบของการพัฒนาอุตสาหกรรมไม้ในระดับประเทศได้อย่างยั่งยืน
  • Thumbnail Image
    Item
    การประเมินผลกระทบทางสังคม (SIA) และการประเมินผลตอบแทนทางสังคมจากการลงทุน (SROI) ภายใต้โครงการยุวเกษตรสู่ความยั่งยืน ของธุรกิจพืชครบวงจร ข้าว ขนส่งและบริการ เครือเจริญโภคภัณฑ์
    วรัญญา โยธาผาบ; จุฑารัตน์ ชมพันธุ์; พรพรหม สุธาทร (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2024)
    การพัฒนาอย่างยั่งยืนได้รับความสนใจจากทั้งภาครัฐและเอกชน โดยเฉพาะในภาคธุรกิจที่ต้องคำนึงถึงผลกระทบทางสังคมและสิ่งแวดล้อมควบคู่กับการสร้างกำไร โครงการ CSR ของธุรกิจพืชครบวงจร ข้าว ขนส่งและบริการ เครือเจริญโภคภัณฑ์ (CPCRT) เช่น โครงการยุวเกษตรสู่ความยั่งยืน มีเป้าหมายในการส่งเสริมความมั่นคงทางอาหารในโรงเรียนผ่านการปรับปรุงแปลงเกษตร การสนับสนุนวัสดุและอุปกรณ์ทางการเกษตร รวมถึงการถ่ายทอดความรู้ด้านการเกษตรแก่เยาวชน เพื่อสร้างคลังอาหารที่ปลอดภัยและลดต้นทุนอาหารในโรงเรียน การศึกษานี้มีเป้าหมายในการประเมินผลกระทบทางสังคม (SIA) และผลตอบแทนทางสังคมจากการลงทุน (SROI) ของโครงการยุวเกษตรสู่ความยั่งยืน โดยการวิเคราะห์ผลกระทบในด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม เพื่อหามูลค่าผลตอบแทนจากการลงทุนในโครงการ และประเมินความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจและสังคม รวมถึงความคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในการพัฒนาโครงการให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ผลการประเมินพบว่า โครงการยุวเกษตรสู่ความยั่งยืนมีอัตราผลตอบแทนทางสังคม (SROI) ในช่วงระยะเวลาการลงทุนปีแรกปีที่ 1 ถึงปีที่ 6 เท่ากับ 1.047 ซึ่งแสดงถึงความคุ้มค่าในการลงทุนที่ 1 บาท สามารถสร้างผลลัพธ์ทางสังคมได้ 1.047 บาท นอกจากนี้ยังแสดงถึงความสามารถของธุรกิจ CPCRT ในการออกแบบและวางแผนกลยุทธ์ของโครงการที่ตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย และสร้างผลลัพธ์การเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นตั้งแต่เริ่มโครงการ อย่างไรก็ตาม ผลลัพธ์ที่ได้ยังมีบางตัวชี้วัดที่ไม่สามารถแปลงเป็นมูลค่าทางการเงิน เช่น "ประโยชน์เชิงเศรษฐกิจในอนาคต" ซึ่งทำให้ผลตอบแทนทางสังคมที่ได้คำนวณมีค่าน้อยกว่าความเป็นจริง โดยไม่ได้สะท้อนถึงผลกระทบที่แท้จริงจากโครงการ ข้อเสนอแนะ ได้แก่ 1) ควรพัฒนาและใช้ตัวชี้วัดเชิงคุณภาพเพื่อสะท้อนผลกระทบที่ไม่สามารถแปลงเป็นมูลค่าทางการเงินได้ 2) ควรมีการติดตามผลการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องในระยะยาว เพื่อเปรียบเทียบผลลัพธ์จากกิจกรรมต่าง ๆ และ 3) ควรมีนโยบายเก็บข้อมูลที่ชัดเจน เพื่อประเมินผลลัพธ์ทางสังคมและปรับปรุงโครงการตามความเหมาะสม
  • Thumbnail Image
    Item
    การวิเคราะห์ช่องว่าง (Gap Analysis) และแนวทางพัฒนาคะแนน FTSE Russell ESG Scores กรณีศึกษาธุรกิจโทรคมนาคมแห่งหนึ่ง
    กรรณิกา สมเชื้อเวียง; จุฑารัตน์ ชมพันธุ์; พรพรหม สุธาทร (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2024)
    การวิจัยนี้เป็นการวิเคราะห์ช่องว่าง (Gap Analysis) และแนวทางพัฒนาคะแนน FTSE Russell ESG Scores กรณีศึกษาธุรกิจโทรคมนาคมแห่งหนึ่ง โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาและเสนอแนวทางการพัฒนาคะแนน FTSE Russell ESG Scores สำหรับธุรกิจโทรคมนาคมแห่งหนึ่งในประเทศไทย โดยมุ่งเน้นการวิเคราะห์ช่องว่าง ในกระบวนการดำเนินงานด้านความยั่งยืน และการยกระดับคะแนน FTSE Russell ESG Scores โดยใช้ตัวชี้วัด ที่เกี่ยวข้องและมาตรฐานการประเมินที่กำหนดจาก FTSE Russell ESG Scores การพัฒนาคะแนน ESG ในธุรกิจโทรคมนาคมไม่เพียงแต่ช่วยสร้างความยั่งยืนในองค์กร แต่ยังเสริมสร้างความโปร่งใส เพิ่มความเชื่อมั่น จากผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และเปิดโอกาสในการเข้าถึงแหล่งทุนใหม่ ๆ ซึ่งจะช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน ในตลาดที่มีการแข่งขันสูง ในการวิจัยนี้ได้ทำการสัมภาษณ์ผู้ให้ข้อมูลหลัก จำนวน 8 ท่าน ซึ่งประกอบด้วยผู้บริหารและบุคคลที่มีความรู้เกี่ยวกับการพัฒนาและการดำเนินงานด้านความยั่งยืน ข้อมูลที่ได้จากการสัมภาษณ์เหล่านี้ช่วยให้ได้ข้อมูลสำคัญในการวิเคราะห์ช่องว่างและแนวทางในการพัฒนากลยุทธ์ที่สามารถยกระดับคะแนน ESG ของบริษัทตามเกณฑ์ FTSE Russell นอกจากนี้ยังมีการเก็บรวบรวมข้อมูลจากรายงานประจำปี และเอกสารที่เกี่ยวข้องที่ช่วยในการพัฒนากลยุทธ์ในการดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพ
  • Thumbnail Image
    Item
    การศึกษาความเป็นไปได้และปัจจัยที่ควรพิจารณาในการขอรับรองมาตรฐาน ISCC PLUS ของบริษัทผลิตบบรรจุภัณฑ์พลาสติกชนิดอ่อนตัวแห่งหนึ่ง
    ชนิดา ตาลพร้า; จุฑารัตน์ ชมพันธุ์; พรพรหม สุธาทร (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2024)
    ปัจจุบันโลกเผชิญกับวิกฤตการณ์ด้านสิ่งแวดล้อมที่ทวีความรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะปัญหาขยะพลาสติกที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อระบบนิเวศและสุขภาพของมนุษย์ จากการเพิ่มขึ้นของปริมาณขยะพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว (Single-use Plastics) ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากภาคอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์พลาสติกส่งผลให้เกิดแรงกดดันทั้งภาคนโยบายและภาคตลาดในการเร่งปรับเปลี่ยนรูปแบบการผลิตให้สอดคล้องกับหลักการของเศรษฐกิจหมุนเวียนและการพัฒนาอย่างยั่งยืน ระบบการรับรอง ISCC PLUS (International Sustainability and Carbon Certification PLUS) จึงเป็นกลไกหนึ่งที่สำคัญที่ได้รับการยอมรับในระดับสากลจากฝั่งยุโรป เพื่อช่วยส่งเสริมการใช้วัตถุดิบหมุนเวียน ลดการพึ่งพาทรัพยากรฟอสซิล และการสร้างระบบการผลิตที่สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ในทุกขั้นตอนของห่วงโซ่อุปทานอย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ประกอบการในประเทศไทย โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์พลาสติกชนิดอ่อนตัว ซึ่งเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่ควรได้รับการผลักดันให้เข้าสู่ระบบการรับรองดังกล่าว เนื่องจากข้อจำกัดด้านความรู้ ความเข้าใจ และการประยุกต์ใช้ข้อกำหนดของมาตรฐาน ISCC PLUS ในบริบทขององค์กรจริง การศึกษาครั้งนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความเป็นไปได้และความพร้อมของบริษัทผลิตบรรจุภัณฑ์พลาสติกชนิดอ่อนตัวแห่งหนึ่งในการเข้าสู่กระบวนการขอรับรอง ISCC PLUS โดยมีเป้าหมายเพื่อ (1) ศึกษาวิธีการดำเนินงานของบริษัทในการเตรียมความพร้อมเข้าสู่การรับรอง (2) วิเคราะห์ช่องว่างเมื่อเปรียบเทียบกับข้อกำหนดของ ISCC PLUS (3) ศึกษาปัจจัยภายในและภายนอกที่ส่งผลต่อความสำเร็จขององค์กรในการผ่านการรับรอง และ (4) เสนอแนะแนวทางการพัฒนาระบบและกลยุทธ์ที่เหมาะสมสำหรับการดำเนินการรับรองในอนาคต ในการศึกษาครั้งนี้ได้มีการเก็บข้อมูลใช้วิธีการวิเคราะห์เอกสารที่เกี่ยวข้องกับระบบการจัดการภายในของบริษัท ประกอบกับการสัมภาษณ์เชิงลึกแบบกึ่งโครงสร้างกับผู้บริหารที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการวางแผน การดำเนินการ และควบคุมระบบการผลิต รวมถึงมีส่วนในการผลักดันให้เกิดการรับรองมาตรฐานนี้ โดยผลการเก็บข้อมูลจะนำไปวิเคราะห์โดยใช้วิธีการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา (Content Analysis) เพื่อสังเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ และดำเนินการวิเคราะห์ช่องว่าง (Gap Analysis) เพื่อเปรียบเทียบระหว่างสถานะปัจจุบันของบริษัทกับข้อกำหนดของมาตรฐาน ISCC PLUS นอกจากนี้ยังใช้การวิเคราะห์แนวปฏิบัติที่ดี (Benchmarking) จากองค์กรที่ได้รับการรับรองแล้ว เพื่อเปรียบเทียบและเสนอแนะแนวทางปฏิบัติที่ดีสำหรับการพัฒนาองค์กรในกรณีศึกษา จากผลการศึกษาพบว่าบริษัทมีจุดแข็งในด้านระบบการจัดการที่มีความเป็นระบบแบบแผน โดยเฉพาะการนำระบบ ISO 14001 และ BRCGS Packaging Materials มาบูรณาการ ซึ่งมีองค์ประกอบหลายประการที่สามารถประยุกต์ใช้รองรับข้อกำหนดของ ISCC PLUS ได้ เช่น ระบบ PDCA การควบคุมเอกสาร และระบบตรวจสอบย้อนกลับในระดับรอบการผลิตของวัตถุดิบ อย่างไรก็ตามยังพบข้อจำกัดสำคัญในเรื่องของระบบแยกวัตถุดิบตามสถานะรับรอง และการบริหารจัดการตามแนวทางดุลยภาพมวล (Mass Balance Approach) ที่ยังไม่สามารถดำเนินการได้อย่างสมบูรณ์ นอกจากนี้พบว่าบุคคลากรยังไม่มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับข้อกำหนดและหลักการของ ISCC PLUS ทำให้ทราบถึงความสำคัญของการให้ความรู้และการสื่อสาร ประชาสัมพันธ์ จากผลการศึกษาดังกล่าว จึงเสนอว่าบริษัทควรดำเนินการเสริมสร้างองค์ความรู้และประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับความยั่งยืน รวมถึงมาตรฐาน ISCC PLUS ให้แก่บุคลากรในทุกระดับ และตั้งเป้าหมายอย่างเป็นรูปธรรม รวมถึงการพัฒนาระบบบริหารจัดการข้อมูลที่สามารถเชื่อมโยงการดำเนินงานระหว่างแผนกต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมจัดทำแผนการบริหารจัดการวัตถุดิบที่สอดคล้องกับหลักการ Mass Balance และแนวคิด Circular Economy อย่างชัดเจน เพื่อสร้างความพร้อมและเพิ่มความเป็นไปได้ในการขอรับรองมาตรฐานดังกล่าวได้สำเร็จในระยะยาว รวมถึงการติดตามข่าวสาร ความเป็นปัจจุบันสถาณการณ์ที่สอดคล้องเรื่องธุรกิจและสิ่งแล้วล้อมเช่น สถาณการณ์การจัดเก็บภาษีพลาสติก (Plastic Tax) เพื่อให้องค์กรสามารถปรับตัวได้ทันกับสิ่งที่เปลี่ยนแปลง และประกอบการตัดสินใจในการกำหนดทิศทางในอนาคต ทั้งนี้ข้อเสนอแนะจากการศึกษาครั้งนี้สามารถประยุกต์ใช้เป็นแนวทางในการเตรียมความพร้อมสำหรับผู้ประกอบการรายอื่นในอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์พลาสติก ตลอดจนใช้ประกอบการวางนโยบายของภาครัฐในการส่งเสริมระบบการผลิตที่ยั่งยืนในประเทศไทย
  • Thumbnail Image
    Item
    ปัจจัยที่มีผลต่อนักลงทุนรายย่อยในการลงทุนอย่างยั่งยืน
    วิรัชอร ศรีทรัพย์; ภัคพงศ์ พจนารถ; อัจฉรา โยมสินธุ์ (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2024)
    การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ทราบถึงความรู้และทัศนคติในเรื่องของการลงทุนอย่างยั่งยืน และปัจจัยที่มีผลต่อการลงทุนอย่างยั่งยืนของนักลงทุนรายย่อยในและนอกอุตสาหกรรมบริการทางการเงิน โดยใช้วิธีการศึกษาเชิงปริมาณด้วยการเก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างผ่านแบบสอบถามออนไลน์ ทั้งในและนอกอุตสาหกรรมบริการทางการเงิน กลุ่มละอย่างน้อย 200 ราย ผลการศึกษา พบว่าผู้ตอบแบบสอบถามจำนวน 457 คน ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง Gen Y (เกิดระหว่างปี พ.ศ. 2523-2540) สถานภาพโสด ระดับการศึกษาสูงสุดระดับปริญญาโท ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเป็นพนักงานบริษัทเอกชน รายได้รวมเฉลี่ยต่อเดือน 50,001 – 100,000 บาท โดยมีผู้ตอบแบบสอบถามที่ทำงานในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับผู้ให้บริการทางการเงินจำนวน 200 คน และทำงานนอกอุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับผู้ให้บริการทางการเงินจำนวน 257 คน ด้านประสบการณ์การลงทุน ผู้ตอบแบบสอบถามจำนวน 457 คน มีประสบการณ์การลงทุนจำนวน 282 คน โดยนับว่าเป็นนักลงทุนรายย่อย แบ่งเป็นในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับผู้ให้บริการทางการเงินจำนวน 160 คน และนอกอุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับผู้ให้บริการทางการจำนวน 122 คน ด้านความรู้และทัศนคติเกี่ยวกับการลงทุนเพื่อความยั่งยืน ระดับการประเมินตัวเองว่ารู้จักการลงทุนที่มุ่งเน้นความยั่งยืน ส่วนใหญ่รู้จักแต่ไม่แน่ใจในรายละเอียด ขณะที่มีความเข้าใจความหมายของการลงทุนที่มุ่งเน้นความยั่งยืนที่หมายถึงการลงทุนที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environmental Social and Governance: ESG) นอกจากนี้ ส่วนใหญ่มีความสนใจบ้างในการลงทุนที่มุ่งเน้นสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล โดยผลิตภัณฑ์ทางการเงินเพื่อความยั่งยืนในประเทศไทยที่รู้จักนั้น ส่วนใหญ่รู้จักหุ้นบริษัทจดทะเบียนไทยที่อยู่ในรายชื่อหุ้นยั่งยืน (SET ESG Ratings) รองลงมาเป็นตราสารหนี้เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม (Green Bond) และกองทุนรวมเพื่อความยั่งยืน (Sustainable and Responsible Investing Fund: SRI Fund) ผลิตภัณฑ์ทางการเงินเพื่อความยั่งยืนในประเทศไทยที่มีการลงทุน ส่วนใหญ่ลงทุนหุ้นบริษัทจดทะเบียนไทยที่อยู่ในรายชื่อหุ้นยั่งยืน และกองทุนรวมเพื่อความยั่งยืน การรับรู้เกี่ยวกับการลงทุนในหุ้นบริษัทจดทะเบียนไทย ส่วนใหญ่ทราบบ้างว่าหุ้นบริษัทจดทะเบียนที่ลงทุนอยู่ใน SET ESG Rating และ/หรือ Dow Jones Sustainability Index (DJSI) และกองทุนรวมที่มีนโยบายมุ่งเน้นการลงทุนในบริษัทที่ดำเนินงานตามหลักความยั่งยืนซึ่งคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาลนั้น ส่วนใหญ่เห็นว่าสามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ โดยเลือกลงทุนในกองทุนรวม Thai ESG และผลตอบแทนในระยะยาวจากการลงทุนที่มุ่งเน้นความยั่งยืน ส่วนใหญ่เห็นว่าดีกว่าการลงทุนทั่วไป เมื่อวิเคราะห์เปรียบเทียบระหว่างนักลงทุนรายย่อยที่อยู่ในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับผู้ให้บริการทางการเงินและนอกอุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับผู้ให้บริการทางการเงินในด้านประสบการณ์การลงทุน พบว่ากลุ่มนักลงทุนรายย่อยที่อยู่ในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับผู้ให้บริการทางการเงินมีสัดส่วนที่สูงกว่า ขณะที่ความรู้และทัศนคติเกี่ยวกับการลงทุนเพื่อความยั่งยืนมีความสอดคล้องกันระหว่างนักลงทุนรายย่อยทั้งสองกลุ่มในเรื่องของความสนใจ ความรู้ในการลงทุน รวมทั้งผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่มุ่งเน้นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล รวมถึงการให้ความสำคัญกับปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล ในระหว่างการตัดสินใจลงทุนที่อยู่ในระดับปานกลาง ขณะที่ความแตกต่างของนักลงทุนรายย่อยทั้งสองกลุ่มในทางสถิติที่นักลงทุนรายย่อยในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับผู้ให้บริการทางการเงินมีสัดส่วนที่สูงกว่านักลงทุนรายย่อยที่อยู่นอกอุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับผู้ให้บริการทางการเงินนั้น จะเป็นในเรื่องของการประเมินตัวเองว่ารู้จักการลงทุนที่มุ่งเน้นความยั่งยืนอย่างดี การเข้าใจความหมายของการลงทุนที่มุ่งเน้นความยั่งยืน และการรู้จักผลิตภัณฑ์ทางการเงินเพื่อความยั่งยืนในประเทศไทย สำหรับปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจลงทุนเพื่อความยั่งยืนของนักลงทุนรายย่อยทั้งสองกลุ่มพบว่าผลตอบแทนเป็นปัจจัยที่สำคัญต่อการตัดสินใจลงทุนเป็นอันดับแรก รองลงมาเป็นธรรมาภิบาล และความเสี่ยง สอดคล้องกับการให้ความสำคัญกับปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล มาพิจารณาระหว่างการตัดสินใจลงทุนที่ให้ความสำคัญน้อยกว่าผลตอบแทนจากการลงทุน เมื่อพิจารณาถึงความกังวลในด้านความเสี่ยงส่วนใหญ่กังวลอยู่ในระดับปานกลาง ทั้งในด้านความเสี่ยงของการลงทุน ด้านผลตอบแทนจากการลงทุน และด้านความรู้ ความเข้าใจ นอกจากนี้ หากพิจารณาที่จะลงทุนอย่างยั่งยืน ส่วนใหญ่เลือกกองทุนรวมเพื่อความยั่งยืน ปัจจัยที่จะสนับสนุนให้มีแนวโน้มที่จะพิจารณาการลงทุนอย่างยั่งยืนหรือลงทุนอย่างยั่งยืนเพิ่มขึ้นเป็นอันดับแรก คือ ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี รองลงมาเป็นผลตอบแทนทางการเงินจากการลงทุน และการเปรียบเทียบให้เห็นถึงผลการดำเนินงานของการลงทุนอย่างยั่งยืนกับการลงทุนโดยทั่วไป โดยช่วงอายุที่เริ่มมีการลงทุนอย่างยั่งยืน ส่วนใหญ่เป็นช่วงอายุ 30-40 ปี โดยระยะเวลาในการลงทุนอย่างยั่งยืน ส่วนใหญ่เป็นระยะเวลา 5 ปี ขึ้นไป จากผลการศึกษา สรุปได้ว่านักลงทุนรายย่อยทั้งในและนอกอุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับผู้ให้บริการทางการเงินมีความรู้ ความเข้าใจ ความสนใจในการลงทุน และการให้ความสำคัญกับปัยจัยด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล อยู่ในระดับปานกลาง ขณะที่ความเข้าใจในผลิตภัณฑ์การเงินเพื่อความยั่งยืนจำกัดอยู่ในบางผลิตภัณฑ์ และยังมีความเข้าใจไม่ถูกต้อง นอกจากนี้ นักลงทุนรายย่อยทั้งสองกลุ่มจะพิจารณาลงทุนอย่างยั่งยืน โดยให้ความสำคัญในเรื่องของผลตอบแทนทางการเงินจากการลงทุนมากที่สุด รวมถึงผลประโยชน์อื่นที่นักลงทุนรายย่อยจะได้รับ และการมีข้อมูลของผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่มีนโยบายการลงทุนอย่างความยั่งยืน ดังนั้น ในการส่งเสริมให้นักลงทุนรายย่อยมีการลงทุนอย่างยั่งยืนนั้น ทั้งบริษัทที่ดำเนินธุรกิจ บริษัทที่ออกตราสารทางการเงินเพื่อความยั่งยืน และหน่วยงานกำกับดูแลต่าง ๆ อาทิ สามารถมีส่วนร่วมในการสนับสนุนให้นักลงทุนรายย่อยมีการลงทุนอย่างยั่งยืนในด้านการดำเนินการและการสร้างความยั่งยืนในธุรกิจ การเน้นผลตอบแทนและการตรวจสอบการลงทุน การสร้างความเข้าใจและการเข้าถึงคำว่า 'ยั่งยืน' และการพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ตอบสนองต่อความต้องการของนักลงทุนรายย่อย
  • Thumbnail Image
    Item
    ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจลงทุนในกองทุนรวม Thai ESG ของประชาชนในเขตกรุงเทพมหานคร
    ภควัต วิจิตรสาร; จุฑารัตน์ ชมพันธุ์; พรพรหม สุธาทร (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2024)
    ในปัจจุบันแนวคิดการลงทุนที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล (Environmental, Social, and Governance: ESG) ได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากนักลงทุนทั่วโลก เนื่องจากเป็นแนวทางที่สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนและการรับมือกับความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะในบริบทของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สำหรับประเทศไทย ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและหน่วยงานภาครัฐได้มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมการลงทุนในกองทุนรวม Thai ESG ผ่านการจัดทำดัชนีหุ้นยั่งยืนและมาตรการภาษีเพื่อจูงใจนักลงทุน อย่างไรก็ตาม แม้จะมีการส่งเสริมในระดับนโยบาย แต่ยังพบว่าข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจลงทุนในกองทุนรวม Thai ESG โดยเฉพาะในกลุ่มประชาชนที่มีรายได้ประจำในเขตกรุงเทพมหานคร ยังมีอยู่อย่างจำกัด งานวิจัยนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยดังกล่าวอย่างเป็นระบบ เพื่อที่จะเป็นประโยชน์ต่อการกำหนดกลยุทธ์ในการส่งเสริมการลงทุนอย่างยั่งยืนในระดับประเทศต่อไป การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจลงทุนในกองทุนรวม Thai ESG ของประชาชนในเขตกรุงเทพมหานคร โดยพิจารณาปัจจัยด้านประชากรศาสตร์ ได้แก่ เพศ อายุ ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้เฉลี่ยต่อเดือน รวมถึงปัจจัยด้านการลงทุน ได้แก่ ผลตอบแทน ความรู้และการรับรู้เกี่ยวกับแนวคิด ESG (สิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล) และสิทธิประโยชน์ทางภาษี ตลอดจนศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างประเภทของกองทุนรวม Thai ESG กับพฤติกรรมการตัดสินใจลงทุนของประชาชนในเขตกรุงเทพมหานคร งานวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ (Quantitative Research) โดยเก็บรวบรวมข้อมูลจากประชาชนทั่วไปที่มีรายได้ประจำในเขตกรุงเทพมหานคร จำนวน 400 คน ผ่านแบบสอบถามออนไลน์ (Google Form) และนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์ด้วยสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่การแจกแจงความถี่ (Frequency) ร้อยละ (Percentage) ค่าเฉลี่ย (Mean) และ สถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (F-test) และการวิเคราะห์สหสัมพันธ์ (Correlation Analysis) จากการเก็บรวบรวมข้อมูลจากประชาชนทั่วไปที่มีรายได้ประจำในเขตกรุงเทพมหานคร จำนวน 400 คนเพื่อวิเคราะห์ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจลงทุนในกองทุนรวม Thai ESG ของประชาชนในเขตกรุงเทพมหานคร ผลการศึกษาพบว่า 1.) ปัจจัยด้านประชากรศาสตร์ ผลการวิจัยโดยการเก็บรวบรวมข้อมูลจากประชาชนทั่วไปที่มีรายได้ประจำในเขตกรุงเทพมหานครพบว่า ปัจจัยด้านประชากรศาสตร์ที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจลงทุนในกองทุนรวม Thai ESG อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ได้แก่ อายุ อาชีพ และรายได้เฉลี่ยต่อเดือน โดยกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่อายุ 31 – 40 ปี (ร้อยละ 51.5) ซึ่งผลการทดสอบพบว่า ช่วงอายุที่ต่างกันส่งผลต่อการตัดสินใจลงทุนอย่างมีนัยสำคัญ (p-value (Sig.) = 0.007 < 0.1) ซึ่งจากการศึกษาพบว่า สอดคล้องกับงานวิจัยของ ณัฐพล ดวงจิตร์ (2563) ที่พบว่า กลุ่มวัยทำงานกลางคนมักมีการวางแผนการเงินที่ชัดเจนและสนใจการลงทุนระยะยาว ขณะที่กลุ่มอายุน้อยอาจยังไม่มีรายได้หรือความรู้ด้านการเงินเพียงพอ ขณะที่กลุ่มสูงวัยอาจเน้นความมั่นคงมากกว่าความยั่งยืน และปัจจัยด้านอาชีพ ส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มพนักงานบริษัทเอกชน (ร้อยละ 65.25) ผลการทดสอบพบว่า อาชีพที่แตกต่างกันมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจลงทุนอย่างมีนัยสำคัญ (p-value (Sig.) = 0.059 < 0.1) โดยมองว่ากลุ่มที่ทำงานในองค์กร โดยเฉพาะภาคเอกชน อาจมีการเข้าถึงข้อมูลด้านการเงินและ ESG มากกว่ากลุ่มอื่น อีกทั้งบริษัทเอกชนขนาดใหญ่เริ่มมีนโยบายส่งเสริม ESG มากขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับผลการศึกษาของ ณัฐกร เลาหสงคราม (2555) ที่พบว่า พนักงานบริษัทเอกชนมีแนวโน้มลงทุนในกองทุนรวมระยะยาวมากกว่า และรายได้เฉลี่ยต่อเดือน ส่วนใหญ่มีรายได้ 35,001 – 45,000 บาทต่อเดือน (ร้อยละ 33.25) ผลการทดสอบพบว่า รายได้ที่แตกต่างกันมีอิทธิพลอย่างมีนัยสำคัญ (p-value (Sig.) = 0.032 < 0.1) ซึ่งรายได้ที่มากขึ้นช่วยให้มีเงินเหลือเพื่อการลงทุนและมองหาทางเลือกการลงทุนที่สอดคล้องกับคุณค่าและความยั่งยืน เช่น กองทุนรวม Thai ESG จากการศึกษาพบว่า สอดคล้องกับงานวิจัยของ สุนทรี จึงประเสริฐกุล (2552) ที่พบว่าผู้มีรายได้สูงมีแนวโน้มลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาวมากกว่า โดยเฉพาะเมื่อได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี ทั้งนี้ปัจจัยด้านเพศและระดับการศึกษาไม่มีอิทธิพลอย่างมีนัยสำคัญ โดยกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง (ร้อยละ 53.25) ผลการทดสอบสมมติฐานพบว่า ไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญ ของการตัดสินใจลงทุนตามเพศ (p-value (Sig.) = 0.789 > 0.1) การไม่พบความแตกต่าง อาจสะท้อนว่าในบริบทของกองทุน ESG เพศไม่ใช่ปัจจัยหลักในการกำหนดพฤติกรรมการลงทุน ซึ่งไม่สอดคล้องกับสมมติฐาน ซึ่งขัดแย้งกับการศึกษาของ Kotler & Keller (2012) ที่เสนอว่าปัจจัยเพศอาจมีอิทธิพลต่อทัศนคติและพฤติกรรมผู้บริโภคในบางกรณี และระดับการศึกษา ส่วนใหญ่จบการศึกษาระดับปริญญาตรี (ร้อยละ 67.5) ผลการทดสอบพบว่า ระดับการศึกษาไม่มีผลต่อการตัดสินใจลงทุน (p-value (Sig.) = 0.366 > 0.1) อาจสะท้อนว่าการเข้าถึงข้อมูล ESG หรือความรู้เรื่องการลงทุนไม่ได้ขึ้นกับวุฒิการศึกษาโดยตรง แต่ขึ้นกับความสนใจส่วนบุคคลและการเรียนรู้ผ่านช่องทางอื่น ขัดแย้งกับงานวิจัยของ Sullivan & Mackenzie (2017) ที่เสนอว่าระดับการศึกษาสูงส่งผลต่อความเข้าใจในแนวคิด ESG และการประเมินความเสี่ยงที่ซับซ้อน 2.) ปัจจัยด้านการลงทุน ผลการวิจัยโดยการเก็บรวบรวมข้อมูลจากประชาชนทั่วไปที่มีรายได้ประจำในเขตกรุงเทพมหานครพบว่าปัจจัยด้านการลงทุนที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจลงทุนในกองทุนรวม Thai ESG อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ได้แก่ ปัจจัยด้านผลตอบแทน ปัจจัยด้านการรับรู้ข่าวสาร และปัจจัยด้านสิทธิประโยชน์ทางภาษี โดยปัจจัยด้านผลตอบแทน มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจลงทุนในกองทุนรวม ThaiESG ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ให้ความสำคัญในประเด็นที่เชื่อว่าการลงทุน ESG สร้างผลตอบแทนระยะยาวได้ดี คาดหวังให้ผลตอบแทนเหนือกว่าเงินฝาก และให้ความสำคัญกับผลตอบแทนก่อนตัดสินใจลงทุน ซึ่งสอดคล้องกับการศึกษาของ Friede, Busch, & Bassen (2015) ที่สรุปว่า ESG investment โดยรวมมีแนวโน้มให้ผลตอบแทนเป็นบวกเมื่อเทียบกับการลงทุนทั่วไป การตระหนักถึง "ผลตอบแทนทางการเงิน" ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญ แม้จะเป็นกองทุนที่เน้นคุณค่า ESG ก็ตาม ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของ Markowitz (1952) ที่เสนอว่า นักลงทุนมีแนวโน้มเลือกการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนคาดหวังสูงสุด ภายใต้ระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ นอกจากนี้ ยังสอดคล้องกับการศึกษาของ สุนทรี จึงประเสริฐกุล (2552) ที่ระบุว่าผลตอบแทนเป็นปัจจัยหลักในการเลือกกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) การศึกษาของ สุรเดช จองวรรณศิริ (2559) ศึกษาเรื่อง ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อความตั้งใจลงทุนใน หลักทรัพย์ของนักลงทุนบุคคล พบว่า ระดับความสำคัญที่นักลงทุนให้กับแหล่งข้อมูลต่างๆ มีความสัมพันธ์โดยตรงกับความคาดหวังต่อผลตอบแทนจากการลงทุน และความตั้งใจที่จะลงทุนใน หลักทรัพย์นั้นๆ กล่าวคือ ยิ่งนักลงทุนให้ความสำคัญกับแหล่งข้อมูลมาก ก็ยิ่งคาดหวังผลตอบแทนที่ สูงขึ้น และมีความตั้งใจลงทุนมากขึ้นตามไปด้วย โดยแหล่งข้อมูลสำคัญที่นักลงทุนให้ความสนใจ ปัจจัยด้านการรับรู้ข่าวสารด้าน ESG มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจลงทุนในกองทุนรวม ThaiESG ของประชาชนในเขตกรุงเทพมหานคร ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ให้ความสำคัญในประเด็น ความตื่นตัวด้านสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะประเด็นการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ มีผลต่อทัศนคติในการลงทุนใน ESG Fund อย่างชัดเจน การรับรู้เกี่ยวกับประเด็น ESG จึงเป็นเครื่องมือสำคัญในการโน้มน้าวพฤติกรรมผู้ลงทุน งานวิจัยของ Krüger (2015) ชี้ให้เห็นว่าข้อมูลข่าวสาร ESG สามารถกระทบต่อราคาหุ้นได้ในระยะสั้นถึงกลาง เพราะนักลงทุนเริ่มให้ความสำคัญกับความเสี่ยงที่มาจากสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล การศึกษาของ Khemir et al. (2562) ได้กล่าวไว้ว่าปัจจัยด้านข้อมูลข่าวสาร ESG มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจลงทุน ของนักลงทุนซึ่งสอดคล้องกับการศึกษาวิจัยภายในประเทศไทยอย่างการศึกษาของ วิภาพร ตรีทิพยโชค และ ณักษ์ กุลิสร์ (2554) ก็พบว่าข้อมูลข่าวสารมีผลต่อการตัดสินใจของนักลงทุนเช่นเดียวกัน นอกจากนั้นยังสอดคล้องกับการศึกษาของ กรณิศ ช่วยชูวงษ์ (2566) ได้ศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจ ในการลงทุนในกองทุนรวม Thai ESG ของนักลงทุนทั้งหมด 11 ท่าน พบว่าปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจลงทุนในกองทุนรวม Thai ESG ของนักลงทุน คือ ปัจจัยด้านภาษี และปัจจัยด้านข้อมูลข่าวสาร ปัจจัยด้านสิทธิประโยชน์ทางภาษี มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจลงทุนในกองทุนรวม ThaiESG ของประชาชนในเขตกรุงเทพมหานคร ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ให้ความสำคัญในประเด็นที่มองว่าสิทธิประโยชน์ทางภาษีเป็นแรงจูงใจการลงทุนระยะยาว ซึ่งแรงจูงใจทางภาษีเป็นอีกหนึ่งปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญในการเลือกลงทุนในกองทุนรวม โดยเฉพาะในบริบทของ กองทุนรวม ESG ที่อาจยังใหม่และมีผลตอบแทนไม่แน่นอนในระยะสั้น สอดคล้องกับการศึกษาของ ณัฐกร เลาหสงคราม (2555) ซึ่งพบว่า เหตุผลสำคัญของการลงทุนใน LTF หรือ RMF ของนักลงทุนไทย คือ การใช้สิทธิลดหย่อนภาษี ทั้งนี้ สะท้อนให้เห็นว่าการออกแบบผลิตภัณฑ์การลงทุนที่มีแรงจูงใจทางภาษีที่ชัดเจน จะสามารถเพิ่มการมีส่วนร่วมของประชาชนในการลงทุนเพื่อความยั่งยืนได้มากขึ้น การศึกษาของ ณัฐกร เลาหสงคราม (2555) และสุนทรี จึงประเสริฐกุล (2552) ซึ่งพบว่าปัจจัยหลักในการลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาว คือ ความต้องการใช้สิทธิลดหย่อนภาษี นอกจากนั้นยังสอดคล้องกับการศึกษาของ กรณิศ ช่วยชูวงษ์ (2566) ได้ศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจ ในการลงทุนในกองทุนรวม Thai ESG ของนักลงทุนทั้งหมด 11 ท่าน พบว่าปัจจัยที่ส่งผลต่อการตัดสินใจลงทุนในกองทุนรวม Thai ESG ของนักลงทุน คือ ปัจจัยด้านภาษี และปัจจัยด้านข้อมูลข่าวสาร เพื่อยกระดับความเชื่อมั่นและจูงใจให้กับนักลงทุนทั้งรายเดิมและรายใหม่ ควรมีการดำเนินการในเชิงกลยุทธ์ ดังต่อไปนี้ 1.) ส่งเสริมการให้ข้อมูลด้าน ESG ที่เข้าใจง่าย ชัดเจน และน่าเชื่อถือ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรจัดให้มีการเผยแพร่ข้อมูลด้าน ESG อย่างเป็นระบบ โดยนำเสนอในรูปแบบที่เข้าถึงได้ง่าย เหมาะสมกับระดับความรู้ของผู้ลงทุนทั่วไป และมีความน่าเชื่อถือ เพื่อช่วยลดอุปสรรคในการทำความเข้าใจหลักการ ESG และสร้างความมั่นใจในการตัดสินใจลงทุน 2.) กำหนดนโยบายสนับสนุนหรือแรงจูงใจทางภาษีเพิ่มเติมสำหรับกองทุน ESG ภาครัฐควรพิจารณามาตรการทางภาษี เช่น การให้สิทธิหักลดหย่อนเพิ่มเติม หรือการเพิ่มวงเงินลงทุนในกองทุน ESG ที่สามารถใช้ลดหย่อนภาษีได้ ซึ่งจะช่วยสร้างแรงจูงใจเชิงบวกสำหรับนักลงทุนรายใหม่ และเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของกองทุน ESG เมื่อเทียบกับกองทุนรูปแบบอื่น 3.) เปิดเผยผลการดำเนินงานของกองทุน ESG อย่างโปร่งใส และสม่ำเสมอ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ควรนำเสนอข้อมูลด้านผลตอบแทนทางการเงินควบคู่กับผลกระทบเชิงบวกทางสิ่งแวดล้อมและสังคมของกองทุน ESG อย่างเป็นรูปธรรมและต่อเนื่อง เพื่อให้ผู้ลงทุนเห็นถึง “คุณค่าในระยะยาว” ทั้งในด้านผลตอบแทนและผลกระทบที่กองทุนมีต่อความยั่งยืน
  • Thumbnail Image
    Item
    การประยุกต์ใช้กลยุทธ์การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของ IMO 2023 กับเรือขนาดใหญ่ประเภท Post Panamax ในอุตสาหกรรมขนส่งตู้คอนเทนเนอร์ของประเทศไทย
    จันจิรา แกล้วกล้า; จำลอง โพธิ์บุญ; วิสาขา ภู่จินดา (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2024)
    งานวิจัยฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษากลยุทธ์การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของ IMO 2023 ที่มีผลต่อการเดินเรือขนาดใหญ่ประเภท Post Panamax เพื่อศึกษาการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของขั้นตอนการดำเนินงานของการเดินเรือขนาดใหญ่ประเภท Post Panamax ในอุตสาหกรรมขนส่งตู้คอนเทนเนอร์ของประเทศไทยและเพื่อศึกษาและวิเคราะห์แนวทางการประยุกต์ใช้กลยุทธ์การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของ IMO 2023 กับเรือขนาดใหญ่ประเภท Post Panamax ในอุตสาหกรรมขนส่งตู้คอนเทนเนอร์ของประเทศไทย การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยใช้วิธีการวิเคราะห์เอกสารเกี่ยวกับกลยุทธ์ IMO และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากอุตสาหกรรมเดินเรือ โดยพิจารณาจากกิจกรรมหลัก 8 ขั้นตอน ตั้งแต่กระบวนการผลิตเชื้อพลิง (ต้นน้ำ) ไปจนถึงการจัดการตู้คอนเทนเนอร์เมื่อหมดอายุการใช้งาน (ปลายน้ำ) และทำการสัมภาษณ์ผู้เชี่ยวชาญจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้องจำนวน 8 ท่าน อาทิ กรมเจ้าท่า การท่าเรือแห่งประเทศไทยและบริษัทเดินเรือในประเทศไทย ทำการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหา Content Analysis และพรรณนาความจากผลสัมภาษณ์ โดยสรุปประเด็นตามวัตถุประสงค์การศึกษาและกรอบแนวคิด เพื่อให้ได้ข้อมูลเกี่ยวกับแนวทางการดำเนินกลยุทธ์ ความพร้อมของประเทศไทย และอุปสรรคเชิงระบบที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบการเดินเรือที่ปล่อยคาร์บอนต่ำอย่างยั่งยืน ผลการศึกษาพบว่า กลยุทธ์ด้านการปฏิบัติการ (Operational Measures) เช่น การลดความเร็วเรือ (Slow Steaming) เป็นแนวทางที่มีความเป็นไปได้สูงที่สุดในระยะสั้น เนื่องจากมีต้นทุนการดำเนินการต่ำและสามารถนำไปใช้ได้ทันที ในขณะที่กลยุทธ์ด้านเทคนิค (Technical Measures) และ การติดตั้งอุปกรณ์ประหยัดพลังงาน มีความเป็นไปได้ในระดับปานกลาง โดยขึ้นอยู่กับอายุของเรือและศักยภาพในการดัดแปลง ส่วนกลยุทธ์ด้านเชื้อเพลิงทางเลือก (Alternative Fuels) เช่น LNG เมทานอล และแอมโมเนีย ยังมีความเป็นไปได้ต่ำในบริบทของประเทศไทย เนื่องจากเผชิญข้อจำกัดด้านต้นทุนการลงทุนที่สูง โครงสร้างพื้นฐานท่าเรือที่ยังไม่พร้อม และความไม่แน่นอนของมาตรฐานระดับสากล ทั้งนี้ การประยุกต์ใช้เครื่องมือวัดผลประสิทธิภาพ เช่น ดัชนีประสิทธิภาพพลังงานของเรือ (EEXI) และตัวชี้วัดความเข้มข้นของคาร์บอน (CII) ยังคงเป็นกลไกสำคัญในการกำกับดูแลและขับเคลื่อนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของเรือขนาดใหญ่ในระยะสั้นและระยะกลาง ส่วนข้อเสนอแนะเชิงนโยบายที่สำคัญ คือ ภาครัฐควรมีบทบาทเชิงรุกในการแก้ไขข้อจำกัดเชิงโครงสร้างที่เป็นอุปสรรคต่อการเปลี่ยนผ่านสู่การเดินเรือที่ปล่อยคาร์บอนต่ำ โดยเสนอให้กรมเจ้าท่าจัดทำ “แผนแม่บทแห่งชาติว่าด้วยการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากภาคการเดินเรือ” ให้การท่าเรือแห่งประเทศไทยเร่งรัด “โครงการนำร่องด้านโครงสร้างพื้นฐานสีเขียว” เพื่อรองรับเชื้อเพลิงสะอาด และให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) กำหนดมาตรการจูงใจทางการเงินที่ชัดเจน เพื่อสนับสนุนการลงทุนจากภาคเอกชน ทั้งหมดนี้เพื่อรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมเดินเรือไทยภายใต้บริบทของการเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืน
  • Thumbnail Image
    Item
    แนวทางการพัฒนาและยกระดับสู่การเป็นเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ (ระดับ Eco-Excellence) กรณีศึกษา นิคมอุตสาหกรรมทีเอฟดี 1
    ธนา สุวศิน; จุฑารัตน์ ชมพันธุ์ (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2024)
    การศึกษาค้นคว้าอิสระนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความเปลี่ยนแปลงในมิติด้านต่าง ๆ ในการเป็นเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศของนิคมอุตสาหกรรมทีเอฟดี 1 และแนวทางการพัฒนาและยกระดับเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศของนิคมอุตสาหกรรมทีเอฟดี 1 สู่เมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศระดับ Eco-Excellence ตามคู่มือเกณฑ์การตรวจประเมินเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย โดยใช้แบบประเมินและการสัมภาษณ์แบบซึ่งหน้าเป็นเครื่องมือในการเก็บข้อมูล กลุ่มตัวอย่างคือ บริษัทภายในนิคมฯ จำนวน 10 บริษัทและผู้บริหารรวมถึงพนักงานสำนักงานนิคมอุตสาหกรรมทีเอฟดี 1 และชุมชนโดยรอบ จำนวน 8 คน แล้วนำมาวิเคราะห์ช่องว่างการพัฒนา (Gap Analysis) เพื่อให้ทราบแนวทางการพัฒนาและยกระดับ ผลการศึกษาพบว่าการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมทีเอฟดี 1 ในมิติ 1) มิติสิ่งแวดล้อม 2) มิติสังคม 3) มิติการบริหารจัดการ เป็นจุดแข็งมีความโดดเด่นในการพัฒนาโดย 1) มิติสิ่งแวดล้อมพบว่าโรงงานสามารถดำเนินการวางแผน วิเคราะห์ปรับปรุงกระบวนการผลิตเพื่อให้เกิดการใช้วัตถุดิบ น้ำ พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ 2) มิติสังคมด้านวัสดุเหลือใช้พบว่าโรงงานผู้ประกอบการในนิคมอุตสาหกรรมนำส่งข้อมูลตามระบบการจัดการของเสียออกนอกโรงงานครบถ้วนตามระบบกรมโรงงานอุตสาหกรรม ด้าน Happy Workplace นิคมฯ และโรงงานมีการดำเนินงานครบทั้ง 8 ประการและด้านความรับผิดชอบต่อสังคมและด้านความรับผิดชอบต่อสังคมพบช่องว่างโดยมีโรงงานในนิคมฯ ยังไม่ได้รับการรับรอง CSR-DIW หรือ ISO 26000 3) มิติบริหารจัดการพบว่านิคมฯ มีการจัดประชุมและเผยแพร่ผลการดำเนินงานเฝ้าระวังคุณภาพทางสิ่งแวดล้อม (EIA Monitoring) สู่ชุมชนและหน่วยงานภายนอกให้รับทราบทุก 6 เดือน ด้านการรับรองอุตสาหกรรมสีเขียว (Green Industry) ระดับ 4 พบว่าปัจจุบันโรงงานในนิคมฯ ยังไม่มีโรงงานที่ผ่านการตรวจประเมินรับรอง อย่างไรก็ตามในมิติ 4) มิติกายภาพ 5) มิติเศรษฐกิจ ยังพบช่องรวมถึงปัญหาและอุปสรรคในการตอบแบบสอบถามและการขาดการร่วมดำเนินงานระหว่างโรงงานและนิคมฯ โดย 4) มิติกายภาพด้านขนส่งพบว่ามีโรงงานเพียง 1 โรงงานที่ตอบแบบประเมิน และ 5) มิติเศรษฐกิจด้านการพัฒนาวิสาหกิจชุมชนพบว่านิคมฯและโรงงานยังขาดความร่วมมือในการดำเนินงานร่วมกันในการพัฒนาวิสาหกิจชุมชนหรือกลุ่มอาชีพของชุมชนเพราะโรงงานแต่ละโรงงานจะดำเนินการด้าน CSR ด้วยตนเอง
  • Thumbnail Image
    Item
    ปัจจัยการพัฒนาอุตสาหกรรมสีเขียวตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง กรณีศึกษา โรงแยกก๊าซธรรมชาติระยอง บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน)
    ปิณฑิรา เดชเดชะ; ณพงศ์ นพเกตุ (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2024)
    การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมสีเขียวระดับที่ 5 ของโรงแยกก๊าซธรรมชาติระยอง บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) โดยมุ่งเน้นการวิเคราะห์ความเชื่อมโยงระหว่างหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง หลักการพัฒนาที่ยั่งยืน และกลยุทธ์เชิงนโยบาย โครงสร้างและวัฒนธรรมองค์กร ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการส่งเสริมความยั่งยืนในทุกมิติ ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมการวิจัยใช้ระเบียบวิธีเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยผู้บริหาร พนักงาน และพนักงานผู้ช่วย จำนวน 109 คน โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือหลัก และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที (t-test) การวิเคราะห์ความแปรปรวน (ANOVA) และการวิเคราะห์สมการถดถอยผลการวิจัยพบว่า ปัจจัยส่วนบุคคล ได้แก่ อายุ อายุการทำงาน ระดับการศึกษา และสถานภาพการทำงาน มีผลต่อการรับรู้และการมีส่วนร่วมในการพัฒนาอุตสาหกรรมสีเขียวในหลากหลายมิติ ขณะที่เพศไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ โดยเฉพาะกลุ่มที่มีอายุงานมากหรืออยู่ในระดับบริหารมีความเข้าใจและมีพฤติกรรมที่ส่งเสริมแนวทางการดำเนินงานตามหลักการของอุตสาหกรรมสีเขียวมากกว่ากลุ่มอื่นจากผลการวิจัยเสนอให้มีการสื่อสารนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมอย่างเหมาะสมกับกลุ่มพนักงานในระดับต่าง ๆ ส่งเสริมการอบรมเชิงปฏิบัติการเกี่ยวกับปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ออกแบบแนวทางการประยุกต์ใช้ที่สอดคล้องกับบริบทของอุตสาหกรรม และเปิดโอกาสให้พนักงานทุกระดับมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนองค์กรไปสู่เป้าหมายการพัฒนาอุตสาหกรรมสีเขียวระดับสูงสุดอย่างแท้จริง
  • Thumbnail Image
    Item
    การประเมินพื้นที่เสี่ยงมลพิษทางน้ำจากแหล่งกำเนิดมลพิษ ในพื้นที่จังหวัดสมุทรสงคราม
    ศศิมา มีสิริมณีกาญจน์; ฆริกา คันธา (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2024)
    การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินปริมาณมลพิษของภาระอินทรีย์ (BOD Loading) จากแหล่งกำเนิดมลพิษทางน้ำทั้งที่มีจุดกำเนิดแน่นอน (Point Source) ได้แก่ โรงงานอุตสาหกรรม (ประเภทที่ 3) ฟาร์มสุกร อาคารบางประเภทและบางขนาด (อาคารขนาดใหญ่) บ่อเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ สถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิง รวมถึงแหล่งกำเนิดมลพิษทางน้ำทั้งที่มีจุดกำเนิดไม่แน่นอน (Non-Point Source) ได้แก่ ชุมชน พื้นที่นาข้าว และพื้นที่ไม้ผลและไม้ยืนต้นในจังหวัดสมุทรสงคราม รวมถึงการประเมินพื้นที่เสี่ยงด้านมลพิษทางน้ำ โดยนำระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (Geographic Information System: GIS) ร่วมกับวิธีการวิเคราะห์ศักยภาพพื้นที่ (Potential Surface Analysis: PSA) ในการวิเคราะห์เชิงพื้นที่ และศึกษาความสัมพันธ์ระหว่าง BOD Loading กับคุณภาพน้ำในแม่น้ำแม่กลองเพื่อเสนอแนะแนวทางในการบริหารจัดการมลพิษทางน้ำในพื้นที่อย่างเป็นระบบและยั่งยืน ผลการศึกษาพบว่า คุณภาพน้ำแม่น้ำแม่กลองในพื้นที่จังหวัดสมุทรสงครามในช่วงปี พ.ศ. 2563 – 2567 โดยรวมอยู่ในเกณฑ์ “พอใช้” (ค่าดัชนีคุณภาพน้ำ WQI อยู่ระหว่าง 66 – 70) โดยบริเวณจุดตรวจวัดปากแม่น้ำแม่กลอง อำเภอเมืองสมุทรสงคราม จังหวัดสมุทรสงคราม (MK01) มีการปนเปื้อนของแบคทีเรียกลุ่มโคลิฟอร์มทั้งหมด (TCB) ไม่เป็นไปตามมาตรฐาน และบริเวณจุดตรวจวัดสะพานสมเด็จพระอัมรินทร์ อำเภอบางคนที (MK04) มีการปนเปื้อนของแบคทีเรียกลุ่มฟีคอลโคลิฟอร์ม (FCB) ไม่เป็นไปตามมาตรฐาน สำหรับการประเมินศักยภาพพื้นที่รองรับด้านมลพิษทางน้ำของจังหวัดสมุทรสงคราม พบมีปริมาณมลพิษของภาระอินทรีย์ (BOD Loading) ทั้งหมด 3,852,731.70 กิโลกรัมต่อปี โดยแหล่งกำเนิดประเภทโรงงานอุตสาหกรรมมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 58.16 รองลงมาแหล่งกำเนิดประเภทชุมชน คิดเป็นร้อยละ 31.4 พื้นที่ไม้ผลและไม้ยืนต้น คิดเป็นร้อยละ 4.98 บ่อเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ คิดเป็นร้อยละ 2.26 อาคารบางประเภทและบางขนาด คิดเป็นร้อยละ 1.64 ฟาร์มสุกร คิดเป็นร้อยละ 0.53 พื้นที่นาข้าว คิดเป็นร้อยละ 0.40 และสถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิง คิดเป็นร้อยละ 0.09 ตามลำดับ และหากพิจารณาเชิงพื้นที่ พบว่าพื้นที่ความเสี่ยงด้านมลพิษทางน้ำมาก ได้แก่ ตำบลแพรกหนามแดง อำเภออัมพวา ตำบลลาดใหญ่ ตำบลบ้านปรก ตำบลแม่กลอง ตำบลบางแก้ว และตำบลบางขันแตก อำเภอเมืองสมุทรสงคราม จังหวัดสมุทรสงคราม ตามลำดับ ซึ่งล้วนตั้งอยู่ใกล้กับแม่น้ำแม่กลองและคลองสาขา จากผลการศึกษาสามารถนำไปใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานในการกำหนดแนวทางบริหารจัดการมลพิษทางน้ำในระดับจังหวัด ทั้งในด้านการควบคุมแหล่งกำเนิด การจัดลำดับความสำคัญของพื้นที่เสี่ยง และการสนับสนุนให้เกิดความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐ ท้องถิ่น เอกชน และภาคประชาชนในการฟื้นฟูคุณภาพน้ำอย่างยั่งยืน The study focused on the loads of biochemical oxygen demand (BOD Loading) from both point sources and non-point sources of water pollution in Samut Songkhram Province. The point sources include industrial factories (category 3), swine farms, large buildings, aquaculture ponds, and fuel stations. Non-point sources include communities, rice paddies and areas of fruit trees and perennial crops. The study also evaluates water pollution risk areas using Geographic Information System (GIS) combined with Potential Surface Analysis (PSA) for spatial analysis. Additionally, the research investigates the relationship between BOD Loading and the water quality of the Mae Klong River to propose systematic and sustainable water pollution management strategies. The study found that the water quality of the Mae Klong River in Samut Songkhram Province during 2020–2024 was generally rated as “fair,” with Water Quality Index (WQI) values ranging from 66 to 70. The monitoring point at the mouth of the Mae Klong River in Mueang District (MK01) showed contamination by total coliform bacteria (TCB) exceeding standard levels. Similarly, the monitoring point at Somdet Phra Amarin Bridge in Bang Khonthi District (MK04) showed fecal coliform bacteria (FCB) contamination exceeding standards. Regarding the area’s capacity to handle water pollution, the total BOD Loading was found to be 3,852,731.70 kilograms per year. The highest contribution came from industrial factories (58.16%), communities (31.4%), fruit tree and perennial crop areas (4.98%), aquaculture ponds (2.26%), large building (1.64%), swine farms (0.53%), rice paddies (0.40%), and fuel stations (0.09%), respectively. Spatial analysis identified high-risk areas for water pollution, including Phraek Nam Daeng Subdistrict in Amphawa District, and the subdistricts of Lat Yai, Ban Prok, Mae Klong, Bang Kaew and Bang Khan Taek in Mueang Samut Songkhram District. These areas are all located near the Mae Klong River and its tributary canals. The findings of this research can serve as a foundational resource for provincial-level water pollution management, including regulating pollution sources, prioritizing high-risk areas, and fostering collaboration among government agencies, local authorities, private sectors, and communities to sustainably restore water quality.
  • Thumbnail Image
    Item
    ปัจจัยที่มีผลต่อการจัดการน้ำเสียในพื้นที่ชุมชนตลาดเก่านาเกลือ ตำบลนาเกลือ อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี
    ปิติยาพร ภักดีแก้ว; อัจฉรา โยมสินธุ์ (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2024)
    การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยส่วนบุคคล ระดับความรู้ความเข้าใจ ทัศนคติ และพฤติกรรมการจัดการน้ำเสียของชุมชนตลาดเก่านาเกลือ ตำบลนาเกลือ อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี และเพื่อเสนอแนวทางการจัดการน้ำเสียในชุมชนตลาดเก่านาเกลือตำบลนาเกลือ อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี โดยใช้วิธีการศึกษาแบบสำรวจโดยใช้แบบสอบถาม กลุ่มตัวอย่าง คือ ประชากรในชุมชนตลาดเก่านาเกลือ ตำบลนาเกลือ อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรีจำนวน 345 คน และการสัมภาษณ์เชิงลึกผู้แทนหน่วยงานในพื้นที่ รวมทั้ง ศึกษาจากข้อมูลเอกสารที่เกี่ยวข้อง ผลการศึกษาพบว่า ปัจจัยส่วนบุคคลที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการจัดการน้ำเสียในพื้นที่ชุมชนตลาดเก่านาเกลือ ได้แก่ เพศ อายุ เจนเนอรชั่น การศึกษา อาชีพ รายได้ ระยะเวลาที่อาศัยอยู่ในชุมชน นอกจากนี้ การได้รับข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการจัดการน้ำเสียในชุมชน ระดับความรู้ความเข้าใจในการจัดการน้ำเสีย และทัศนคติในการจัดการน้ำเสียส่งผลต่อพฤติกรรมการจัดการน้ำเสียในพื้นที่ชุมชนตลาดเก่านาเกลือ ตำบลนาเกลือ อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.05 นอกจากนี้ จากการสัมภาษณ์เชิงลึก พบว่า เมืองพัทยาให้ความสำคัญกับการจัดการน้ำเสียอย่างเป็นระบบ โดยมีการพัฒนาระบบบำบัดน้ำเสียขนาดใหญ่ที่สามารถรองรับได้ถึง 108,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน พร้อมทั้ง มีแผนขยายความสามารถเพื่อรองรับการเติบโตของเมืองและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยเน้นการใช้เทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพ และตรวจสอบคุณภาพน้ำทิ้งอย่างเคร่งครัด ข้อเสนอแนะจากการศึกษานี้ คือ ภาคชุมชนมีบทบาทสำคัญในการร่วมดูแลคุณภาพน้ำ หน่วยงานในพื้นที่ที่เกี่ยวข้องจึงควรจัดกิจกรรมรณรงค์ เช่น โครงการ "คลองสวย น้ำใส" เพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชนอย่างต่อเนื่อง ส่งเสริมบทบาทเยาวชนในการเรียนรู้และร่วมกิจกรรมด้านสิ่งแวดล้อม รวมทั้ง ปรับปรุงการสื่อสารผ่านสื่อที่เข้าถึงง่าย เช่น รถโฆษณาเคลื่อนที่ เพื่อสื่อสารนโยบายและแนวทางในการจัดการน้ำเสียชุมชนอย่างเหมาะสม
  • Thumbnail Image
    Item
    แนวทางการพัฒนาองค์กรมุ่งสู่อุตสาหกรรมสีเขียวระดับที่ 3 กรณีศึกษา บริษัทเดอะเปอร์เฟคท์ซิล แอนด์ เซอร์วิสเซส จำกัด
    ณิรินทร์ญา จรูญสินจารุภัทร์; จุฑารัตน์ ชมพันธุ์ (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2024)
    งานวิจัยเชิงคุณภาพนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาบริษัทให้บรรลุมาตรฐานอุตสาหกรรมสีเขียวระดับที่ 3 โดยใช้วิธีการวิเคราะห์หาช่องว่าง (Gap Analysis) โดยการเปรียบเทียบเกณฑ์ของอุตสาหกรรมสีเขียวระดับที่ 3 ตามข้อกำหนดของกระทรวงอุตสาหกรรมกับแนวทางการดำเนินงานด้านอุตสาหกรรมสีเขียวของบริษัทในปัจจุบัน เพื่อระบุช่องว่างที่มีอยู่และเสนอแนวทางในการปรับปรุง การศึกษานี้ดำเนินการเก็บข้อมูลผ่านการทบทวนเอกสารและการสัมภาษณ์ กลุ่มข้อมูลหลักประกอบด้วย ผู้บริหารและเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานภาครัฐและท้องถิ่น ผู้บริหารและพนักงานของบริษัท ผู้นำชุมชน และประชาชนในพื้นที่รอบสถานประกอบการ รวมทั้งสิ้น 30 คน การวิเคราะห์ข้อมูลดำเนินการโดยใช้วิธีการตรวจสอบแบบสามเส้า (Triangulation) การวิเคราะห์บริบทองค์กรโดยใช้ SWOT Analysis และการกำหนดกลยุทธ์โดยใช้ TOWS Matrix เพื่อผลักดันให้บริษัทบรรลุความสำเร็จในอุตสาหกรรมสีเขียวระดับที่ 3 ผลการศึกษาพบว่า บริษัทได้ปฏิบัติตามเกณฑ์ข้อกำหนดครบถ้วนใน 4 ประเด็นหลัก ได้แก่ 1. บริบทขององค์กร 2. ความเป็นผู้นำ (ความเป็นผู้นำและความมุ่งมั่น) 3. การนำไปปฏิบัติ 4. การทบทวนและการรักษาระบบ อย่างไรก็ตาม จุดอ่อนในการดำเนินการขององค์กรคือ การสื่อสารและการเปิดเผยข้อมูลกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่ยังไม่มีประสิทธิภาพ โอกาสเพื่อการพัฒนาองค์กร ได้แก่ การเข้าถึงข้อมูลที่สะดวกมากขึ้น ความเชื่อมั่นของลูกค้าที่เพิ่มขึ้นและการลงทุนกับบริษัทที่ดำเนินธุรกิจโดยไม่ส่งผลกระทบเชิงลบต่อสิ่งแวดล้อม ดังนั้น กลยุทธ์ของบริษัทจึงควรมุ่งเน้นการพัฒนาองค์กรโดยแต่งตั้งตัวแทนชุมชน ส่งบุคลากรเข้ารับการฝึกอบรมด้านสิ่งแวดล้อม และร่วมมือกับประชาชนและหน่วยงานภาครัฐในการติดตามและตรวจสอบกิจกรรมด้านสิ่งแวดล้อม
  • Thumbnail Image
    Item
    พฤติกรรมการจัดการขยะมูลฝอยในครัวเรือนของประชาชนในเขตพื้นที่ ตำบลหนองละลอก อำเภอบ้านค่าย จังหวัดระยอง
    ณัฐนิชา พรมสุข; วิชชุดา สร้างเอี่ยม (สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์, 2024)
    การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาศึกษาพฤติกรรมการจัดการขยะในครัวเรือนของประชาชนในพื้นที่ตำบลหนองละลอก วิเคราะห์ปัจจัยที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการจัดการขยะในครัวเรือน และเสนอแนวทางในการลดและจัดการขยะในครัวเรือนอย่างเหมาะสม โดยใช้วิธีการศึกษาเชิงปริมาณ และใช้การวิจัยแบบสำรวจโดยใช้แบบสอบถาม เพื่อรวบรวมข้อมูลปฐมภูมิจากกลุ่มตัวอย่าง คือ ประชาชนในเขตองค์การบริหารส่วนตำบลหนองละลอก ตามจำนวนกลุ่มตัวอย่างจำแนกแต่ละหมู่บ้าน จำนวน 140 คน รวมถึงการศึกษาจากข้อมูลเอกสารที่เกี่ยวข้อง ผลการศึกษา พบว่า ปัจจัยส่วนบุคคลที่ต่างกันนั้น ส่งผลต่อพฤติกรรมการจัดการขยะมูลฝอยในครัวเรือนของประชาชนในเขตพื้นที่ ตำบลหนองละลอก อำเภอบ้านค่าย จังหวัดระยอง ยกเว้น ปัจจัยส่วนบุคคล(เพศ) ซึ่งที่ส่งผลคือ อายุ อาชีพ การศึกษา รายได้ ระยะเวลาที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ จำนวนสมาชิกในครัวเรือน รวมถึงความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการจัดการขยะมูลฝอย การมีส่วนร่วมในการจัดการขยะมูลฝอย ทัศนคติในการจัดการขยะมูลฝอย และการรับรู้ข่าวสารในการจัดการขยะมูลฝอยมีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมในการจัดการขยะ ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.05 คำสำคัญ พฤติกรรม ขยะมูลฝอย ครัวเรือน